ขอให้แก้ปัญหาได้ไวๆนะครับ แต่ขอถามผู้รู้หน่อยว่าการขับรถช้าเกินไป ช้าแบบทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้เกียร์พังได้หรือเปล่า เพราะผมเห็นคนรู้จักหลายคน ขับรถเต่าคลานมากๆ แต่เกียร์พังก่อนพวกขับรถเท้าหนักๆซะอีก แค่สงสัยครับ
เครื่องยนต์เวลาทำงาน มันมีการเสียดสีของอุปรณ์ภายใน ทำให้เกิดความร้อน การระบายความร้อนของเครื่องยนต์ จะมาจากหม้อน้ำที่อยู่ด้านหน้า
การระบายความร่้อนจะใช้พัดลมที่อยู่ด้านหน้าเป่าแผงรังผึ้ง ถ้าขับช้าอากาศข้างนอกเข้ามาน้อย พัดลมมันก็ดูดอากาศร้อนที่อยู่ในห้องเครื่องมาเป่า
แต่ถ้าขับเร็ว อากาศภายนอกเข้ามาได้เยอะ พัดลมมันก็ดูดอากาศภายนอกที่เย็นกว่ามาเป่ารังผึ้งได้เยอะกว่า
ทำให้ถ้าวิ่งในเมืองช้าๆ รถติดๆ เครื่องยนต์จะร้อนมาก ต่างจากวิ่งทางไกลแม้รอบเครื่องจะสูงแต่เครื่องยนต์จะร้อนน้อย เลยทำให้พังยากกว่าครับ
มีส่วนจริงตามนั้นครับ
รถติดๆในเมือง ความร้อนในระบบหล่อเย็นสูงกว่าวิ่ง cruise ยาวๆ ถึงจะใช้ความเร็วและรอบเครื่องสูงกว่า
CVT จะมีระบบอุ่นน้ำม้นเกียร์ oil warmer ติดมาด้วย โดยใช้น้ำหล่อเย็นของเครื่องยนต์มาอุ่น
ถ้ารถติดๆ ความร้อนในระบบหล่อเย็นสูงๆสะสมตลอด อาจทำให้น้ำมันเกียร์มีอุณหภูมิสูงไปด้วย และ ทำให้เสื่อมเร็วได้ครับ
(มีข้อมูลสนับสนุน จากการใช้ OBD2 วัดอุณหภูมิ นมก. ขณะขับขี่ รถติดๆ เทียบกับรถวิ่ง ของเพื่อนสมาชิกในคลับ)รถ CVT ที่วิ่งทางไกลเป็นหลัก เปลี่ยน นมก.ที่ระยะ 30,000 กม. ถ่ายออกมาใสแจ๋ว แทบจะเปลี่ยนแปลงน้อยมากๆ
สุขภาพของเกียร์ CVT น่าจะขึ้นกับลักษณะการวิ่งของรถเป็นหลักด้วยมั้งครับ
ถ้าใช้งานรถติดๆมากกว่าวิ่งๆ ผมว่าควรเปลี่ยน นมก.ให้เร็วขิึ้น สัก 20,000 กม.น่าจะดี ค่า นมก.ศูนย์ก็ราว 1820 บาท/แกลลอน ไม่รวมค่าแรง และยังมีค่ากรองเกียร์ 200 กว่าบาท ยางโอริง อีกเส้น น่าจะไม่ถึงร้อยบาทครับ
ในระยะใช้งาน 100,000 กม ค่า นมก. เปลี่ยนทุก 2 หมื่น กม. คุ้มกว่าการเปลี่ยนเกียร์ เยอะครับ
ผมเลยไม่กลัวเกียร์ CVT หากแต่เข้าใจและ คอยดูแลเรื่อง นมก. ก็จะใช้งานได้สบายใจล่ะครับ ผมใช้งานสองคันระยะวิ่งรวมๆ 120,000 กม. เปลี่ยน นมก.ทุก 2-3 หมื่น กม. ทุกอย่างทำงานได้ดีเหมือนใหม่ๆ ครับ (เปลี่ยนแบบธรรมดา ไม่ได้ ฟลัช ทั้งระบบ)คันที่ 3 ก็เป็น CVT ชีวิตนี้เราๆ น่าจะหนี CVT กันไม่ค่อยพ้นในรถเก๋งญี่ปุ่นทั่วๆไปในอนาคต ต่อจากนี้ เข้าใจ และ ดูแล ให้ดีน่าจะช่วยได้ครับ