« ตอบกลับ #18 เมื่อ: กันยายน 01, 2017, 10:23:00 »
ถ้ามองเรื่องความปลอดภัยด้านไฟฟ้าก็น่าคิดอยู่ครับ หากมีเหตุเกิดขึ้นสักคันเดียวคงงานเข้าทั้งวงการ
แต่ถ้ามองเรื่องสิทธิ์ตอนนี้คงยังเฉยๆ เพราะต่อให้ไม่มีรถ Plug-in จอด รถปกติทั่วไปก็เข้าไปจอดไม่ได้อยู่ดี
เอิ่ม... รถ Plug-in Hybrid เวลาวิ่งปกติ เครื่องยนต์สามารถชาร์จไฟเข้าแบตให้แบบเดียวกับ Prius, Camry Hybrid นั่นแหละ แต่ด้วยความที่แบตลูกใหญ่กว่า การชาร์จให้เต็มบางทีบนถนนระยะเวลามันไม่พอ
ทำไมผมดู เหมือนชีวิตจะยากลำบากขึ้นนะผมว่า
ต้องมาคิดหาที่เสียบชาร์จ ไหนจะนั่งแท็กซี่กลับ รวมๆกัน ผมว่าอาจจะพอๆกับค่าน้ำมัน
ว่าแต่มันวิ่งไปชาร์จไปไม่ได้แบบ Prius หรือ Camry Hybrid อะไรพวกนั้น หรือเปล่าครับ เลยต้องไปจอดชาร์จเป็นคืนๆ
แล้วแบบนี้เวลาวิ่งไปชาร์จไป โดยเฉลี่ยนี่มันจะประหยัดได้จริงๆเหรอครับ เพราะวิ่งติดเครื่องยนต์เพื่อชาร์ตแบตก็นานมาก เอาจริงๆแล้ว พอตอนขับจริงๆ มันจะให้ความประหยัดได้แบบที่เคลมจริงๆหรือเปล่า
ระบบนี้ผมเคยดูในรายการ Topgear เรื่อง BMW i8 วิ่งด้วยระบบไฮบริดก็น้ำมันหมดไว เพราะใช้เครื่องยนต์เป็นหลัก + ถังน้ำมันเล็ก จะนั่งชาร์จไฟก็ใช้เวลาจอดปั้มเป็นชั่วโมง
อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยตลอดทริปทางไกลที่ทดสอบได้คือ 30 -35 mpg นี่แทบจะเท่ารถยนต์ปกติ ต่างจากที่ BMW เคลมไว้ที่ 100+ mpg ไม่ใช่แค่ Jeremy Clarkson แต่คนขับ i8 ทั่วโลกก็ขับกันได้ประมาณนั้น
http://www.carmagazine.co.uk/car-reviews/long-term-tests/bmw/bmw-i8-2016-hybrid-long-term-test-review/ผมเลยเริ่มสงสัย ระบบนี่มันทำให้ชีวิตยุ่งยากขึ้นหรือเปล่า จากเดิมต่องพะวงน้ำมันหมด นี่ยังต้องมาคิดถึงเรื่องแบต นี่ผมยังไม่รวมค่าเสื่อมของแบตเตอรี่เมื่อถูกใช้จนครบ Cycle อีก ราคาลูกละเท่าไหร่ไม่รู้ แต่คงไม่ถูก และต้องเอามารวมคำนวณด้วย เพราะ
เป็นค่าเสื่อมส่วนที่รถทั่วๆไปเขาไม่ต้องจ่ายกัน นี่ผมยังไม่รวมค่าไฟอีกนะ
ใช้ไฮบริด ราคาค่าไฟ + ค่าเสื่อมแบตเตอรี่ + ค่าน้ำมัน + ค่าเช็คระยะ
รถทั่วไป ค่าน้ำมัน + ค่าเช็คระยะ
รวมๆแล้วมันจะใช่ทางประหยัดจริงๆ หรือเป็นการผลักภาระให้ผู้บริโภค เพราะรถไฟฟ้าได้ส่วนลดภาษีเยอะ (+ขายแบตได้กำไรอีกตอนแบตเสื่อม) แต่ราคารถก็เท่าเดิมไม่เห็นจะลดลง (แต่ได้ลดต้นทุนนำเข้ารถหรือชิ้นส่วนต่างๆ เพราะเสียภาษีต่างกันเยอะมาก)