หลังจากใช้ mobil 1 0 W 40 มีข้อสงสัยครับ

[lonely]

นำ city zx ไปเช็คระยะ 50,000 โลมา เมื่อปลาย ก.พ. ที่ผ่านมาครับ
หนนี้ ลองใช้ mobil 1 0W40 ดู
ช่วง มี.ค. ขับแต่ในเมือง ก็รู้สึกว่า ออกตัวช้ากว่าเดิม
(หนที่แล้วใช้ valvoline 5W30)
อาทิตย์ที่ผ่านมาไปต่างจังหวัด 2 ครั้ง
ทำให้เห็นสังเกตอะไรบางอย่างได้
ปกติขับรถที่ความเร็วประมาณ 90-110 กม./ ชม.
ใช้รอบเครื่องประมาณ 2,000 – 2,500 รอบ/นาที
เวลาเร่งแซง ก็จะ kick down รอบเครื่องก็จะเร่งไปที่
3,500 – 4,000 รอบ ความเร็วจะไปที่ประมาณ 130 -140 กม.

แต่พอใช้ mobil 1 เวลา kick down รอบเครื่องจาก 2,500 จะกวาด
ขึ้นไปที่ 5,000 หรือ 5,500 รอบ แต่ปัญหาคือ ความเร็วจากประมาณ 100 กม.
ไปแค่ 120 กม. เอง ผมก็รู้สึกแปลกใจ ว่าความเร็วแค่ 120
แต่ทำไมรอบเครื่องมันสูงมากเกินไป

คำถามครับ
1. การที่รอบเครื่องขึ้นไปถึง 5,500 รอบ อย่างเร็วนั้น
แปลว่าน้ำมันเครื่อง mobil 1 ลื่นมากกว่า valvoline 5W30
หรือน้ำมันเครื่องของศูนย์ใช่ไหมครับ

2. การที่รอบของเครื่องยนต์ขึ้น แต่ความเร็วไม่ขึ้นตามนั้น
แปลว่า สภาพเครื่อง L15A ของผมนั้น “อาจจะ” ไม่เหมาะ
กับน้ำมันเบอร์ข้นอย่าง mobil 1 ใช่ไหมครับ
(เข้าใจว่าส่วนหนึ่งเป็นธรรมชาติของเกียร์ CVT
แต่ถ้าเทียบกับน้ำมันเครื่องเบอร์ 30 แล้ว ผมรู้สึกว่า
ความเร็วของรถจะขึ้นไวกว่านี้)

3. ครั้งหน้าถ้าจะใช้เบอร์ 0W40 อีก สนใจ Castrol edge
เพราะจากค่า VI ที่เคยอ่านจากที่คุณ Ton 99 รวบรวมไว้
เดาว่า น้ำมันน่าจะไม่ข้นมากเหมือนกับ mobil 1
กับอีกอันคือ valvoline 5W40 แต่ผมหาค่า vi ของอันนี้
ไม่เจอ มีท่านใด พอทราบบ้างไหมครับ..

ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบครับ

[st_citroen]

ผมว่าอาจจะเป็นเพราะมันทดเกียร์ลงมาต่ำเกินไปครับ
ลองเล่นเกียร์เองจับความเร็วดูก็ได้ครับ ว่าความเร็วเท่านี้เกียร์อยู่ที่เท่าไหร่
น้ำมันเครื่องผมว่าไม่ใช่ปัญหาครับ อยู่ที่เกียร์มากกว่าลองดูครับ
ปล.ค้างที่รอบสูงแล้วความเร็วรถตามขึ้นไปเร็วขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่าครับ ถ้าเร็วขึ้นกว่าเดิมผมว่าปกตินะ เกียร์มันแปรผันหนิครับ เหยียบเท่าไหร่มันก็ค้างอยู่เท่านั้น

[Newhang]

1. ผมใช้ vavoline 5w-30 อยู่ ไม่เคยใช้40เลย และไม่เคยใช้mobil1 คือปกติจากคู่มือเค้าแนะนำให้ใช้เบอร์30จนกระทั่งมีปัญหาการกินน้ำมันเครื่อง เพราะเบอร์30จะใสกว่า เครื่องจะมีช่องว่างระหว่างกระบอกสูบกับแหวนน้อย ใช้ไปเยอะๆมีการหลวมเยอะขึ้น เราค่อยขยับเบอร์ ทีนี้เราใช้เบอร์เยอะก่อนที่มันควรจะเป็น มันจะทำให้การสึกหรอ ปรับตัวไปที่เบอร์40 ถ้าใช้ไปนานๆกลับมาใช้ เบอร์30ก็จะกินน้ำมันเครื่อง ฉะนั้นการที่ใช้เบอร์40จะหนืดกว่าครับ ส่วนลื่นกว่ารึเปล่าผมไม่ทราบเหมือนดัน ฮ่ะๆ
2. ตามที่ผมได้เขียนในข้อ1 คิดว่าเป็นไปอย่างที่คุณlonelyว่ามาน่ะครับ
3. ผมว่ากลับมาใช้ เบอร์30ดีกว่านะครับ ถ้าใช้40แล้วมันเป็นอย่างนี้ ผมว่าใช้เบอร์40มันมีผลมากกว่าเรื่องยี่ห้อน้ำมันเครื่องอีกนะครับ ส่วนเรื่องviผมก็ไม่รู้จริงๆ คิดอย่างเดียว อย่าปลอมนะ อย่าได้เจอของปลอมเลย

ส่วนเรื่องcvt ผมว่ามันเข้าใจยากมากเลย ครั้งนึงผมเคยวิ่งแล้วรอบเครื่องสูงกว่าปกติ500รอบไม่กี่นาที แล้วมันก็หายไปจนกระทั่งปัจจุบัน แต่ตอนนั้นผมแน่ใจว่าไม่ได้ขึ้นเนิน ถอนคันเร่งแล้วก็สูงกว่าปกติ แล้วตอนนี้มันไม่เป็นผมก็ทำอะไรไม่ได้เลย คือไม่รู้อะไรเลย จะตรวจก็คงไม่เจอ ยังไงผมว่าถ้ายังเป็นอยู่ ก็ไปตรวจเกียร์ดีกว่าครับ เพราะผมว่าไม่น่าเกี่ยวกับน้ำมันเครื่องเลย

[J!MMY]

น้ำมันเครื่องนั้น

เบอร์ 40 มันหนืดกว่าชัดเจนครับ และอาจจะส่งผลเรื่องการกินน้ำมันเครื่องได้ในระยะยาวตามมา

เวลาดู ดูเบอร์หลัง เป็นหลัก ครับ 30 ถือเป็นค่าความหนืดที่รถสมัยนี้ มักจะใช้กัน
ถ้าเป็น Mazda ในเมืองนอก เขาให้ใช้เบอร์ 20 ด้วยซ้ำ (แต่ทำไม ศูนย์ Mazda ในบ้านเรา มักเปลี่ยนเป็นเบอร์ 40 ให้ ไม่เช้าใจ)

ถ้าใช้เบอร์ไหนอยู่ ให้ใช้เบอร์นั้นไปตลอดครับ
ไม่ต้องไปเปลี่ยนให้เบอร์มันหนืดขึ้น เหมือนที่ใครเขาพยายามบอกคุณครับ

[st_citroen]

น้ำมันเครื่องนั้น

เบอร์ 40 มันหนืดกว่าชัดเจนครับ และอาจจะส่งผลเรื่องการกินน้ำมันเครื่องได้ในระยะยาวตามมา

เวลาดู ดูเบอร์หลัง เป็นหลัก ครับ 30 ถือเป็นค่าความหนืดที่รถสมัยนี้ มักจะใช้กัน
ถ้าเป็น Mazda ในเมืองนอก เขาให้ใช้เบอร์ 20 ด้วยซ้ำ (แต่ทำไม ศูนย์ Mazda ในบ้านเรา มักเปลี่ยนเป็นเบอร์ 40 ให้ ไม่เช้าใจ)

ถ้าใช้เบอร์ไหนอยู่ ให้ใช้เบอร์นั้นไปตลอดครับ
ไม่ต้องไปเปลี่ยนให้เบอร์มันหนืดขึ้น เหมือนที่ใครเขาพยายามบอกคุณครับ

พี่จิมมี่ครับ เบอร์30 ไม่ใสไปหรอครับ ถ้าเทียบกับอากาศในบ้านเรา ซึ่งมันร้อนมากๆ
ผมเคยคุยกับช่างแถวบ้านเค้าบอกวาโวลีน(เบอร์30) มันใสไปทำให้ระเหยได้ เมื่อใช้งานหนักๆ
อีกอย่างครับคือเมื่อใช้งานหนักๆ ความร้อนสูงๆเบอร์น้อยๆค่าความหนืดยิ่งน้อยลงหรือเปล่าครับ น่าจะส่งผลเสียมากกว่าหรือเปล่าครับ
(สงสัย)
ปล.คือผมเข้าใจอย่างนั้นน่ะครับ ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยครับ ขอบคุณครับ

[Pan Paitoonpong]

อากาศบ้านเราร้อนมากจริง แต่ความหนืดที่วัดตรงนั้น วัดที่อุณหภูมิทำงานของตัวเครื่องยนต์ซึ่งร้อนกว่าอากาศภายนอกตัวเราครับ
จริงอยู่ว่าอากาศร้อนเครื่องน่าจะร้อนขึ้น แต่ความต่างตรงนั้นมีค่าเป็นหลักสิบองศา ไม่ถึงกับต้องเพิ่มความหนืดน้ำมันเครื่องเพื่อชดเชยหรอกครับ

ความหนืดใสมันไม่ได้ระเหยง่ายอะไรไปกว่าความหนืดสูงกว่าหรอกครับ ถ้าน้ำมันเครื่องหาย โอกาสน่าจะเกิดจากการที่เครื่องถูกใช้งานไปจนเสื่อมสภาพตามการใช้งาน น้ำมันที่ใสจะเล็ดรอดผ่านแหวน ผ่านช่องก้านวาล์วออกมาง่ายกว่าจะรอให้ไอระเหยออกไปทางช่องหายใจหรือย้อนกลับไปเป็นคราบจับในกรองอากาศ (น้อยมาก)

อีกอย่าง..ระเหยไม่ระเหย..ถ้าชักก้านออกมาดูแล้วน้ำมันเครื่องไม่ลด จะกังวลอะไรล่ะครับ

ส่วนการใช้งานกับเครื่องแบบต่างๆโดยเฉพาะแบบที่สมรรถณะสูง แรงเยอะ เค้ามักจะเลือกน้ำมันที่มีความหนืดสูงเพื่อการปกป้องชิ้นส่วน แต่น้ำมันที่หนืดกว่านั้นก็กินแรงหมุนที่ปั๊มน้ำมันเครื่องเหมือนกัน แต่นักเลงรถไม่ห่วงเพราะกินแรงเครื่องไปนิดเดียว เครื่องตัวเองมี 4-500 ม้า ไม่ต้องคิดมาก แต่ถ้าใช้น้ำมันใสไป ร้อน ปกป้องไม่ดีพอ เครื่องพัง ..ม้าวิ่งช้ายังดีกว่าอาชาขาหัก

สังเกตได้ว่ารถสมัยนี้จะใช้น้ำมันเครื่องหนืด 30 ไม่ว่าจะเป็นฮอนด้าแบบเจ้าของกระทู้หรือนิสสันของผม เพราะวิทยาการในการผลิตเครื่องยนต์ทุกวันนี้ออกแบบให้มีความห่างในชิ้นส่วนแต่ละชิ้นที่แคบลงมาก มากจนน้ำมันเครื่องที่หนืดน้อยกว่า ไหลคล่องกว่า กลับกลายเป็นมีประโยชน์มากกว่าเพราะไหลเข้าไปตามรูแคบๆได้ง่ายกว่า

และตามที่คู่มือบอกสเป็คให้ใส่ 30 คุณก็สามารถใส่ 30 ไปได้นานเท่านาน.. 50,000กิโลนี่ยังถือว่าเรื่องเล็กมาก รถพ่อผม 250,000โล (Honda K20A) ยังเติม 30 ได้และน้ำมันเครื่องยังไม่หายด้วย

แต่ถ้าใช้งานเครื่องไปนานมากกว่านั้น และน้ำมันเบอร์ 30 เริ่มพร่อง เสียงเครื่องเริ่มดัง เมื่อนั้นจะลองเปลี่ยนมาเป็น 40 ก็ได้
เบนซ์คันเก่าผมสเป็คโรงงานบอกมา 40 แต่พอวิ่งไป 320,000 โล เสียงเริ่มดัง น้ำมันพร่อง (แต่ไม่มาก ประมาณ  2 ม.ม. ต่อ 2,000โล) พอเปลี่ยนมาเติม 50 แทบไม่พร่องลงเลย

แต่ก็อีกนั่นล่ะ การแก้ปัญหาที่ตรงจุดมันไม่ใช่การใช้น้ำมันให้หนืดขึ้น มันต้องดูว่าตรงไหนที่น้ำมันมันรั่วออก แล้วก็จัดการซ่อมตรงนั้น น้ำมันเครื่องเป็นแค่ตัวแก้ปัญหาปลายทางสำหรับคนที่ยังไม่ต้องการยกเครื่องใหม่ครับ

[st_citroen]

ขอบคุณครับ พี่แพน

[chai99]

อากาศบ้านเราร้อนมากจริง แต่ความหนืดที่วัดตรงนั้น วัดที่อุณหภูมิทำงานของตัวเครื่องยนต์ซึ่งร้อนกว่าอากาศภายนอกตัวเราครับ
จริงอยู่ว่าอากาศร้อนเครื่องน่าจะร้อนขึ้น แต่ความต่างตรงนั้นมีค่าเป็นหลักสิบองศา ไม่ถึงกับต้องเพิ่มความหนืดน้ำมันเครื่องเพื่อชดเชยหรอกครับ

ความหนืดใสมันไม่ได้ระเหยง่ายอะไรไปกว่าความหนืดสูงกว่าหรอกครับ ถ้าน้ำมันเครื่องหาย โอกาสน่าจะเกิดจากการที่เครื่องถูกใช้งานไปจนเสื่อมสภาพตามการใช้งาน น้ำมันที่ใสจะเล็ดรอดผ่านแหวน ผ่านช่องก้านวาล์วออกมาง่ายกว่าจะรอให้ไอระเหยออกไปทางช่องหายใจหรือย้อนกลับไปเป็นคราบจับในกรองอากาศ (น้อยมาก)

อีกอย่าง..ระเหยไม่ระเหย..ถ้าชักก้านออกมาดูแล้วน้ำมันเครื่องไม่ลด จะกังวลอะไรล่ะครับ

ส่วนการใช้งานกับเครื่องแบบต่างๆโดยเฉพาะแบบที่สมรรถณะสูง แรงเยอะ เค้ามักจะเลือกน้ำมันที่มีความหนืดสูงเพื่อการปกป้องชิ้นส่วน แต่น้ำมันที่หนืดกว่านั้นก็กินแรงหมุนที่ปั๊มน้ำมันเครื่องเหมือนกัน แต่นักเลงรถไม่ห่วงเพราะกินแรงเครื่องไปนิดเดียว เครื่องตัวเองมี 4-500 ม้า ไม่ต้องคิดมาก แต่ถ้าใช้น้ำมันใสไป ร้อน ปกป้องไม่ดีพอ เครื่องพัง ..ม้าวิ่งช้ายังดีกว่าอาชาขาหัก

สังเกตได้ว่ารถสมัยนี้จะใช้น้ำมันเครื่องหนืด 30 ไม่ว่าจะเป็นฮอนด้าแบบเจ้าของกระทู้หรือนิสสันของผม เพราะวิทยาการในการผลิตเครื่องยนต์ทุกวันนี้ออกแบบให้มีความห่างในชิ้นส่วนแต่ละชิ้นที่แคบลงมาก มากจนน้ำมันเครื่องที่หนืดน้อยกว่า ไหลคล่องกว่า กลับกลายเป็นมีประโยชน์มากกว่าเพราะไหลเข้าไปตามรูแคบๆได้ง่ายกว่า

และตามที่คู่มือบอกสเป็คให้ใส่ 30 คุณก็สามารถใส่ 30 ไปได้นานเท่านาน.. 50,000กิโลนี่ยังถือว่าเรื่องเล็กมาก รถพ่อผม 250,000โล (Honda K20A) ยังเติม 30 ได้และน้ำมันเครื่องยังไม่หายด้วย

แต่ถ้าใช้งานเครื่องไปนานมากกว่านั้น และน้ำมันเบอร์ 30 เริ่มพร่อง เสียงเครื่องเริ่มดัง เมื่อนั้นจะลองเปลี่ยนมาเป็น 40 ก็ได้
เบนซ์คันเก่าผมสเป็คโรงงานบอกมา 40 แต่พอวิ่งไป 320,000 โล เสียงเริ่มดัง น้ำมันพร่อง (แต่ไม่มาก ประมาณ  2 ม.ม. ต่อ 2,000โล) พอเปลี่ยนมาเติม 50 แทบไม่พร่องลงเลย

แต่ก็อีกนั่นล่ะ การแก้ปัญหาที่ตรงจุดมันไม่ใช่การใช้น้ำมันให้หนืดขึ้น มันต้องดูว่าตรงไหนที่น้ำมันมันรั่วออก แล้วก็จัดการซ่อมตรงนั้น น้ำมันเครื่องเป็นแค่ตัวแก้ปัญหาปลายทางสำหรับคนที่ยังไม่ต้องการยกเครื่องใหม่ครับ

"ม้าวิ่งช้ายังดีกว่าอาชาขาหัก"
ชอบคำนี้จังครับ

[lonely]

ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยตอบครับ

แปลว่า เหตุการณ์ที่เกิดนั้น

"น่าจะ" มาจากเบอร์ของน้ำมันเครื่องที่ข้นขึ้น

มากกว่าที่ "เกียร์ CVT" จะมีปัญหาใช่ไหมครับ
(เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ทุกครั้งที่เช็คระยะครับ
ประมาณ 4 - 5 ครั้งแล้ว)

ขอบคุณครับ

[Fastboy]

โอ้โห ไม่เคยสนใจเรื่องน้ำมันเครื่องมาก่อนเลยครับเพราะเข้าศูนย์มาตลอด แต่ว่าพอครบ 60,000 KM. แล้วผมก็ซื้อแต่ปตท. Racing อย่างเดียวเลย(เปลี่ยนนอกศูนย์) สิ่งที่ตามมาก็คือหลังจากสตาร์ทเครื่องจะได้ยินเสียงแครกๆๆๆหลังเครื่องติดเป็นบางครั้ง นานๆจะเป็นเสียที สงสัยน่าจะเป็นเพราะเบอร์ของน้ำมันเครื่องแน่ๆเลย ขอบคุณสำหรับความรู้นะครับ ไม่รู้ว่าจะกลับตัวทันไหมเพราะตอนนี้จะ 130,000 แล้ว!

[exodus]

อ่านด้วยคน ได้ความรู้เยอะดีครับ

[J!MMY]

สำหรับผมแล้ว

ปตท มีสิ่งที่น่าอุดหนุนเพียงอย่างเดียวคือ PTT Station จุดแวะพักรถของเขา

แต่ถ้าผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่อง หรือน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว ผมไม่เอาด้วยแน่ๆ