โลกกำลังมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยี ที่จะกระทบกับ สภาพแวดล้อม ตลาด สินค้า
และอย่างรถยนต์ก็ชัดเจน อนาคตจะกลายเป็นรถไฟฟ้า แต่ไม่ใช่แค่เป็นรถไฟฟ้า มันจะมีระบบพวก autonomous ซึ่งต้องใช้ sensor
ต่างๆมากมาย โดยใช้พวก IOT มาเป็นตัวเชื่อม ส่วนรถไฟฟ้าจะมาได้จริง ต้องมี Power Grid ที่ดีพอรองรับ และสถานีชาร์ตมากพอจะรองรับ
จนกว่าแบตจะมีประสิทธิภาพ และราคาถูกมาพอ ฉะนั้นในช่วงต้นๆ สถานีชาร์ตยังจำเป็นอยู่มาก และรถ EV จะถูกใช้อย่างกว้างขวางเมื่อรถEVโดยเฉลี่ยมีความจุแบตเตอรี่ราวๆสัก 100 kWh ซึ่งสามารถวิ่งกันได้เกิน 500 km ต่อการชาร์ต 1 ครั้ง และมีราคาถูกกว่ารถสันดาปแบบเดิม คือ เช่นรถขนาด B-segment, sub-compact suv ที่เป็นรถ EV แบตขนาด 100 kWh แต่มีราคาสัก 7-900,000 บาท ซึ่งก็คงราวๆปี 2023-2025 ไปแล้ว
แต่ประเด็นที่ผมมองว่าชิ้นส่วนรถยนต์ ส่วนที่เป็นองค์ประกอบในการขับเคลื่อนที่ปราศจาก sensor จะน้อยลงมากๆ และจนวันหนึ่ง
จะเริ่มมีคนผลิตสินค้าเป็น module ๆ ที่จะสามารถนำมาเปลี่ยนและปรับชิ้นส่วนคล้าย DIY แบบคอมพิวเตอร์ PC ได้ในอนาคต เพียงแต่จะทำแบบนั้น
ต้อง มีการตรวจสอบและ ทดสอบ ที่ได้มาตรฐานและจดทะเบียนรองรับ การดัดแปลง เพื่อใช้งานรถดังกล่าวให้ออกมาวิ่งได้ต่างหาก
หมายความว่า ธุรกิจรถยนต์ขนาดใหญ่แบบเดิมๆ ก็น่าจะเปลี่ยนแปลงไป ผมว่ารัฐควรจะมองว่าจะสนับสนุน ให้มี SME หรือ บุคลากรที่จะสามารถทำงานพวก ช่างไฟฟ้า มอเตอร์ inverter หรือ IT ที่สามารถใช้งาน IOT หรือ sensor ต่างๆ หรือออกแบบสภาพแวดล้อมถนน ให้รองรับ รถที่จะขับเคลื่อนอัตโนมัติให้มากขึ้น ทดแทนการมองจะหางานที่ใช้แรงงานแบบดั้งเดิม ได้แล้ว
และการที่จะปล่อยให้รถ EV จากจีนเข้ามา ควรจะให้สถาบันการศึกษา หรือ องค์การที่จะกำหนดมาตรฐาน ดูผลิตภัณฑ์ ที่จะนำมาขายว่า แบบไหนที่จะไม่สร้างปัญหา ด้านความปลอดภัยหรือ สิ่งแวดล้อม กับสังคมมากกว่า เท่านั้นนะครับ โดยให้มองว่าการนำสินค้านั้นควรจะมีใช้เป็นโอกาสในการศึกษาเรียนรู้ ว่าจะมีบทเรียนอะไรที่ต้องเรียนรู้จาก การใช้งานรถไฟฟ้า และธุรกิจรถไฟฟ้าบ้างที่สังคมไทยแ และอุตสาหกรรมไทยที่ควรจะเรียนรู้ นะครับ
โลกมันหมุนไวครับ อย่ารอช้าครับ ควรให้โอกาสให้สังคม และเรียนรู้กับมันให้มากครับ ผมว่านะ