จากข่าว..จุดจบของอุตสาหกรรมรถยนต์ในออสเตรเลีย..ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรครับ

e:smart Hybrid

จากข่าว...จุดจบของอุตสาหกรรมรถยนต์ในออสเตรเลีย ถูกเตรียมการมานานเกือบ 30 ปี !?

http://www.headlightmag.com/news-analysis-of-end-of-australian-car/


ส่วนตัวผมเข้าใจแบบชาวบ้าน คือ เขาเปลี่ยนประเทศจากการเน้นการผลิตไปเป็นเน้นการบริการ เขาตั้งใจที่จะให้อุตสาหกรรมประกอบรถทยอยออกจากบ้านเขาไปตั้งโรงงานที่ๆ ต้นทุนต่ำกว่าและส่งออกมาออสเตรเลียอยู่แล้ว (ทำให้บ้านเราส้มหล่นเต็มๆ เพราะใกล้ออสเตรเลีย) ทำให้ได้รถที่ดี ราคาไม่แพง แล้วก็เปลี่ยนตัวเองไปเน้นการวิจัยและพัฒนา

ผมคิดว่าบ้านเขาทำได้เพราะมีรายได้จากทางอื่น เช่น เหมืองแร่ เกษตรกรรม แต่บ้านเรามันฝังรากลึกคงยากมากที่จะไม่สนับสนุนครับ ;) ;)

อยากสอบถามความเห็นทุกท่าน ว่า มีความคิดเห็นอย่างไรต่อเรื่องนี้ครับ...ออสเตรเลียคิดถูกหรือไม่



oryor

ค่าแรงขั้นต่ำ ชม ละ 600 บาท
ไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะมีโรงงานประกอบหรือผลิต แถมภาษีนำเข้าก็ไม่ได้แพงเหมือนบ้านเราด้วยครับ
แค่ค่าแรงสูงและภาษีนำเข้าต่ำ ไม่น่าลงทุนอย่างยิ่ง



MacH1

They are horribly wrong to kill V8 Holden Commodore!  >:(

ปล. ต่อไป Holden มาจากจีนครับ   

ส่วนบ้านเราไม่เคยไม่คิดปรับตัว...



mamaman

 ;D ;D

ผมอยากออกจากวงจร อุบาท
ของระบบ อุตสหกรรม รถยนต์ไทยครับ
เราได้งานจริง แต่ คนและ ประเทศไม่ได้พั นาอะไรเลย สายแค่

ไม่ได้ วิจัย และัฒนาองค์ความรู้พื้นฐาน

ทรัพยากร บ้านล้นเหลือ แต่พึ่งพาแต่ ส่งออก




gorilla

ยกเลิกโรงงานก็ไม่แปลกครับ ค่าแรงสูง เป็นประเทศโดดเดี่ยว ไกลชาวบ้านเค้าหมด ประชากรก็ไม่ได้มากมายประมาณ 23 ล้านคน

ค่าแรงขั้นต่ำ ณ ปัจจุบันผมไม่ทราบ  ตอนผมอยู่ 2006-2012  เวลาปกติ 15$/ชม.  ง่านช่วงเย็น 17$/ชม.  วันเสาร์ 1.5 เท่า  วันอาทิตย์หรือนขัตฤกษ์ 2 เท่า

ทำงานแมคโดนัล 20$/ชม. พนักงานทำความสะอาด 15-25$/ชม.  ยาม 20-30$/ชม     ผมทำมาหมดแล้วตั้งแต่กรรมกรยันงานออฟฟิตครับ



Pegasus7700

คุณWestbrook คงจะไปอ่านบทวิเคราะห์เก่าสมัยปี14 จากบทความของ drive.com.au มาอีกที
...ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป...

MERCEDES BENZ W212 '12
FORD FOCUS 2.0 Gdi '13
HONDA Civic RS '20
VOLVO XC60 Hybrid Inscription '19
FORD EVEREST 2.0 Bi Turbo '22



Dark Overlord

เรื่องรัฐกลัวว่าจะต้องอุ้มอุตสาหกรรมรถยนต์ในอนาคตเหมือนกับสหรัฐ
ตัวรัฐเองก็อาจจะมองแล้วว่า ตัวเองถ้ายังเป็นผู้รับจ้างผลิตต่อไป ยังไงก็คงไม่ใช่อนาคตที่ดีนัก
อย่างญี่ปุ่นหรืออเมริกาซึ่งมีแบรนด์ของเขาเอง ดังนั้นรัฐจะเข้ามาอุ้มก็ถือว่าเหมาะสม
ส่วนจีนก็ให้บริษัทรถต่างชาติต้องเข้ามาร่วมหุ้นกับบริษัทรถในชาติ
ดังนั้นออสเตรเลียจึงไม่ได้คิดเอาดีทางด้านรับจ้างผลิตเหมือนอย่างเมืองไทย
เพราะมองว่ามีหลายอย่างที่ไม่คุ้ม เช่นเรื่องสิ่งแวดล้อม 

ส่วนเรื่องลดภาษีเพื่อช่วยคนที่จ่ายภาษีให้จ่ายภาษีน้อยๆ ทำให้เศรษฐกิจเจริญขึ้น
ผมเห็นด้วย แล้วอยากให้เมืองไทยทำมั่ง คล้ายๆ กับสิงคโปร์ที่ใช้กลไกทางภาษีฉลาดมาก เก็บน้อยๆ
ส่งเสริมการลงทุนเยอะๆ เน้นความเท่าเทียม (เลยไม่ผูกขาดมีผู้เล่นใหม่เข้าไปลงทุนได้เรื่อยๆ แต่บ้านเราสภาพดูเหมือนตลาดผูกขาดมาก)
http://www.boi.go.th/thai/asean/Singapore/capt5_n.html
ทำไมเราไม่ลองก๊อปเขามาบ้าง 555



e:smart Hybrid

เรื่องรัฐกลัวว่าจะต้องอุ้มอุตสาหกรรมรถยนต์ในอนาคตเหมือนกับสหรัฐ
ตัวรัฐเองก็อาจจะมองแล้วว่า ตัวเองถ้ายังเป็นผู้รับจ้างผลิตต่อไป ยังไงก็คงไม่ใช่อนาคตที่ดีนัก
อย่างญี่ปุ่นหรืออเมริกาซึ่งมีแบรนด์ของเขาเอง ดังนั้นรัฐจะเข้ามาอุ้มก็ถือว่าเหมาะสม
ส่วนจีนก็ให้บริษัทรถต่างชาติต้องเข้ามาร่วมหุ้นกับบริษัทรถในชาติ
ดังนั้นออสเตรเลียจึงไม่ได้คิดเอาดีทางด้านรับจ้างผลิตเหมือนอย่างเมืองไทย
เพราะมองว่ามีหลายอย่างที่ไม่คุ้ม เช่นเรื่องสิ่งแวดล้อม 

ส่วนเรื่องลดภาษีเพื่อช่วยคนที่จ่ายภาษีให้จ่ายภาษีน้อยๆ ทำให้เศรษฐกิจเจริญขึ้น
ผมเห็นด้วย แล้วอยากให้เมืองไทยทำมั่ง คล้ายๆ กับสิงคโปร์ที่ใช้กลไกทางภาษีฉลาดมาก เก็บน้อยๆ
ส่งเสริมการลงทุนเยอะๆ เน้นความเท่าเทียม (เลยไม่ผูกขาดมีผู้เล่นใหม่เข้าไปลงทุนได้เรื่อยๆ แต่บ้านเราสภาพดูเหมือนตลาดผูกขาดมาก)
http://www.boi.go.th/thai/asean/Singapore/capt5_n.html
ทำไมเราไม่ลองก๊อปเขามาบ้าง 555
ผมว่าสิงคโปร์กับบ้านเราต่างกันเยอะเลยคับ
คนบ้านเรามากกว่า ที่เยอะกว่า ของสิงคโปร์ผมมองว่าเขาต้องทำแบบนั้นเพราะตลาดเขาเล็ก ต้องเป็นศูนย์กลางหรือ center อะไรสักอย่างเพื่อทำงานภาคบริการ

ของเราเป็นภาคการผลิตนะพอได้ครับ แต่ต้องมีคุณภาพพอ ผมไม่เชื่อนะว่า ถ้าเราทุกคนมาทำภาคบริการหมด แล้วใครจะผลิตละครับ
สุดท้ายมันก็ต้องมีคนผลิตอยู่ดี ทุกอย่างต้องสมดุลครับ



Dark Overlord

เรื่องรัฐกลัวว่าจะต้องอุ้มอุตสาหกรรมรถยนต์ในอนาคตเหมือนกับสหรัฐ
ตัวรัฐเองก็อาจจะมองแล้วว่า ตัวเองถ้ายังเป็นผู้รับจ้างผลิตต่อไป ยังไงก็คงไม่ใช่อนาคตที่ดีนัก
อย่างญี่ปุ่นหรืออเมริกาซึ่งมีแบรนด์ของเขาเอง ดังนั้นรัฐจะเข้ามาอุ้มก็ถือว่าเหมาะสม
ส่วนจีนก็ให้บริษัทรถต่างชาติต้องเข้ามาร่วมหุ้นกับบริษัทรถในชาติ
ดังนั้นออสเตรเลียจึงไม่ได้คิดเอาดีทางด้านรับจ้างผลิตเหมือนอย่างเมืองไทย
เพราะมองว่ามีหลายอย่างที่ไม่คุ้ม เช่นเรื่องสิ่งแวดล้อม 

ส่วนเรื่องลดภาษีเพื่อช่วยคนที่จ่ายภาษีให้จ่ายภาษีน้อยๆ ทำให้เศรษฐกิจเจริญขึ้น
ผมเห็นด้วย แล้วอยากให้เมืองไทยทำมั่ง คล้ายๆ กับสิงคโปร์ที่ใช้กลไกทางภาษีฉลาดมาก เก็บน้อยๆ
ส่งเสริมการลงทุนเยอะๆ เน้นความเท่าเทียม (เลยไม่ผูกขาดมีผู้เล่นใหม่เข้าไปลงทุนได้เรื่อยๆ แต่บ้านเราสภาพดูเหมือนตลาดผูกขาดมาก)
http://www.boi.go.th/thai/asean/Singapore/capt5_n.html
ทำไมเราไม่ลองก๊อปเขามาบ้าง 555
ผมว่าสิงคโปร์กับบ้านเราต่างกันเยอะเลยคับ
คนบ้านเรามากกว่า ที่เยอะกว่า ของสิงคโปร์ผมมองว่าเขาต้องทำแบบนั้นเพราะตลาดเขาเล็ก ต้องเป็นศูนย์กลางหรือ center อะไรสักอย่างเพื่อทำงานภาคบริการ

ของเราเป็นภาคการผลิตนะพอได้ครับ แต่ต้องมีคุณภาพพอ ผมไม่เชื่อนะว่า ถ้าเราทุกคนมาทำภาคบริการหมด แล้วใครจะผลิตละครับ
สุดท้ายมันก็ต้องมีคนผลิตอยู่ดี ทุกอย่างต้องสมดุลครับ

ต้องลองนึกหาตัวอย่างประเทศที่ใหญ่แต่ไม่เน้นผลิตครับ
แต่ที่จริงบ้านเราก็ไม่ใหญ่มากนะ
เพียงแต่ว่าระบบการศึกษามันยิ่งทำให้ไปทางนั้นได้ยากขึ้นไปอีก
พูดถึงว่าถ้าหักดิบตัดภาคการผลิตไปเลย มันก็เหมือนกับว่าเราต้องพยายามทำสิ่งที่ยากก็คือ
ต้องมีความรู้ ต้องมีการศึกษาที่ดี ซึ่งภาคการผลิตอาจจะเป็นตัวถ่วงตรงที่ทำให้คนใช้ชีวิตแบบง่ายๆ
โดยการมาเข้าเป็นภาคแรงงานในอุตสาหกรรมครับ
ไม่รู้ว่าฝันมากไปมั้ย แต่เราควรจะคิดให้ทุกคนมีอะไรที่ดีเท่าเทียมกันได้
ไม่ใช่ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งต้องลงไปอยู่ชนชั้นแรงงาน หรือมีคนรวยเพราะมีลูกน้องที่จนอีก 1000 คนอยู่ข้างล่างคน
รวยคนนั้นอะไรแบบนี้น่ะครับ ชนชั้นแรงงานก็มีได้ แต่อยากให้สเกลลดลงไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ซึ่งพูดถึงว่าถ้าคนฉลาดมากๆ ก็คงค่าตัวแพง ได้ไปทำงานบริหารประเทศต่างๆ อะไรแบบนี้ครับ
ฝ่ายผลิตก็มี แต่ใช้แรงงานจริงๆ น้อยลง มีอะไรไฮเทคๆ เยอะ ซึ่งพูดแล้วมันก็คือการไปทาง
ประเทศที่พัฒนาแล้ว พวกญี่ปุ่น พวกประเทศในสแกนดิเนเวีย ซึ่งถ้าเชื่อในคำพูดที่ใช้กันมากในสป็อตโฆษณา
(ที่ผมไม่ค่อยชอบ ไม่รู้สิว่าเพราะอะไร) "คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก" มันก็อาจจะเป็นไปได้ก็ได้ครับ
แต่การศึกษาที่เจ๋งๆ นี่จะได้ kick start เมื่อไหร่ ก็ไม่รู้เหมือนกันหรืออาจจะไม่มีวันนั้น



e:smart Hybrid

เรื่องรัฐกลัวว่าจะต้องอุ้มอุตสาหกรรมรถยนต์ในอนาคตเหมือนกับสหรัฐ
ตัวรัฐเองก็อาจจะมองแล้วว่า ตัวเองถ้ายังเป็นผู้รับจ้างผลิตต่อไป ยังไงก็คงไม่ใช่อนาคตที่ดีนัก
อย่างญี่ปุ่นหรืออเมริกาซึ่งมีแบรนด์ของเขาเอง ดังนั้นรัฐจะเข้ามาอุ้มก็ถือว่าเหมาะสม
ส่วนจีนก็ให้บริษัทรถต่างชาติต้องเข้ามาร่วมหุ้นกับบริษัทรถในชาติ
ดังนั้นออสเตรเลียจึงไม่ได้คิดเอาดีทางด้านรับจ้างผลิตเหมือนอย่างเมืองไทย
เพราะมองว่ามีหลายอย่างที่ไม่คุ้ม เช่นเรื่องสิ่งแวดล้อม 

ส่วนเรื่องลดภาษีเพื่อช่วยคนที่จ่ายภาษีให้จ่ายภาษีน้อยๆ ทำให้เศรษฐกิจเจริญขึ้น
ผมเห็นด้วย แล้วอยากให้เมืองไทยทำมั่ง คล้ายๆ กับสิงคโปร์ที่ใช้กลไกทางภาษีฉลาดมาก เก็บน้อยๆ
ส่งเสริมการลงทุนเยอะๆ เน้นความเท่าเทียม (เลยไม่ผูกขาดมีผู้เล่นใหม่เข้าไปลงทุนได้เรื่อยๆ แต่บ้านเราสภาพดูเหมือนตลาดผูกขาดมาก)
http://www.boi.go.th/thai/asean/Singapore/capt5_n.html
ทำไมเราไม่ลองก๊อปเขามาบ้าง 555
ผมว่าสิงคโปร์กับบ้านเราต่างกันเยอะเลยคับ
คนบ้านเรามากกว่า ที่เยอะกว่า ของสิงคโปร์ผมมองว่าเขาต้องทำแบบนั้นเพราะตลาดเขาเล็ก ต้องเป็นศูนย์กลางหรือ center อะไรสักอย่างเพื่อทำงานภาคบริการ

ของเราเป็นภาคการผลิตนะพอได้ครับ แต่ต้องมีคุณภาพพอ ผมไม่เชื่อนะว่า ถ้าเราทุกคนมาทำภาคบริการหมด แล้วใครจะผลิตละครับ
สุดท้ายมันก็ต้องมีคนผลิตอยู่ดี ทุกอย่างต้องสมดุลครับ

ต้องลองนึกหาตัวอย่างประเทศที่ใหญ่แต่ไม่เน้นผลิตครับ
แต่ที่จริงบ้านเราก็ไม่ใหญ่มากนะ
เพียงแต่ว่าระบบการศึกษามันยิ่งทำให้ไปทางนั้นได้ยากขึ้นไปอีก
พูดถึงว่าถ้าหักดิบตัดภาคการผลิตไปเลย มันก็เหมือนกับว่าเราต้องพยายามทำสิ่งที่ยากก็คือ
ต้องมีความรู้ ต้องมีการศึกษาที่ดี ซึ่งภาคการผลิตอาจจะเป็นตัวถ่วงตรงที่ทำให้คนใช้ชีวิตแบบง่ายๆ
โดยการมาเข้าเป็นภาคแรงงานในอุตสาหกรรมครับ
ไม่รู้ว่าฝันมากไปมั้ย แต่เราควรจะคิดให้ทุกคนมีอะไรที่ดีเท่าเทียมกันได้
ไม่ใช่ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งต้องลงไปอยู่ชนชั้นแรงงาน หรือมีคนรวยเพราะมีลูกน้องที่จนอีก 1000 คนอยู่ข้างล่างคน
รวยคนนั้นอะไรแบบนี้น่ะครับ ชนชั้นแรงงานก็มีได้ แต่อยากให้สเกลลดลงไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ซึ่งพูดถึงว่าถ้าคนฉลาดมากๆ ก็คงค่าตัวแพง ได้ไปทำงานบริหารประเทศต่างๆ อะไรแบบนี้ครับ
ฝ่ายผลิตก็มี แต่ใช้แรงงานจริงๆ น้อยลง มีอะไรไฮเทคๆ เยอะ ซึ่งพูดแล้วมันก็คือการไปทาง
ประเทศที่พัฒนาแล้ว พวกญี่ปุ่น พวกประเทศในสแกนดิเนเวีย ซึ่งถ้าเชื่อในคำพูดที่ใช้กันมากในสป็อตโฆษณา
(ที่ผมไม่ค่อยชอบ ไม่รู้สิว่าเพราะอะไร) "คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก" มันก็อาจจะเป็นไปได้ก็ได้ครับ
แต่การศึกษาที่เจ๋งๆ นี่จะได้ kick start เมื่อไหร่ ก็ไม่รู้เหมือนกันหรืออาจจะไม่มีวันนั้น
ผมว่าเราต้องเน้นรัฐสวัสดิการนะครับ สร้างความเท่าเทียมว่า ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร ก็มีคุณค่า มีรายได้ที่ดี มีโอกาสเติบโต อย่างคนทำงานขับรถ Taxi ก็มีสิทธิเป็นเจ้าของอู่รถได้ คนทำความสะอาด เปิดบริษัทรับทำความสะอาดครับ

ผมมองว่าถ้าเราไปมองเรื่อง ปริญญาความรู้ให้มาก สร้างคนที่บอกว่ามีความรู้ แต่ต้องยอมรับว่าคนความสามารถไม่เท่ากัน (แต่ทุกคนย่อมมีด้านที่ถนัด มีดวง ไปได้ดี) ดังนั้น ต้องสร้างความเท่าเทียมมากกว่าครับ



gorilla

เรื่องรัฐกลัวว่าจะต้องอุ้มอุตสาหกรรมรถยนต์ในอนาคตเหมือนกับสหรัฐ
ตัวรัฐเองก็อาจจะมองแล้วว่า ตัวเองถ้ายังเป็นผู้รับจ้างผลิตต่อไป ยังไงก็คงไม่ใช่อนาคตที่ดีนัก
อย่างญี่ปุ่นหรืออเมริกาซึ่งมีแบรนด์ของเขาเอง ดังนั้นรัฐจะเข้ามาอุ้มก็ถือว่าเหมาะสม
ส่วนจีนก็ให้บริษัทรถต่างชาติต้องเข้ามาร่วมหุ้นกับบริษัทรถในชาติ
ดังนั้นออสเตรเลียจึงไม่ได้คิดเอาดีทางด้านรับจ้างผลิตเหมือนอย่างเมืองไทย
เพราะมองว่ามีหลายอย่างที่ไม่คุ้ม เช่นเรื่องสิ่งแวดล้อม 

ส่วนเรื่องลดภาษีเพื่อช่วยคนที่จ่ายภาษีให้จ่ายภาษีน้อยๆ ทำให้เศรษฐกิจเจริญขึ้น
ผมเห็นด้วย แล้วอยากให้เมืองไทยทำมั่ง คล้ายๆ กับสิงคโปร์ที่ใช้กลไกทางภาษีฉลาดมาก เก็บน้อยๆ
ส่งเสริมการลงทุนเยอะๆ เน้นความเท่าเทียม (เลยไม่ผูกขาดมีผู้เล่นใหม่เข้าไปลงทุนได้เรื่อยๆ แต่บ้านเราสภาพดูเหมือนตลาดผูกขาดมาก)
http://www.boi.go.th/thai/asean/Singapore/capt5_n.html
ทำไมเราไม่ลองก๊อปเขามาบ้าง 555
ผมว่าสิงคโปร์กับบ้านเราต่างกันเยอะเลยคับ
คนบ้านเรามากกว่า ที่เยอะกว่า ของสิงคโปร์ผมมองว่าเขาต้องทำแบบนั้นเพราะตลาดเขาเล็ก ต้องเป็นศูนย์กลางหรือ center อะไรสักอย่างเพื่อทำงานภาคบริการ

ของเราเป็นภาคการผลิตนะพอได้ครับ แต่ต้องมีคุณภาพพอ ผมไม่เชื่อนะว่า ถ้าเราทุกคนมาทำภาคบริการหมด แล้วใครจะผลิตละครับ
สุดท้ายมันก็ต้องมีคนผลิตอยู่ดี ทุกอย่างต้องสมดุลครับ

ต้องลองนึกหาตัวอย่างประเทศที่ใหญ่แต่ไม่เน้นผลิตครับ
แต่ที่จริงบ้านเราก็ไม่ใหญ่มากนะ
เพียงแต่ว่าระบบการศึกษามันยิ่งทำให้ไปทางนั้นได้ยากขึ้นไปอีก
พูดถึงว่าถ้าหักดิบตัดภาคการผลิตไปเลย มันก็เหมือนกับว่าเราต้องพยายามทำสิ่งที่ยากก็คือ
ต้องมีความรู้ ต้องมีการศึกษาที่ดี ซึ่งภาคการผลิตอาจจะเป็นตัวถ่วงตรงที่ทำให้คนใช้ชีวิตแบบง่ายๆ
โดยการมาเข้าเป็นภาคแรงงานในอุตสาหกรรมครับ
ไม่รู้ว่าฝันมากไปมั้ย แต่เราควรจะคิดให้ทุกคนมีอะไรที่ดีเท่าเทียมกันได้
ไม่ใช่ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งต้องลงไปอยู่ชนชั้นแรงงาน หรือมีคนรวยเพราะมีลูกน้องที่จนอีก 1000 คนอยู่ข้างล่างคน
รวยคนนั้นอะไรแบบนี้น่ะครับ ชนชั้นแรงงานก็มีได้ แต่อยากให้สเกลลดลงไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ซึ่งพูดถึงว่าถ้าคนฉลาดมากๆ ก็คงค่าตัวแพง ได้ไปทำงานบริหารประเทศต่างๆ อะไรแบบนี้ครับ
ฝ่ายผลิตก็มี แต่ใช้แรงงานจริงๆ น้อยลง มีอะไรไฮเทคๆ เยอะ ซึ่งพูดแล้วมันก็คือการไปทาง
ประเทศที่พัฒนาแล้ว พวกญี่ปุ่น พวกประเทศในสแกนดิเนเวีย ซึ่งถ้าเชื่อในคำพูดที่ใช้กันมากในสป็อตโฆษณา
(ที่ผมไม่ค่อยชอบ ไม่รู้สิว่าเพราะอะไร) "คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก" มันก็อาจจะเป็นไปได้ก็ได้ครับ
แต่การศึกษาที่เจ๋งๆ นี่จะได้ kick start เมื่อไหร่ ก็ไม่รู้เหมือนกันหรืออาจจะไม่มีวันนั้น

ขอออกความเห็นเรื่องชนชั้นแรงงานแล้วกันนะครับ

ชนชั้นแรงงานเป็นกลุ่มที่สำคัญมากในการขับเคลื่อนประเทศเลยครับ ไม่สามารถขาดได้ การลดจำนานชนชั้นแรงงานเป็นการคิดที่ผิดครับ

ออสเตรเลียเองมีชนชั้นแรงงานจำนวนมาก ประชากรไม่ถึง 20% ที่เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังเปิดให้แรงงานต่างชาติในหลายสาขาอาชีพสามารถเข้ามาทำได้อีก

ประเทศพัฒนาแล้ว แรงงานไม่ใช่กระจอกนะครับ ค่าแรงไม่ธรรมดา  แรงงานมีฝีมือ VS วิศวะระดับเริ่มต้น-กลาง  ผมให้เงินเดือนต่างกันเต็มที่ไม่เกิน 2 เท่า เผลอๆไม่หนีกันด้วยซ้ำแล้วแต่งานและประสบการณ์

สำหรับประเทศกำลังพัฒนา ปัญหาคือความเลื่อมล้ำระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง กดเงินเดือนกดฉิบหาย ลูกจ้างโงหัวไม่ขึ้นเหมือนเป็นทาส    ส่วนอีกปัญหานึงก็คือคุณภาพของแรงงานด้วย จากประสบการณ์ที่อยู่ออสเตรเลียมาประสิทธิภาพของแรงงานต่างกันอย่างชัดเจนทั้งระดับกรรมกรไปจนถึงพนักงานออฟฟิต 



e:smart Hybrid

เรื่องรัฐกลัวว่าจะต้องอุ้มอุตสาหกรรมรถยนต์ในอนาคตเหมือนกับสหรัฐ
ตัวรัฐเองก็อาจจะมองแล้วว่า ตัวเองถ้ายังเป็นผู้รับจ้างผลิตต่อไป ยังไงก็คงไม่ใช่อนาคตที่ดีนัก
อย่างญี่ปุ่นหรืออเมริกาซึ่งมีแบรนด์ของเขาเอง ดังนั้นรัฐจะเข้ามาอุ้มก็ถือว่าเหมาะสม
ส่วนจีนก็ให้บริษัทรถต่างชาติต้องเข้ามาร่วมหุ้นกับบริษัทรถในชาติ
ดังนั้นออสเตรเลียจึงไม่ได้คิดเอาดีทางด้านรับจ้างผลิตเหมือนอย่างเมืองไทย
เพราะมองว่ามีหลายอย่างที่ไม่คุ้ม เช่นเรื่องสิ่งแวดล้อม 

ส่วนเรื่องลดภาษีเพื่อช่วยคนที่จ่ายภาษีให้จ่ายภาษีน้อยๆ ทำให้เศรษฐกิจเจริญขึ้น
ผมเห็นด้วย แล้วอยากให้เมืองไทยทำมั่ง คล้ายๆ กับสิงคโปร์ที่ใช้กลไกทางภาษีฉลาดมาก เก็บน้อยๆ
ส่งเสริมการลงทุนเยอะๆ เน้นความเท่าเทียม (เลยไม่ผูกขาดมีผู้เล่นใหม่เข้าไปลงทุนได้เรื่อยๆ แต่บ้านเราสภาพดูเหมือนตลาดผูกขาดมาก)
http://www.boi.go.th/thai/asean/Singapore/capt5_n.html
ทำไมเราไม่ลองก๊อปเขามาบ้าง 555
ผมว่าสิงคโปร์กับบ้านเราต่างกันเยอะเลยคับ
คนบ้านเรามากกว่า ที่เยอะกว่า ของสิงคโปร์ผมมองว่าเขาต้องทำแบบนั้นเพราะตลาดเขาเล็ก ต้องเป็นศูนย์กลางหรือ center อะไรสักอย่างเพื่อทำงานภาคบริการ

ของเราเป็นภาคการผลิตนะพอได้ครับ แต่ต้องมีคุณภาพพอ ผมไม่เชื่อนะว่า ถ้าเราทุกคนมาทำภาคบริการหมด แล้วใครจะผลิตละครับ
สุดท้ายมันก็ต้องมีคนผลิตอยู่ดี ทุกอย่างต้องสมดุลครับ

ต้องลองนึกหาตัวอย่างประเทศที่ใหญ่แต่ไม่เน้นผลิตครับ
แต่ที่จริงบ้านเราก็ไม่ใหญ่มากนะ
เพียงแต่ว่าระบบการศึกษามันยิ่งทำให้ไปทางนั้นได้ยากขึ้นไปอีก
พูดถึงว่าถ้าหักดิบตัดภาคการผลิตไปเลย มันก็เหมือนกับว่าเราต้องพยายามทำสิ่งที่ยากก็คือ
ต้องมีความรู้ ต้องมีการศึกษาที่ดี ซึ่งภาคการผลิตอาจจะเป็นตัวถ่วงตรงที่ทำให้คนใช้ชีวิตแบบง่ายๆ
โดยการมาเข้าเป็นภาคแรงงานในอุตสาหกรรมครับ
ไม่รู้ว่าฝันมากไปมั้ย แต่เราควรจะคิดให้ทุกคนมีอะไรที่ดีเท่าเทียมกันได้
ไม่ใช่ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งต้องลงไปอยู่ชนชั้นแรงงาน หรือมีคนรวยเพราะมีลูกน้องที่จนอีก 1000 คนอยู่ข้างล่างคน
รวยคนนั้นอะไรแบบนี้น่ะครับ ชนชั้นแรงงานก็มีได้ แต่อยากให้สเกลลดลงไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ซึ่งพูดถึงว่าถ้าคนฉลาดมากๆ ก็คงค่าตัวแพง ได้ไปทำงานบริหารประเทศต่างๆ อะไรแบบนี้ครับ
ฝ่ายผลิตก็มี แต่ใช้แรงงานจริงๆ น้อยลง มีอะไรไฮเทคๆ เยอะ ซึ่งพูดแล้วมันก็คือการไปทาง
ประเทศที่พัฒนาแล้ว พวกญี่ปุ่น พวกประเทศในสแกนดิเนเวีย ซึ่งถ้าเชื่อในคำพูดที่ใช้กันมากในสป็อตโฆษณา
(ที่ผมไม่ค่อยชอบ ไม่รู้สิว่าเพราะอะไร) "คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก" มันก็อาจจะเป็นไปได้ก็ได้ครับ
แต่การศึกษาที่เจ๋งๆ นี่จะได้ kick start เมื่อไหร่ ก็ไม่รู้เหมือนกันหรืออาจจะไม่มีวันนั้น

ขอออกความเห็นเรื่องชนชั้นแรงงานแล้วกันนะครับ

ชนชั้นแรงงานเป็นกลุ่มที่สำคัญมากในการขับเคลื่อนประเทศเลยครับ ไม่สามารถขาดได้ การลดจำนานชนชั้นแรงงานเป็นการคิดที่ผิดครับ

ออสเตรเลียเองมีชนชั้นแรงงานจำนวนมาก ประชากรไม่ถึง 20% ที่เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังเปิดให้แรงงานต่างชาติในหลายสาขาอาชีพสามารถเข้ามาทำได้อีก

ประเทศพัฒนาแล้ว แรงงานไม่ใช่กระจอกนะครับ ค่าแรงไม่ธรรมดา  แรงงานมีฝีมือ VS วิศวะระดับเริ่มต้น-กลาง  ผมให้เงินเดือนต่างกันเต็มที่ไม่เกิน 2 เท่า เผลอๆไม่หนีกันด้วยซ้ำแล้วแต่งานและประสบการณ์

สำหรับประเทศกำลังพัฒนา ปัญหาคือความเลื่อมล้ำระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง กดเงินเดือนกดฉิบหาย ลูกจ้างโงหัวไม่ขึ้นเหมือนเป็นทาส    ส่วนอีกปัญหานึงก็คือคุณภาพของแรงงานด้วย จากประสบการณ์ที่อยู่ออสเตรเลียมาประสิทธิภาพของแรงงานต่างกันอย่างชัดเจนทั้งระดับกรรมกรไปจนถึงพนักงานออฟฟิต

ใช่คับ แรงงานสำคัญ ไม่มีไม่ได้เลย



Dark Overlord

เรื่องรัฐกลัวว่าจะต้องอุ้มอุตสาหกรรมรถยนต์ในอนาคตเหมือนกับสหรัฐ
ตัวรัฐเองก็อาจจะมองแล้วว่า ตัวเองถ้ายังเป็นผู้รับจ้างผลิตต่อไป ยังไงก็คงไม่ใช่อนาคตที่ดีนัก
อย่างญี่ปุ่นหรืออเมริกาซึ่งมีแบรนด์ของเขาเอง ดังนั้นรัฐจะเข้ามาอุ้มก็ถือว่าเหมาะสม
ส่วนจีนก็ให้บริษัทรถต่างชาติต้องเข้ามาร่วมหุ้นกับบริษัทรถในชาติ
ดังนั้นออสเตรเลียจึงไม่ได้คิดเอาดีทางด้านรับจ้างผลิตเหมือนอย่างเมืองไทย
เพราะมองว่ามีหลายอย่างที่ไม่คุ้ม เช่นเรื่องสิ่งแวดล้อม 

ส่วนเรื่องลดภาษีเพื่อช่วยคนที่จ่ายภาษีให้จ่ายภาษีน้อยๆ ทำให้เศรษฐกิจเจริญขึ้น
ผมเห็นด้วย แล้วอยากให้เมืองไทยทำมั่ง คล้ายๆ กับสิงคโปร์ที่ใช้กลไกทางภาษีฉลาดมาก เก็บน้อยๆ
ส่งเสริมการลงทุนเยอะๆ เน้นความเท่าเทียม (เลยไม่ผูกขาดมีผู้เล่นใหม่เข้าไปลงทุนได้เรื่อยๆ แต่บ้านเราสภาพดูเหมือนตลาดผูกขาดมาก)
http://www.boi.go.th/thai/asean/Singapore/capt5_n.html
ทำไมเราไม่ลองก๊อปเขามาบ้าง 555
ผมว่าสิงคโปร์กับบ้านเราต่างกันเยอะเลยคับ
คนบ้านเรามากกว่า ที่เยอะกว่า ของสิงคโปร์ผมมองว่าเขาต้องทำแบบนั้นเพราะตลาดเขาเล็ก ต้องเป็นศูนย์กลางหรือ center อะไรสักอย่างเพื่อทำงานภาคบริการ

ของเราเป็นภาคการผลิตนะพอได้ครับ แต่ต้องมีคุณภาพพอ ผมไม่เชื่อนะว่า ถ้าเราทุกคนมาทำภาคบริการหมด แล้วใครจะผลิตละครับ
สุดท้ายมันก็ต้องมีคนผลิตอยู่ดี ทุกอย่างต้องสมดุลครับ

ต้องลองนึกหาตัวอย่างประเทศที่ใหญ่แต่ไม่เน้นผลิตครับ
แต่ที่จริงบ้านเราก็ไม่ใหญ่มากนะ
เพียงแต่ว่าระบบการศึกษามันยิ่งทำให้ไปทางนั้นได้ยากขึ้นไปอีก
พูดถึงว่าถ้าหักดิบตัดภาคการผลิตไปเลย มันก็เหมือนกับว่าเราต้องพยายามทำสิ่งที่ยากก็คือ
ต้องมีความรู้ ต้องมีการศึกษาที่ดี ซึ่งภาคการผลิตอาจจะเป็นตัวถ่วงตรงที่ทำให้คนใช้ชีวิตแบบง่ายๆ
โดยการมาเข้าเป็นภาคแรงงานในอุตสาหกรรมครับ
ไม่รู้ว่าฝันมากไปมั้ย แต่เราควรจะคิดให้ทุกคนมีอะไรที่ดีเท่าเทียมกันได้
ไม่ใช่ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งต้องลงไปอยู่ชนชั้นแรงงาน หรือมีคนรวยเพราะมีลูกน้องที่จนอีก 1000 คนอยู่ข้างล่างคน
รวยคนนั้นอะไรแบบนี้น่ะครับ ชนชั้นแรงงานก็มีได้ แต่อยากให้สเกลลดลงไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ซึ่งพูดถึงว่าถ้าคนฉลาดมากๆ ก็คงค่าตัวแพง ได้ไปทำงานบริหารประเทศต่างๆ อะไรแบบนี้ครับ
ฝ่ายผลิตก็มี แต่ใช้แรงงานจริงๆ น้อยลง มีอะไรไฮเทคๆ เยอะ ซึ่งพูดแล้วมันก็คือการไปทาง
ประเทศที่พัฒนาแล้ว พวกญี่ปุ่น พวกประเทศในสแกนดิเนเวีย ซึ่งถ้าเชื่อในคำพูดที่ใช้กันมากในสป็อตโฆษณา
(ที่ผมไม่ค่อยชอบ ไม่รู้สิว่าเพราะอะไร) "คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก" มันก็อาจจะเป็นไปได้ก็ได้ครับ
แต่การศึกษาที่เจ๋งๆ นี่จะได้ kick start เมื่อไหร่ ก็ไม่รู้เหมือนกันหรืออาจจะไม่มีวันนั้น

ขอออกความเห็นเรื่องชนชั้นแรงงานแล้วกันนะครับ

ชนชั้นแรงงานเป็นกลุ่มที่สำคัญมากในการขับเคลื่อนประเทศเลยครับ ไม่สามารถขาดได้ การลดจำนานชนชั้นแรงงานเป็นการคิดที่ผิดครับ

ออสเตรเลียเองมีชนชั้นแรงงานจำนวนมาก ประชากรไม่ถึง 20% ที่เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังเปิดให้แรงงานต่างชาติในหลายสาขาอาชีพสามารถเข้ามาทำได้อีก

ประเทศพัฒนาแล้ว แรงงานไม่ใช่กระจอกนะครับ ค่าแรงไม่ธรรมดา  แรงงานมีฝีมือ VS วิศวะระดับเริ่มต้น-กลาง  ผมให้เงินเดือนต่างกันเต็มที่ไม่เกิน 2 เท่า เผลอๆไม่หนีกันด้วยซ้ำแล้วแต่งานและประสบการณ์

สำหรับประเทศกำลังพัฒนา ปัญหาคือความเลื่อมล้ำระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง กดเงินเดือนกดฉิบหาย ลูกจ้างโงหัวไม่ขึ้นเหมือนเป็นทาส    ส่วนอีกปัญหานึงก็คือคุณภาพของแรงงานด้วย จากประสบการณ์ที่อยู่ออสเตรเลียมาประสิทธิภาพของแรงงานต่างกันอย่างชัดเจนทั้งระดับกรรมกรไปจนถึงพนักงานออฟฟิต

สังคมมนุษย์ที่พยายามพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าถึงจุดนั้นที่เราทำสำเร็จ การจบออกมาเป็นแรงงานทั่วๆ ไป อาจจะเป็นแบบนั้น
ไม่ได้แล้วก็ได้ครับ อาจจะต้องนำเข้าแรงงาน และใช้ robot ในการผลิตมากขึ้น
ผมสังเกตุดูแรงงานทางสมองยังมีความต้องการอีกเยอะครับ ยกตัวอย่างเช่น เกม
ที่ปัจจุบันมีกราฟฟิคสูงมากๆ กลายเป็นว่า ปริมาณเกมจึงออกมาน้อยมาก เพราะว่า manpower
ที่ทำเกมมีไม่พอเนื่องจากต้องใช้ความละเอียดสูงเป็นต้น
อีกหน่อยเมื่อมีการใช้ robot มากขึ้น ก็ต้องการคนที่จะทำโปรแกรมมากขึ้นครับ
ผมจึงคิดว่าแรงงานในศตวรรษที่ผ่าน วันนึงเมื่อคนฉลาดขึ้นมากๆ ก็อาจจะไม่ได้มีแรงงาน
เป็นคนอีกต่อไป ตามพัฒนาการทางธรรมชาติของมนุษย์ครับ
แต่ปัจจุบันเรายังต้องการแรงงานทางอุตสาหกรรม แรงงานทางการเกษตร แรงงานในโรงงาน
เพราะเรายังไม่ได้ไปถึงจุดนั้น



mamaman


ผมว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว

เค้าให้คุณค่าด้านแรงงานนะ

ออสเตรเลีย นี่ เชิดชู กรรมกรสุดๆ

ต่างกะไทย โครตกด โครตเยียด กรรมกรและเกษตรกรรม

บ้าแต่การศึกษา ที่ลอกๆเค้ามา
แต่ ล้าหลัง การปฏิบัติจริง

ถือปริญญา อวดเก่ง แต่ ไม่เคยลงมือ ทำแต่ Excel



swan


ผมว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว

เค้าให้คุณค่าด้านแรงงานนะ

ออสเตรเลีย นี่ เชิดชู กรรมกรสุดๆ

ต่างกะไทย โครตกด โครตเยียด กรรมกรและเกษตรกรรม

บ้าแต่การศึกษา ที่ลอกๆเค้ามา
แต่ ล้าหลัง การปฏิบัติจริง

ถือปริญญา อวดเก่ง แต่ ไม่เคยลงมือ ทำแต่ Excel

อือ.....มันก็จริงนะ แต่ถ้ามองอีกมุม กรรมกรบ้านเรายังขาดในเรื่องของความรู้ความชำนาญในสาขางานที่ตัวเองทำอยู่มาก โดยเฉพาะเรื่องความรับผิดชอบนี่ขาดเอามากๆ นี่กระมังถึงไม่มีใครอยากจ้างแพงๆ ลองไปดูที่ออสเตรเลียเค้าซิ คนของเค้าความรับผิดชอบสูงมาก



BenzParagon

ไม่ ส่งเสริม ให้ เป็น ง่อย ทาง สมอง

ไม่ ส่งเสริม ให้ เป็น ง่อย ทาง ร่างกาย

Hybrid Battery Of Mercedes-Benz Thailand https://goo.gl/3nn9sk

มาตรา 157 https://goo.gl/lIGkMt

lim n = 0 , n -> ...

0 = 1

?



Dark Overlord

ความจริงทำงานที่ใช้สมอง ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องนั่งเฉยๆ ยังออกแรงเหนื่อยเหมือนเดิมก็ได้ครับ
555 แต่คนหนึ่งคนอาจจะทำงานได้ดีกว่าเดิม 100 เท่า จากเดิมที่ต้องใช้ 100 คนก็ใช้แค่คนเดียว
และต้องมีสมองถึงจะทำได้ดี เงินเดือนก็ต้องสูงแน่นอน

คิดง่ายๆ ว่า เดิมมี
แรงงาน 1000 คน มี productivity คนละ 5 เท่าทำผลิตได้ 5000
แต่ถ้าแรงงานมีสมอง ใช้สกิลซับซ้อนขึ้น ใช้เทคนิคได้สูงขึ้น อาจผลิตได้ 500000

คนที่เหลือหลายคนอาจมีสมองคิดธุรกิจ คิดทำอะไรามที่ตัวเองฝันได้มากขึ้น และไม่จน
พูดไปก็ฟังเหมือนประเทศรวยๆ ขึ้นทุกทีๆ คือคนจะอิสระมากขึ้นเมื่อมีสมอง
หากแรงงานไม่พอ ก็ต้องหาวิธีเพิ่ม productivity

แต่ถ้าเราคิดไม่ได้ เราก็ต้องพึ่งแรงงานต่อไป ที่แย่ที่สุดคือพวกแรงงานทาส
ดีขึ้นมาหน่อยคือแรงงานที่ได้เงินตามจั้นพื้นฐาน แต่ว่าสุดท้ายก็อาจจะเป็นภาระทางสังคมอีก
เพราะเงินเก็บไม่ค่อยมี และมีปัญหาสุขภาพ
แรงงานที่ดีคือมีความรู้ความสามารถ มีสกิล มีสมอง เงินเดือนสูง และไม่ได้
ทำงานที่ง่าย เพราะมีเครื่องจักร มีสมองกลให้ควบคุมแทน

แต่ถ้าเรายังหวังพึ่งแรงงานแบบปัจจุบัน ก็เหมือนเราต้องการทาสไว้ทำงาน เงินเดือนต้องไม่สูง
ราคาสินค้าจะได้แข่งกับต่างประเทศได้ ฟังแล้วเศร้า แต่คนอื่นๆ จะ happy เมื่อคนเหล่านี้ผลิต
สินค้าได้ถูกกว่า และคนพวกนี้ก็เงินค่าแรงถูกกว่า โดยไม่สนใจใน welfare ของพวกเขา

ผมเคยทำงานอยู่ใกล้กับคนที่ทำงานในไลน์ผลิตรถ welfare ของพวกเขาถือว่าดี
ทุกคน happy แต่ธรรมชาติของคนเมื่อเราฉลาดขึ้น ก็ไม่อยากทำตรงนั้น งานที่ซ้ำๆ
กับงานที่ใช้ความแม่นยำ ใช้หุ่นยนต์ทำก็ได้ แต่คนจริงๆ มีสกิลหลากหลายมาก
ถ้าส่งเสริมได้ ธุรกิจ หรือการผลิตมันก็แตกแขนงไปได้อีกไม่มีที่สิ้นสุด ผมจึงไม่มองว่า
ต้องพึ่งพาแรงงาน เพราะแรงงานเรามีได้แต่เราไม่ควรพึ่ง ถ้าเก่งได้ทุกคนมากเท่าไหร่ยิ่งดี
คนจะไม่ได้เป็นง่อย คนฉลาดมักจะทำให้สุขภาพตัวเองดีสุดๆ แข็งแรง อายุยืน ไม่มีโรค กินอาหารมีประโยชน์
พูดไปพูดมานี่คือยูโทเปีย 555




h0661036

ประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ อัตราการเจริญเติบโตจะไม่สูง  อย่างรถยนต์แต่ละครัวเรือนก็คงมีกันหมดแล้ว อย่างมากก็คือเก่าและเปลี่ยนใหม่  ด้วยแรงงานน้อย แถมกีดกันแรงงานต่างชาติอีก ค่าแรงก็สูง  เรื่องเขตการค้าเสรีที่สำมารถนำเข้ารถยนต์ จากต่างประเทศโดยเสียอัตราภาษีต่ำ ก็คงไม่มีเหตุผลที่ต้องฝืน    ในส่วนแรงงานก็คงย้ายไปหาอย่างอื่นทำ  ทุกวันนี้อุตสาหกกรมที่โดดเด่นก็คือเหมืองแร่ อย่างทองคำที่เราซื้อกันทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ก็นำเข้ามาจากออสเตเรีย


  อย่างประเทศที่ใช้นโยบายสุดขั้วอย่างมาเลเซียในอดีตที่พยายามสร้างบริษัทรถยนต์แห่งชาติ (โปรตรอน)  สุดท้ายก็ไม่ success  ไม่รู้ว่าหมดเงินไปเท่าไหร่ และสิ่งที่ได้มันคุ้มกันมั้ย  ถ้าเกิดมาเลเซียไม่ดำเนินนโยบายปกป้องอุตสาหกรรมรถยนต์ในอดีต  ไทยเราอาจจะไม่ผงาดได้อย่างทุกวันนี้
 
         



e:smart Hybrid


ผมว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว

เค้าให้คุณค่าด้านแรงงานนะ

ออสเตรเลีย นี่ เชิดชู กรรมกรสุดๆ

ต่างกะไทย โครตกด โครตเยียด กรรมกรและเกษตรกรรม

บ้าแต่การศึกษา ที่ลอกๆเค้ามา
แต่ ล้าหลัง การปฏิบัติจริง

ถือปริญญา อวดเก่ง แต่ ไม่เคยลงมือ ทำแต่ Excel

อือ.....มันก็จริงนะ แต่ถ้ามองอีกมุม กรรมกรบ้านเรายังขาดในเรื่องของความรู้ความชำนาญในสาขางานที่ตัวเองทำอยู่มาก โดยเฉพาะเรื่องความรับผิดชอบนี่ขาดเอามากๆ นี่กระมังถึงไม่มีใครอยากจ้างแพงๆ ลองไปดูที่ออสเตรเลียเค้าซิ คนของเค้าความรับผิดชอบสูงมาก
เห็นด้วยเลยคับ ต้องคุมไม่งั้นหลุด



SM.

จริงๆน่าจะจบมาตั้งนานแล้วนะครับ นี่ก็ยังลากมาอีกตั้งหลายปี



gorilla

ทุกคนในประเทศต้องมีการศึกษาสูงระดับปริญญาจริงเหรอครับ?
- มองง่ายๆนะครับ ถ้าทุกคนมีการศึกษาสูงทำงานในระดับใช้สมองทั้งหมด แล้วคุณจะหาคนที่มาทำงานระดับปฏิบัติการได้ที่ไหนครับ สถาปนิกหรือวิศวะกรโยธาคงไม่มาก่ออิฐฉาบปูนเองหรอกมั้งครับ  สถาปนิกคนเดียวสามารถออกแบบตึกได้ แต่คุณไม่สามารถสร้างบ้านได้ด้วยแรงงานเพียงคนเดียวนะครับ เพราะฉะนั้นจำนวนแรงงานมีความสำคัญมาก

มองแรงงานแค่ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เหรอครับ?
- ผมจะแบ่งแรงงานออกเป็น 3 ระดับนะครับ
1. ระดับมันสมอง เช่น วิศวะกร แพทย์ ทนาย บัญชี การเงิน ผู้บริหาร .....(ปริญญา)
2. ระดับมีผีมือ เช่น ช่างปูน ช่างไม้ ช่างเหล็ก ช่างทำผม ช่างยนต์ เชฟทำอาหาร....(วิชาชีพ)
3. ระดับไม่มีฝีมือ เช่น กรรมกรแบกหามทั่วไป พนักงานทำความสะอาด พนักงานร้านอาหาร ......
ทุกๆคนคือผู้ใช้แรงงาน และกระจายอยู่ตามกลุ่มธุรกิจต่างๆตั้งแต่ระดับเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่

คิดว่าเครื่องอัตโนมัติทั้งหลายสามารถแทนแรงงานจากคนได้จริงหรือครับ?
- มันใช้ได้แค่ทางอุตสาหกรรมและเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เท่านั้นแหละครับ  ทำไมทุกวันนี้คุณต้องสั่งกาแฟสตาร์บัคกับพนักงาน ทั้งๆที่สามารถสร้างตู้หยอดเหรียญหรือจ่ายผ่านบัตรเครดิตได้สบายๆ

คิดว่าการที่คุณนั่งทำงานออฟฟิตแล้วใช้สมองมากกว่าร่างกายเป็นอาชีพที่ดีกว่ามีเกียรติกว่าหรือเงินเดือนต้องมากกว่างานที่ใช้ร่างกายเสมอไปเหรอครับ?
- เป็นความคิดของประเทศด้อยพัฒนาอย่างแท้จริง  ประเทศพัฒนาแล้วเค้าค่อยข้างให้ความสำคัญและเคารพกับทุกคนทุกอาชีพ ทุกอาชีพมีความสำคัญ ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าคุณเกิดมาในครอบครัวชนชั้นกลาง มีการศึกษา จบมหาวิทยาลัยและทำงานในออฟฟิต คุณสามารถไปเก็บขยะหรือขุดดินทำไร่ได้หรือไม่? คำตอบคงไม่ได้  มนุษย์เรามีความสามารถและความถนัดเฉพาะตัว บางคนทำอย่างนึงได้แต่ทำอีกอย่างนึงไม่ได้ ทุกคนมีหน้าที่ช่วยเติมเต็มกันและกันนั่นคือแนวคิดที่ถูกต้อง ไม่ใช่ไปดูถูกอาชีพผู้ใช้แรงงานว่าด้อยกว่า แน่นอนว่าอาชีพที่มีความรับผิดชอบในการทำผลไรให้กับบริษัทมากกว่าย่อมควรจะได้ค่าตอบแทนที่มากกว่าเป็นเรื่องธรรมดา


ในประเทศด้อยพัฒนาก็อาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เนื่องจากชนชั้นแรงงานถูกเปรียบเหมือนกับชนชั้นระดับล่าง มันก็เป็นเรื่องน่าเศร้า

อีกมุมนึงแรงงานในประเทศด้อยพัฒนาเองก็ยังขาดความรู้และความรับผิดชอบอยู่มากเช่นกัน



Nonlamer

ดีครับ เป็นผลดีต่อประเทศเค้าเอง



Dark Overlord

ทุกคนในประเทศต้องมีการศึกษาสูงระดับปริญญาจริงเหรอครับ?
- มองง่ายๆนะครับ ถ้าทุกคนมีการศึกษาสูงทำงานในระดับใช้สมองทั้งหมด แล้วคุณจะหาคนที่มาทำงานระดับปฏิบัติการได้ที่ไหนครับ สถาปนิกหรือวิศวะกรโยธาคงไม่มาก่ออิฐฉาบปูนเองหรอกมั้งครับ  สถาปนิกคนเดียวสามารถออกแบบตึกได้ แต่คุณไม่สามารถสร้างบ้านได้ด้วยแรงงานเพียงคนเดียวนะครับ เพราะฉะนั้นจำนวนแรงงานมีความสำคัญมาก

มองแรงงานแค่ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เหรอครับ?
- ผมจะแบ่งแรงงานออกเป็น 3 ระดับนะครับ
1. ระดับมันสมอง เช่น วิศวะกร แพทย์ ทนาย บัญชี การเงิน ผู้บริหาร .....(ปริญญา)
2. ระดับมีผีมือ เช่น ช่างปูน ช่างไม้ ช่างเหล็ก ช่างทำผม ช่างยนต์ เชฟทำอาหาร....(วิชาชีพ)
3. ระดับไม่มีฝีมือ เช่น กรรมกรแบกหามทั่วไป พนักงานทำความสะอาด พนักงานร้านอาหาร ......
ทุกๆคนคือผู้ใช้แรงงาน และกระจายอยู่ตามกลุ่มธุรกิจต่างๆตั้งแต่ระดับเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่

คิดว่าเครื่องอัตโนมัติทั้งหลายสามารถแทนแรงงานจากคนได้จริงหรือครับ?
- มันใช้ได้แค่ทางอุตสาหกรรมและเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เท่านั้นแหละครับ  ทำไมทุกวันนี้คุณต้องสั่งกาแฟสตาร์บัคกับพนักงาน ทั้งๆที่สามารถสร้างตู้หยอดเหรียญหรือจ่ายผ่านบัตรเครดิตได้สบายๆ

คิดว่าการที่คุณนั่งทำงานออฟฟิตแล้วใช้สมองมากกว่าร่างกายเป็นอาชีพที่ดีกว่ามีเกียรติกว่าหรือเงินเดือนต้องมากกว่างานที่ใช้ร่างกายเสมอไปเหรอครับ?
- เป็นความคิดของประเทศด้อยพัฒนาอย่างแท้จริง  ประเทศพัฒนาแล้วเค้าค่อยข้างให้ความสำคัญและเคารพกับทุกคนทุกอาชีพ ทุกอาชีพมีความสำคัญ ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าคุณเกิดมาในครอบครัวชนชั้นกลาง มีการศึกษา จบมหาวิทยาลัยและทำงานในออฟฟิต คุณสามารถไปเก็บขยะหรือขุดดินทำไร่ได้หรือไม่? คำตอบคงไม่ได้  มนุษย์เรามีความสามารถและความถนัดเฉพาะตัว บางคนทำอย่างนึงได้แต่ทำอีกอย่างนึงไม่ได้ ทุกคนมีหน้าที่ช่วยเติมเต็มกันและกันนั่นคือแนวคิดที่ถูกต้อง ไม่ใช่ไปดูถูกอาชีพผู้ใช้แรงงานว่าด้อยกว่า แน่นอนว่าอาชีพที่มีความรับผิดชอบในการทำผลไรให้กับบริษัทมากกว่าย่อมควรจะได้ค่าตอบแทนที่มากกว่าเป็นเรื่องธรรมดา


ในประเทศด้อยพัฒนาก็อาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เนื่องจากชนชั้นแรงงานถูกเปรียบเหมือนกับชนชั้นระดับล่าง มันก็เป็นเรื่องน่าเศร้า

อีกมุมนึงแรงงานในประเทศด้อยพัฒนาเองก็ยังขาดความรู้และความรับผิดชอบอยู่มากเช่นกัน

ที่เขียนมาค่อนข้างมีหลายๆ ประเด็นรวมกันครับ ค่อยๆ ตามผมนะครับ
คือว่าถ้ารวมหลายประเด็นมากๆ ความคิดเราจะสับสนน่ะครับ

- เรื่อง respect ชนชั้นแรงงาน อันนี้ผมไม่ได้แตะต้องเลยครับ
มันขึ้นอยู่กับค่านิยมของแต่ละประเทศ ผมว่าไม่เกี่ยวกับหัวข้อนี้เลยครับ

- เรื่องทุกคนต้องจบปริญญาตรี อันนี้ผมก็ไม่ได้แตะต้องครับ ผมพูดถึงการพัฒนาคนให้มีสกิล
สูงสุด มีระดับมันสมองที่ดีครับ จบสายอาชีพ หรือจะจบอะไรก็ไดครับ

- ทุกคนมีความถนัด ความสามารถแตกต่างกัน อันนี้ถูกต้องครับ
แต่เราจะแบ่งว่าคนมีสองประเภทคือ labor กับไม่ labor อันนี้ไม่ใช่ครับ คนเรามีสกิล
มากมายไม่มีที่สิ้นสุด ที่จริงการใช้แรงงานจำนวนมากในโรงงานปัจจุบันสำหรับงานที่ไม่ได้ใช้
สมองหรือสกิลถือเป็นการจำกัดความสามารถที่มากมายของคนหลายๆ คนครับ

- ทุกคนฉลาดมากๆ อันนี้เป็นไปได้ครับ เพราะทางวิทยาศาสตร์เด็กทุกคนล้วนเกิดมามี
สกิลอัจฉริยะบางอย่างแฝงอยู่ ดังนั้นถ้าเป็นพ่อแม่คนเมื่อไหร่ให้แคร์เรื่องนี้นิดนึงครับและลูก
ก็จะเก่งได้ค่อนข้างแน่นอน ถ้าสมัยก่อนเราจะเลี้ยงแนวปล่อยๆ ตามยถากรรม ทำให้สกิล
ของเด็กไม่ได้ถูกทำให้เกิดก็มีมากมาย บางคนก็เก่ง แต่มัน random มากไปเพราะคนเลี้ยง
ไม่มีความรู้ในการเลี้ยงดู

- ความเป็นห่วงเรื่องการขาดแรงงาน แรงงานก่อสร้าง ก่อหิน ฉาบปูน อันนี้ก็เป็นอีกเรื่องครับ
ไม่ควรคิดแบบรวมกัน เมื่อมีปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ก็ต้องแกปัญหาเรื่องการขาดแคลนแรงงาน
ครับ มันจะไม่เกี่ยวกับเรื่องการกำหนดหรือการควบคุมเพื่อให้คนต้องมาเป็นแรงงาน เพราะ
เมื่อทุกคนฉลาด คนก็จะเลือกทางเลือกที่ฉลาดครับ คุณอาจจะหาคนฉลาดๆ มาฉาบปูนได้ก็ได้ แต่
ราคาค่าตัวต้องแพงสมน้ำสมเนื้อ ซึ่งมันก็จะตรงกับสิ่งที่เกิดในต่างประเทศอีกน่ะแหล่ะ อันนี้ผมคิด
ตามเหตุผลนะครับ แล้วเวลาคิดต้องแยกทุกประเด็นออกจากกัน ดังนั้นจะกลายเป็นว่างานที่ไม่น่าทำ
จะมีคนมาทำก็ต่อเมื่อจ้างเขาในราคาแพง จะไม่มีการจ้างแรงงานที่ถูกมากๆ

แล้วท้ายที่สุดในอนาคต งานพื้นฐานพวกนี้ก็จะเป็นงานของเครื่องจักรครับ
จะเห็นว่าเราคิดตั้งต้นต่างกัน ผมนึกถึงธรรมชาติของมนุษย์และการพัฒนาคน เป้าหมาย
ในการพัฒนาคนเป็นหลัก
แต่ถ้านึกแบบสิ่งที่เกิดอยู่ในปัจจุบัน ทุกอย่างก็เป็นแบบที่เป็นอยู่ล่ะครับ
เราต้องดูแลแรงงาน เราต้องคอยกังวลเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ เราต้องกลัวคนจะอดอยาก
ยากจน กลัวประชาชนจะไม่มีเงินเก็บ กลัวหลายๆ เรื่องครับ ส่วนรัฐก็ต้องคอยประคับประคอง
ตลอด แต่ถ้าสังคมมาแบบ full smart เต็มที่ เรื่องพวกนี้จะไม่เกิดเลยครับ รัฐมีหน้าที่ดูแลความ
ปลอดภัยเป็นหลักอย่างเดียว

เรื่องฉาบปูน ผมก็เห็นว่าสมัยนี้มี precast ยกมาจากโรงงานเลย ส่วนบ้านที่สร้างก็เร็วมาก
เพราะโรงงานจัดการสำเร็จรูปมาให้ ส่วนในโรงงาน เทคโนโลยี่ก็ปรับขึ้นมากเรื่อยๆ มากกว่า
พึ่งแรงงานพื้นฐาน trend มันกำลังไปทางนี้แล้วล่ะครับ เป็นห่วงเรื่องเดียวว่าจะทำยังไง
ให้ทุกคนฉลาดแบบในอุดมคติได้ยังไงดีกว่าครับ มันมีแต่ข้อดีนะครับ ถ้าหลงประเด็น เราก็ยัง
อยู่จุดเดิมๆ ซึ่งเราทุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้วอะครับ




mamaman



 สังคมมนุษย์ก้ไม่ต่างตากสัตว์ชนิดอื่นหรอกครับ
กลุ่มแรงงาน ก้ยัต้องมีมาก
แต่เป้นแรงงานที่ฉลาดมีทักษะ จากการส่งเสริม

ไม่ใช่จะเอาจบปริญยาตรีกันหมดทุกคน



Dark Overlord



 สังคมมนุษย์ก้ไม่ต่างตากสัตว์ชนิดอื่นหรอกครับ
กลุ่มแรงงาน ก้ยัต้องมีมาก
แต่เป้นแรงงานที่ฉลาดมีทักษะ จากการส่งเสริม

ไม่ใช่จะเอาจบปริญยาตรีกันหมดทุกคน

ฉลาดนี่ไม่ต้องจบปริญญาตรีก็ได้ครับ ฮือๆ (เขียนตอบไปแล้วข้างบน)
ยุคที่ผมเขียนนี่มันเกิดขึ้นแล้วในนิยายที่อิงทางวิทยาศาสตร์หลายๆ เรื่อง
หลายประเทศก็ทำได้แบบนั้นแล้ว (ใกล้เคียง)
มันอยู่ที่ว่าเราอยากจะเปลี่ยนตัวเองรึเปล่าครับ หรือชอบในแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

จริงๆ เราไม่น่าจะหวาดกลัวว่าคนประเทศเราจะฉลาดทุกคนนะครับ
นี่เป็นความใฝ่ฝันของทุกประเทศ ของทุกครอบครัวที่มีลูก

ส่วนเรื่องกลัวแรงงานไม่มี ก็ต้องหาทางแก้ไขด้วยมันสมองและสติปัญญาครับ
เราอาจจะจำเป็นต้องจ้างคนที่ฉลาดมาทำด้วยราคาแพง แต่ถ้าทุกคนฉลาด ณ วันนั้น
ประเทศเราน่าจะร่ำรวยมาก หรือเราอาจจะไม่ต้องใช้คนมาทำ แต่สามารถคิดเทคโนโลยี
มาช่วยทำงานได้ ทำให้ใช้คนปริมาณน้อยลง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 01, 2017, 18:52:16 โดย Dark Overlord »



e:smart Hybrid



 สังคมมนุษย์ก้ไม่ต่างตากสัตว์ชนิดอื่นหรอกครับ
กลุ่มแรงงาน ก้ยัต้องมีมาก
แต่เป้นแรงงานที่ฉลาดมีทักษะ จากการส่งเสริม

ไม่ใช่จะเอาจบปริญยาตรีกันหมดทุกคน

ฉลาดนี่ไม่ต้องจบปริญญาตรีก็ได้ครับ ฮือๆ (เขียนตอบไปแล้วข้างบน)
ยุคที่ผมเขียนนี่มันเกิดขึ้นแล้วในนิยายที่อิงทางวิทยาศาสตร์หลายๆ เรื่อง
หลายประเทศก็ทำได้แบบนั้นแล้ว (ใกล้เคียง)
มันอยู่ที่ว่าเราอยากจะเปลี่ยนตัวเองรึเปล่าครับ หรือชอบในแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

จริงๆ เราไม่น่าจะหวาดกลัวว่าคนประเทศเราจะฉลาดทุกคนนะครับ
นี่เป็นความใฝ่ฝันของทุกประเทศ ของทุกครอบครัวที่มีลูก

ส่วนเรื่องกลัวแรงงานไม่มี ก็ต้องหาทางแก้ไขด้วยมันสมองและสติปัญญาครับ
เราอาจจะจำเป็นต้องจ้างคนที่ฉลาดมาทำด้วยราคาแพง แต่ถ้าทุกคนฉลาด ณ วันนั้น
ประเทศเราน่าจะร่ำรวยมาก หรือเราอาจจะไม่ต้องใช้คนมาทำ แต่สามารถคิดเทคโนโลยี
มาช่วยทำงานได้ ทำให้ใช้คนปริมาณน้อยลง
คับ งั้นสรุปแนวคิดเราตรงกัน



delete

ทุกคนในประเทศต้องมีการศึกษาสูงระดับปริญญาจริงเหรอครับ?
- มองง่ายๆนะครับ ถ้าทุกคนมีการศึกษาสูงทำงานในระดับใช้สมองทั้งหมด แล้วคุณจะหาคนที่มาทำงานระดับปฏิบัติการได้ที่ไหนครับ สถาปนิกหรือวิศวะกรโยธาคงไม่มาก่ออิฐฉาบปูนเองหรอกมั้งครับ  สถาปนิกคนเดียวสามารถออกแบบตึกได้ แต่คุณไม่สามารถสร้างบ้านได้ด้วยแรงงานเพียงคนเดียวนะครับ เพราะฉะนั้นจำนวนแรงงานมีความสำคัญมาก

มองแรงงานแค่ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เหรอครับ?
- ผมจะแบ่งแรงงานออกเป็น 3 ระดับนะครับ
1. ระดับมันสมอง เช่น วิศวะกร แพทย์ ทนาย บัญชี การเงิน ผู้บริหาร .....(ปริญญา)
2. ระดับมีผีมือ เช่น ช่างปูน ช่างไม้ ช่างเหล็ก ช่างทำผม ช่างยนต์ เชฟทำอาหาร....(วิชาชีพ)
3. ระดับไม่มีฝีมือ เช่น กรรมกรแบกหามทั่วไป พนักงานทำความสะอาด พนักงานร้านอาหาร ......
ทุกๆคนคือผู้ใช้แรงงาน และกระจายอยู่ตามกลุ่มธุรกิจต่างๆตั้งแต่ระดับเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่

คิดว่าเครื่องอัตโนมัติทั้งหลายสามารถแทนแรงงานจากคนได้จริงหรือครับ?
- มันใช้ได้แค่ทางอุตสาหกรรมและเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เท่านั้นแหละครับ  ทำไมทุกวันนี้คุณต้องสั่งกาแฟสตาร์บัคกับพนักงาน ทั้งๆที่สามารถสร้างตู้หยอดเหรียญหรือจ่ายผ่านบัตรเครดิตได้สบายๆ

คิดว่าการที่คุณนั่งทำงานออฟฟิตแล้วใช้สมองมากกว่าร่างกายเป็นอาชีพที่ดีกว่ามีเกียรติกว่าหรือเงินเดือนต้องมากกว่างานที่ใช้ร่างกายเสมอไปเหรอครับ?
- เป็นความคิดของประเทศด้อยพัฒนาอย่างแท้จริง  ประเทศพัฒนาแล้วเค้าค่อยข้างให้ความสำคัญและเคารพกับทุกคนทุกอาชีพ ทุกอาชีพมีความสำคัญ ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าคุณเกิดมาในครอบครัวชนชั้นกลาง มีการศึกษา จบมหาวิทยาลัยและทำงานในออฟฟิต คุณสามารถไปเก็บขยะหรือขุดดินทำไร่ได้หรือไม่? คำตอบคงไม่ได้  มนุษย์เรามีความสามารถและความถนัดเฉพาะตัว บางคนทำอย่างนึงได้แต่ทำอีกอย่างนึงไม่ได้ ทุกคนมีหน้าที่ช่วยเติมเต็มกันและกันนั่นคือแนวคิดที่ถูกต้อง ไม่ใช่ไปดูถูกอาชีพผู้ใช้แรงงานว่าด้อยกว่า แน่นอนว่าอาชีพที่มีความรับผิดชอบในการทำผลไรให้กับบริษัทมากกว่าย่อมควรจะได้ค่าตอบแทนที่มากกว่าเป็นเรื่องธรรมดา


ในประเทศด้อยพัฒนาก็อาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เนื่องจากชนชั้นแรงงานถูกเปรียบเหมือนกับชนชั้นระดับล่าง มันก็เป็นเรื่องน่าเศร้า

อีกมุมนึงแรงงานในประเทศด้อยพัฒนาเองก็ยังขาดความรู้และความรับผิดชอบอยู่มากเช่นกัน

ที่เขียนมาค่อนข้างมีหลายๆ ประเด็นรวมกันครับ ค่อยๆ ตามผมนะครับ
คือว่าถ้ารวมหลายประเด็นมากๆ ความคิดเราจะสับสนน่ะครับ

- เรื่อง respect ชนชั้นแรงงาน อันนี้ผมไม่ได้แตะต้องเลยครับ
มันขึ้นอยู่กับค่านิยมของแต่ละประเทศ ผมว่าไม่เกี่ยวกับหัวข้อนี้เลยครับ

- เรื่องทุกคนต้องจบปริญญาตรี อันนี้ผมก็ไม่ได้แตะต้องครับ ผมพูดถึงการพัฒนาคนให้มีสกิล
สูงสุด มีระดับมันสมองที่ดีครับ จบสายอาชีพ หรือจะจบอะไรก็ไดครับ

- ทุกคนมีความถนัด ความสามารถแตกต่างกัน อันนี้ถูกต้องครับ
แต่เราจะแบ่งว่าคนมีสองประเภทคือ labor กับไม่ labor อันนี้ไม่ใช่ครับ คนเรามีสกิล
มากมายไม่มีที่สิ้นสุด ที่จริงการใช้แรงงานจำนวนมากในโรงงานปัจจุบันสำหรับงานที่ไม่ได้ใช้
สมองหรือสกิลถือเป็นการจำกัดความสามารถที่มากมายของคนหลายๆ คนครับ

- ทุกคนฉลาดมากๆ อันนี้เป็นไปได้ครับ เพราะทางวิทยาศาสตร์เด็กทุกคนล้วนเกิดมามี
สกิลอัจฉริยะบางอย่างแฝงอยู่ ดังนั้นถ้าเป็นพ่อแม่คนเมื่อไหร่ให้แคร์เรื่องนี้นิดนึงครับและลูก
ก็จะเก่งได้ค่อนข้างแน่นอน ถ้าสมัยก่อนเราจะเลี้ยงแนวปล่อยๆ ตามยถากรรม ทำให้สกิล
ของเด็กไม่ได้ถูกทำให้เกิดก็มีมากมาย บางคนก็เก่ง แต่มัน random มากไปเพราะคนเลี้ยง
ไม่มีความรู้ในการเลี้ยงดู

- ความเป็นห่วงเรื่องการขาดแรงงาน แรงงานก่อสร้าง ก่อหิน ฉาบปูน อันนี้ก็เป็นอีกเรื่องครับ
ไม่ควรคิดแบบรวมกัน เมื่อมีปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ก็ต้องแกปัญหาเรื่องการขาดแคลนแรงงาน
ครับ มันจะไม่เกี่ยวกับเรื่องการกำหนดหรือการควบคุมเพื่อให้คนต้องมาเป็นแรงงาน เพราะ
เมื่อทุกคนฉลาด คนก็จะเลือกทางเลือกที่ฉลาดครับ คุณอาจจะหาคนฉลาดๆ มาฉาบปูนได้ก็ได้ แต่
ราคาค่าตัวต้องแพงสมน้ำสมเนื้อ ซึ่งมันก็จะตรงกับสิ่งที่เกิดในต่างประเทศอีกน่ะแหล่ะ อันนี้ผมคิด
ตามเหตุผลนะครับ แล้วเวลาคิดต้องแยกทุกประเด็นออกจากกัน ดังนั้นจะกลายเป็นว่างานที่ไม่น่าทำ
จะมีคนมาทำก็ต่อเมื่อจ้างเขาในราคาแพง จะไม่มีการจ้างแรงงานที่ถูกมากๆ

แล้วท้ายที่สุดในอนาคต งานพื้นฐานพวกนี้ก็จะเป็นงานของเครื่องจักรครับ
จะเห็นว่าเราคิดตั้งต้นต่างกัน ผมนึกถึงธรรมชาติของมนุษย์และการพัฒนาคน เป้าหมาย
ในการพัฒนาคนเป็นหลัก
แต่ถ้านึกแบบสิ่งที่เกิดอยู่ในปัจจุบัน ทุกอย่างก็เป็นแบบที่เป็นอยู่ล่ะครับ
เราต้องดูแลแรงงาน เราต้องคอยกังวลเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ เราต้องกลัวคนจะอดอยาก
ยากจน กลัวประชาชนจะไม่มีเงินเก็บ กลัวหลายๆ เรื่องครับ ส่วนรัฐก็ต้องคอยประคับประคอง
ตลอด แต่ถ้าสังคมมาแบบ full smart เต็มที่ เรื่องพวกนี้จะไม่เกิดเลยครับ รัฐมีหน้าที่ดูแลความ
ปลอดภัยเป็นหลักอย่างเดียว

เรื่องฉาบปูน ผมก็เห็นว่าสมัยนี้มี precast ยกมาจากโรงงานเลย ส่วนบ้านที่สร้างก็เร็วมาก
เพราะโรงงานจัดการสำเร็จรูปมาให้ ส่วนในโรงงาน เทคโนโลยี่ก็ปรับขึ้นมากเรื่อยๆ มากกว่า
พึ่งแรงงานพื้นฐาน trend มันกำลังไปทางนี้แล้วล่ะครับ เป็นห่วงเรื่องเดียวว่าจะทำยังไง
ให้ทุกคนฉลาดแบบในอุดมคติได้ยังไงดีกว่าครับ มันมีแต่ข้อดีนะครับ ถ้าหลงประเด็น เราก็ยัง
อยู่จุดเดิมๆ ซึ่งเราทุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้วอะครับ

ผมไม่ได้จะค้านนะครับ แต่เห็นว่า ยังลืมเรื่องนึงไป หรืออาจจะพูดถึงกัน แต่เรียกไม่เหมือนกัน
คือในแง่ที่ว่า ไม่แคร์ว่าคุณจะจบปริญญา หรือไม่จบปริญญา และไม่ใช่เรื่องที่ว่าให้เกียรติ ไม่ให้เกียรติ คนที่งานช่าง งานกรรมกร แล้วยกย่องคนทำงานใช้หัวสมอง
ผมว่า ตรงนั้น มันผิดประเด็นไป
ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ไม่ว่าคุณจะทำงานใช้สมอง หรือทำงานใช้ฝีมือ หรือใช้แรงงาน อะไรก็ตาม
คุณมีความเชี่ยวชาญในงานที่คุณทำมากน้อยแค่ไหน ตรงนี้แหละจะผันแปรไปตามความสามารถของคุณ
นี่คือความคิดที่ประเทศพัฒนาแล้วเขาคิดกัน

ซึ่งผมว่า บ้านเรายังไม่ถึงขั้นนั้นนะ ถ้าแก้ตรงนี้ได้ ถึงจะตรงจุด



Dark Overlord

ทุกคนในประเทศต้องมีการศึกษาสูงระดับปริญญาจริงเหรอครับ?
- มองง่ายๆนะครับ ถ้าทุกคนมีการศึกษาสูงทำงานในระดับใช้สมองทั้งหมด แล้วคุณจะหาคนที่มาทำงานระดับปฏิบัติการได้ที่ไหนครับ สถาปนิกหรือวิศวะกรโยธาคงไม่มาก่ออิฐฉาบปูนเองหรอกมั้งครับ  สถาปนิกคนเดียวสามารถออกแบบตึกได้ แต่คุณไม่สามารถสร้างบ้านได้ด้วยแรงงานเพียงคนเดียวนะครับ เพราะฉะนั้นจำนวนแรงงานมีความสำคัญมาก

มองแรงงานแค่ภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เหรอครับ?
- ผมจะแบ่งแรงงานออกเป็น 3 ระดับนะครับ
1. ระดับมันสมอง เช่น วิศวะกร แพทย์ ทนาย บัญชี การเงิน ผู้บริหาร .....(ปริญญา)
2. ระดับมีผีมือ เช่น ช่างปูน ช่างไม้ ช่างเหล็ก ช่างทำผม ช่างยนต์ เชฟทำอาหาร....(วิชาชีพ)
3. ระดับไม่มีฝีมือ เช่น กรรมกรแบกหามทั่วไป พนักงานทำความสะอาด พนักงานร้านอาหาร ......
ทุกๆคนคือผู้ใช้แรงงาน และกระจายอยู่ตามกลุ่มธุรกิจต่างๆตั้งแต่ระดับเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่

คิดว่าเครื่องอัตโนมัติทั้งหลายสามารถแทนแรงงานจากคนได้จริงหรือครับ?
- มันใช้ได้แค่ทางอุตสาหกรรมและเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เท่านั้นแหละครับ  ทำไมทุกวันนี้คุณต้องสั่งกาแฟสตาร์บัคกับพนักงาน ทั้งๆที่สามารถสร้างตู้หยอดเหรียญหรือจ่ายผ่านบัตรเครดิตได้สบายๆ

คิดว่าการที่คุณนั่งทำงานออฟฟิตแล้วใช้สมองมากกว่าร่างกายเป็นอาชีพที่ดีกว่ามีเกียรติกว่าหรือเงินเดือนต้องมากกว่างานที่ใช้ร่างกายเสมอไปเหรอครับ?
- เป็นความคิดของประเทศด้อยพัฒนาอย่างแท้จริง  ประเทศพัฒนาแล้วเค้าค่อยข้างให้ความสำคัญและเคารพกับทุกคนทุกอาชีพ ทุกอาชีพมีความสำคัญ ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าคุณเกิดมาในครอบครัวชนชั้นกลาง มีการศึกษา จบมหาวิทยาลัยและทำงานในออฟฟิต คุณสามารถไปเก็บขยะหรือขุดดินทำไร่ได้หรือไม่? คำตอบคงไม่ได้  มนุษย์เรามีความสามารถและความถนัดเฉพาะตัว บางคนทำอย่างนึงได้แต่ทำอีกอย่างนึงไม่ได้ ทุกคนมีหน้าที่ช่วยเติมเต็มกันและกันนั่นคือแนวคิดที่ถูกต้อง ไม่ใช่ไปดูถูกอาชีพผู้ใช้แรงงานว่าด้อยกว่า แน่นอนว่าอาชีพที่มีความรับผิดชอบในการทำผลไรให้กับบริษัทมากกว่าย่อมควรจะได้ค่าตอบแทนที่มากกว่าเป็นเรื่องธรรมดา


ในประเทศด้อยพัฒนาก็อาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เนื่องจากชนชั้นแรงงานถูกเปรียบเหมือนกับชนชั้นระดับล่าง มันก็เป็นเรื่องน่าเศร้า

อีกมุมนึงแรงงานในประเทศด้อยพัฒนาเองก็ยังขาดความรู้และความรับผิดชอบอยู่มากเช่นกัน

ที่เขียนมาค่อนข้างมีหลายๆ ประเด็นรวมกันครับ ค่อยๆ ตามผมนะครับ
คือว่าถ้ารวมหลายประเด็นมากๆ ความคิดเราจะสับสนน่ะครับ

- เรื่อง respect ชนชั้นแรงงาน อันนี้ผมไม่ได้แตะต้องเลยครับ
มันขึ้นอยู่กับค่านิยมของแต่ละประเทศ ผมว่าไม่เกี่ยวกับหัวข้อนี้เลยครับ

- เรื่องทุกคนต้องจบปริญญาตรี อันนี้ผมก็ไม่ได้แตะต้องครับ ผมพูดถึงการพัฒนาคนให้มีสกิล
สูงสุด มีระดับมันสมองที่ดีครับ จบสายอาชีพ หรือจะจบอะไรก็ไดครับ

- ทุกคนมีความถนัด ความสามารถแตกต่างกัน อันนี้ถูกต้องครับ
แต่เราจะแบ่งว่าคนมีสองประเภทคือ labor กับไม่ labor อันนี้ไม่ใช่ครับ คนเรามีสกิล
มากมายไม่มีที่สิ้นสุด ที่จริงการใช้แรงงานจำนวนมากในโรงงานปัจจุบันสำหรับงานที่ไม่ได้ใช้
สมองหรือสกิลถือเป็นการจำกัดความสามารถที่มากมายของคนหลายๆ คนครับ

- ทุกคนฉลาดมากๆ อันนี้เป็นไปได้ครับ เพราะทางวิทยาศาสตร์เด็กทุกคนล้วนเกิดมามี
สกิลอัจฉริยะบางอย่างแฝงอยู่ ดังนั้นถ้าเป็นพ่อแม่คนเมื่อไหร่ให้แคร์เรื่องนี้นิดนึงครับและลูก
ก็จะเก่งได้ค่อนข้างแน่นอน ถ้าสมัยก่อนเราจะเลี้ยงแนวปล่อยๆ ตามยถากรรม ทำให้สกิล
ของเด็กไม่ได้ถูกทำให้เกิดก็มีมากมาย บางคนก็เก่ง แต่มัน random มากไปเพราะคนเลี้ยง
ไม่มีความรู้ในการเลี้ยงดู

- ความเป็นห่วงเรื่องการขาดแรงงาน แรงงานก่อสร้าง ก่อหิน ฉาบปูน อันนี้ก็เป็นอีกเรื่องครับ
ไม่ควรคิดแบบรวมกัน เมื่อมีปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ก็ต้องแกปัญหาเรื่องการขาดแคลนแรงงาน
ครับ มันจะไม่เกี่ยวกับเรื่องการกำหนดหรือการควบคุมเพื่อให้คนต้องมาเป็นแรงงาน เพราะ
เมื่อทุกคนฉลาด คนก็จะเลือกทางเลือกที่ฉลาดครับ คุณอาจจะหาคนฉลาดๆ มาฉาบปูนได้ก็ได้ แต่
ราคาค่าตัวต้องแพงสมน้ำสมเนื้อ ซึ่งมันก็จะตรงกับสิ่งที่เกิดในต่างประเทศอีกน่ะแหล่ะ อันนี้ผมคิด
ตามเหตุผลนะครับ แล้วเวลาคิดต้องแยกทุกประเด็นออกจากกัน ดังนั้นจะกลายเป็นว่างานที่ไม่น่าทำ
จะมีคนมาทำก็ต่อเมื่อจ้างเขาในราคาแพง จะไม่มีการจ้างแรงงานที่ถูกมากๆ

แล้วท้ายที่สุดในอนาคต งานพื้นฐานพวกนี้ก็จะเป็นงานของเครื่องจักรครับ
จะเห็นว่าเราคิดตั้งต้นต่างกัน ผมนึกถึงธรรมชาติของมนุษย์และการพัฒนาคน เป้าหมาย
ในการพัฒนาคนเป็นหลัก
แต่ถ้านึกแบบสิ่งที่เกิดอยู่ในปัจจุบัน ทุกอย่างก็เป็นแบบที่เป็นอยู่ล่ะครับ
เราต้องดูแลแรงงาน เราต้องคอยกังวลเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ เราต้องกลัวคนจะอดอยาก
ยากจน กลัวประชาชนจะไม่มีเงินเก็บ กลัวหลายๆ เรื่องครับ ส่วนรัฐก็ต้องคอยประคับประคอง
ตลอด แต่ถ้าสังคมมาแบบ full smart เต็มที่ เรื่องพวกนี้จะไม่เกิดเลยครับ รัฐมีหน้าที่ดูแลความ
ปลอดภัยเป็นหลักอย่างเดียว

เรื่องฉาบปูน ผมก็เห็นว่าสมัยนี้มี precast ยกมาจากโรงงานเลย ส่วนบ้านที่สร้างก็เร็วมาก
เพราะโรงงานจัดการสำเร็จรูปมาให้ ส่วนในโรงงาน เทคโนโลยี่ก็ปรับขึ้นมากเรื่อยๆ มากกว่า
พึ่งแรงงานพื้นฐาน trend มันกำลังไปทางนี้แล้วล่ะครับ เป็นห่วงเรื่องเดียวว่าจะทำยังไง
ให้ทุกคนฉลาดแบบในอุดมคติได้ยังไงดีกว่าครับ มันมีแต่ข้อดีนะครับ ถ้าหลงประเด็น เราก็ยัง
อยู่จุดเดิมๆ ซึ่งเราทุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้วอะครับ

ผมไม่ได้จะค้านนะครับ แต่เห็นว่า ยังลืมเรื่องนึงไป หรืออาจจะพูดถึงกัน แต่เรียกไม่เหมือนกัน
คือในแง่ที่ว่า ไม่แคร์ว่าคุณจะจบปริญญา หรือไม่จบปริญญา และไม่ใช่เรื่องที่ว่าให้เกียรติ ไม่ให้เกียรติ คนที่งานช่าง งานกรรมกร แล้วยกย่องคนทำงานใช้หัวสมอง
ผมว่า ตรงนั้น มันผิดประเด็นไป
ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ไม่ว่าคุณจะทำงานใช้สมอง หรือทำงานใช้ฝีมือ หรือใช้แรงงาน อะไรก็ตาม
คุณมีความเชี่ยวชาญในงานที่คุณทำมากน้อยแค่ไหน ตรงนี้แหละจะผันแปรไปตามความสามารถของคุณ
นี่คือความคิดที่ประเทศพัฒนาแล้วเขาคิดกัน

ซึ่งผมว่า บ้านเรายังไม่ถึงขั้นนั้นนะ ถ้าแก้ตรงนี้ได้ ถึงจะตรงจุด

ครับเห็นด้วยครับ



mamaman

ผมไม่ได้จะค้านนะครับ แต่เห็นว่า ยังลืมเรื่องนึงไป หรืออาจจะพูดถึงกัน แต่เรียกไม่เหมือนกัน
คือในแง่ที่ว่า ไม่แคร์ว่าคุณจะจบปริญญา หรือไม่จบปริญญา และไม่ใช่เรื่องที่ว่าให้เกียรติ ไม่ให้เกียรติ คนที่งานช่าง งานกรรมกร แล้วยกย่องคนทำงานใช้หัวสมอง
ผมว่า ตรงนั้น มันผิดประเด็นไป
ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ไม่ว่าคุณจะทำงานใช้สมอง หรือทำงานใช้ฝีมือ หรือใช้แรงงาน อะไรก็ตาม
คุณมีความเชี่ยวชาญในงานที่คุณทำมากน้อยแค่ไหน ตรงนี้แหละจะผันแปรไปตามความสามารถของคุณ
นี่คือความคิดที่ประเทศพัฒนาแล้วเขาคิดกัน

ซึ่งผมว่า บ้านเรายังไม่ถึงขั้นนั้นนะ ถ้าแก้ตรงนี้ได้ ถึงจะตรงจุด

ถูกต้องครับ  เห็นด้วย ประเทศ ที่พัฒนาแล้ว
เน้น ให้เรียน ตามตำแหน่งงาน ที่มี
เค้าจะ รู้ว่า ประเทศ ต้องการบุคลการ ประเภทใด เพื่อมาทำงาน ในระบบ สังคม
เน้น สาย อาชีพ จบมาทำงาน ตาม ทักษะ และ ความสามารถ

ไม่ได้เน้น ว่าคนทั้งประเทศ ต้องฉลาดๆ เรียน เยอะๆ ใช้แต่สมอง
แต่งาน ต้องการทักษะและฝีมือ ไปด้วย

เหมือน มด ก็มีมดงาน และ นางพญา
ถ้า นางพยามด ทุกตัว ก็อดตาย



MacH1

ผมไม่ได้จะค้านนะครับ แต่เห็นว่า ยังลืมเรื่องนึงไป หรืออาจจะพูดถึงกัน แต่เรียกไม่เหมือนกัน
คือในแง่ที่ว่า ไม่แคร์ว่าคุณจะจบปริญญา หรือไม่จบปริญญา และไม่ใช่เรื่องที่ว่าให้เกียรติ ไม่ให้เกียรติ คนที่งานช่าง งานกรรมกร แล้วยกย่องคนทำงานใช้หัวสมอง
ผมว่า ตรงนั้น มันผิดประเด็นไป
ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ไม่ว่าคุณจะทำงานใช้สมอง หรือทำงานใช้ฝีมือ หรือใช้แรงงาน อะไรก็ตาม
คุณมีความเชี่ยวชาญในงานที่คุณทำมากน้อยแค่ไหน ตรงนี้แหละจะผันแปรไปตามความสามารถของคุณ
นี่คือความคิดที่ประเทศพัฒนาแล้วเขาคิดกัน

ซึ่งผมว่า บ้านเรายังไม่ถึงขั้นนั้นนะ ถ้าแก้ตรงนี้ได้ ถึงจะตรงจุด

ถูกต้องครับ  เห็นด้วย ประเทศ ที่พัฒนาแล้ว
เน้น ให้เรียน ตามตำแหน่งงาน ที่มี
เค้าจะ รู้ว่า ประเทศ ต้องการบุคลการ ประเภทใด เพื่อมาทำงาน ในระบบ สังคม
เน้น สาย อาชีพ จบมาทำงาน ตาม ทักษะ และ ความสามารถ

ไม่ได้เน้น ว่าคนทั้งประเทศ ต้องฉลาดๆ เรียน เยอะๆ ใช้แต่สมอง
แต่งาน ต้องการทักษะและฝีมือ ไปด้วย

เหมือน มด ก็มีมดงาน และ นางพญา
ถ้า นางพยามด ทุกตัว ก็อดตาย

นั่นคือสาเหตุว่าทำไมโลกที่หนึ่งอย่าง US ถึงเป็น number 1 และประเทศตะวันตกถึงเจริญกว่า

ส่วนไทยแลนด์ก็ยังฝันเฟื่อง ไม่แพ้ชาติใดในโลก (ไม่แพ้เรื่องอะไร!? ) ฝันแล้งๆกับ 4.0 เป็นโลกที่สามอยู่ต่อไป