EV, Hybrid, e-Power
พวกนี่พ่วงกำลังแรงบิดมหาศาลที่มากับพลังไฟฟ้ามาด้วย ซึ่งรถใช้น้ำมันธรรมดาๆ ให้ไม่ได้
ส่วนอัตราสิ้นเปลืองก็นำโด่ง อย่ามองแค่ในตารางที่ทางเว็บลงไว้ เพราะใช้งานจริงๆ ระบบพวกนี้
มันค่อนข้างจะยืดหยุ่นมากและทำให้อัตราสิ้นเปลืองดีในทุกสถานการณ์ ต่างจากน้ำมันที่มีข้อจำกัด
เรื่องความยืดหยุ่นมากกว่า เนื่องจากใช้พลังงานจากน้ำมันอย่างเดียว ก็มีมุขไม่กี่มุขที่จะทำยังไงให้
ประหยัดน้ำมันด้วย แรงด้วย
อีกอย่างรถที่ใช้น้ำมันเพียวๆ ก็มีลูกเล่นไม่เยอะแบบพวกที่มากับไฟฟ้า
อาจจะมีพยายามเพิ่มลูกเล่นเช่น idling stop แต่ก็สู้ของพวกรถใช้พลังงานไฟฟ้าไม่ได้
น่าจะมีคนที่เบื่อการขับรถแบบใช้น้ำมันอย่างเดียวเดิมๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ในตลาดโลก
แต่อุปสรรคอย่างเดียวก็คงจะเป็นราคาแบตที่แพง แล้วเปลี่ยนทีราคาเหมือนยกเครื่องใหม่
ถ้าราคาแบตถูกลงคงทำให้คนกลัวที่จะใช้น้อยลงมากๆ
ผมอยากให้ e-power มันมามากๆ การได้กำลังแรงบิดเต็มๆ มาใช้จากมอเตอร์
แบบรถไฟฟ้าโดยมีเครื่องยนต์ปั่นไฟให้ มันเหมือนทางลัดไปสู่กำลังของรถ EV โดยที่
ยังไม่ต้องเป็น EV ทำให้ทั้งขับสนุกและประหยัด และหวังว่าน่าจะถูกกว่าระบบ hybrid
EV, e-power, Hybrid พวกนี้มันก็เหมือนของเล่นใหม่ๆ ที่เรายังไม่เคยได้ใช้มาก่อน
แล้วมันก็ใช้งานดีจริงๆ ซะด้วย ยกเว้นค่าแบตและชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ปัจจุบันรถเริ่มดู
น่าเบื่อขึ้นเรื่อยๆ มีแต่ design ที่พยายามปฎิวัติขึ้นมาแบบ Civic, Mazda 3 กับ option
เสริมต่างๆ แต่ยังไงๆ เนื้อแท้ก็ยังคงเป็นรถแบบเดิมๆ ที่วนเวียนคุยกันเรื่อง อัตราเร่ง อัตราสิ้นเปลือง
เบาะสบายมั้ย ที่วางแขนพอดีมั้ย วิทยุเพราะมั้ย ช่วงล่างหนึบมั้ย เด้งมั้ย ความรู้สึกพวงมาลัยเป็นยังไง
ซึ่งหลายแบรนด์มีประสบการณ์ผ่านมา 100 กว่าปีแล้ว น่าจะหาสูตรที่ลงตัวได้สักที (แต่ก็ไม่จบสักที)
Skyactiv สำหรับผมมันก็ยังเป็นรถที่ใช้น้ำมันปกติอยู่ดีที่มีความน่าเบื่อ แต่เรื่อง design ทำให้ตื่นตาตื่นใจ
พอสมควร และถ้า Solio ของ Suzuki มา ก็น่าจะทำให้ตื่นเต้นไปกับ segment ใหม่ (Kei car) สำหรับ
เมืองไทย แต่ก็ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเท่าถ้าหาก Nissan นำ e-power เข้ามา โดยที่เรายังไม่ต้องกังวลเรื่อง
facility แบบที่รถ EV จะมาได้ต้องมี facility พร้อมก่อน ผมไม่แปลกใจเลยที่ e-power ช่วยพา Note
ขึ้นไปสู่อันดับหนึ่งได้หน้าตาเฉย เพราะมันเหมือนการ input สิ่งเดิมๆ ที่มีอยู่แล้ว (การไปเติมน้ำมันที่ปั้ม)
แต่เปลี่ยนเอา output ให้กลายเป็นรถพลังไฟฟ้า เท่ากับว่าเราได้ของเล่นใหม่ที่น่าตื่นเต้นโดยไม่ต้องกังวล
กับการถูกบังคับให้เปลี่ยนแปลงจากพฤติกรรมเดิมๆ (ต้องไปหาที่ชาร์จ, ต้องเสียบปลั๊ก, ต้องรอชาร์จทีนานๆ)
เพราะ Nissan ทำ Leaf ถึงทำให้มีนวัตกรรมแบบ e-power ได้ และน่าจะดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า Hybrid
ที่หลายๆ ค่ายนำไปใช้เลย มันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมากๆ ในขณะที่ Hybrid ในบ้านเรายังจำกัดอยู่ในรถแพงๆ
อยู่ X-Trail hybrid ต่ำสุด 1.3 ล้าน รอดู CH-R hybrid ว่าจะราคาจะเริ่มต้นเท่าไหร่ แต่ถ้า e-power มาใน
Note ที่ราคาประมาณไม่เกินระดับ B car ทั่วไปก็จะเยี่ยมมาก เท่าที่สังเกตุราคา Note e-power จะราคาเด้ง
ขึ้นมาจากรุ่น 1.2 ปกติ (เพิ่งเห็นที่ญี่ปุ่นก็ใช้เครื่องอืดๆ แบบบ้านเรา แปลว่าเป็นนโยบายสากลปกติเลยนี่หว่า)
ประมาณ 30 % ปัจจุบัน Note ท็อปราคาอยู่ที่ 640,000 ถ้าบวก 30 % ก็จะอยู่ที่ 832,000 บาท (เห็นเลข 8 รู้สึกแพงมาก)
ในขณะที่ Mazda 2 diesel รุ่นท๊อป 789,000 ราคาต่างกันอยู่ 40,000 บาทได้
ก็ต้องรอดูต่อไป หวังว่าถ้า Note e-power มาได้ และราคาไม่เกิน 789,000 ของ Mazda 2
ก็จะดีมากเลยทีเดียว ซึ่งราคามันก็จะไปแปะกับ C segment แล้วนี่แหล่ะ แต่ยังดีที่ Note ยังเป็น
รถที่ขับดี แถมข้างในยังกว้างมาก เลยยังพอน่าซื้ออยู่บ้าง แต่สมรรถนะในแบบ EV น่าจะทำให้ความน่าเบื่อ
ในรถใช้น้ำมันทั่วไปในระดับ B segment หายไปได้อย่างดีเลยทีเดียว
Note Nismo นิสสันไทยอย่าคิดมาก จัดมาเลยพร้อม e-power ถ้าสองอย่างมาอยู่ในรุ่นเดียวกัน
ราคา 8 แสน ค่อยดูไม่เสียดายเงิน (เหมือน Mazda 2 ท๊อปที่คนยอมควักเพื่อไฟหน้าล้วนๆ)