Credit : พี่ มนต์ชัย สว่างศรี
รีวิวไว้ละเอียดดีมากๆเลยครับ ขอบคุณมากๆสำหรับข้อมูล
รถสปอร์ตคูเป้สวยสะดุดตาล้ำสมัยมาก
Mercedes-Benz CLS 300d AMG Premium 🇩🇪
245 แรงม้า..ทะยานนุ่มนวลทะลุความเร็ว 242 ถึง 245+กม./ชม.! จริง
เมอร์เซเดส-เบนซ์ CLS 300d AMG Premium ใช้เครื่องยนต์ดีเซลใหม่ล่าสุด ประสิทธิภาพสูง ขนาด 1,950 ซีซี กำลัง 245 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600 รอบ/นาที เกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด (9G-TRONIC) วิ่งออกตัว 0-100 กม./ชม. ใช้เวลา 6.4 วินาที วิ่งได้เร็วอย่างนุ่มนวลสบาย ความเร็วทะลุ 242-245 กม./ชม. ซึ่งน้ำมันดีเซลเต็มถัง เมื่อขับขี่ในเมืองกรุงเทพมหานครฯ เป็นส่วนใหญ่ วิ่งได้ระยะทางเกิน 700 กม.ได้แบบไม่ต้องกังวล ประหยัดน้ำมันดีเซลดีมากมาย ความปลอดภัยสูง ละเอียดดีมาก แต่ทว่าบรรยากาศขณะขับขี่ในยามค่ำคืน สวยหรู น่าหลงใหล ไม่มีเบื่อ จะเลือกเรือนไมล์ Sport หรือ Classic และ Progressive ก็ได้ ฯลฯ อยู่ที่คุณเลือก
ผู้เขียนยังพอจดจำฟิลลิ่งการขับขี่กับดีไซน์ที่สวยสะดุดตา รวมถึงบรรยากาศภายในห้องโดยสารของรถยนต์สปอร์ตคูเป้แบบ 4 ประตู เมอร์เซเดส-เบนซ์ CLS 350 เจเนเรอชั่นแรก กับ CLS 350 ใหม่ ที่มีปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ที่หัวเกียร์ได้ แม้จะเป็นเครื่องยนต์เบนซินแบบ V 6 สูบ ขนาด 3.5 ลิตร ก็ตาม การขับขี่มันช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก แม้เป็นเครื่องยนต์เบนซินขนาด 3,500 ซีซี ก็ตาม รวมถึง CLS 250d AMG กับ CLS 250d ShootingBrake AMG แม้ใช้เครื่องยนต์ดีเซลประสิทธิภาพสูง แบบ 4 สูบ เทอร์โบ ขนาด 2.1 ลิตร กำลัง 204 แรงม้า hp แรงบิด 500 นิวตันเมตร การขับขี่ใช้งาน ไม่ต้องกังวลเรื่องของน้ำมัน เพราะเป็นเครื่องยนต์ดีเซล
แม้คนไทยวัยกลางคน เราอาจจะหลงใหลรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ E-Class เป็นพิเศษหน่อยก็ตาม แม้รุ่นก่อนจะมอบการนั่งขับขี่ได้อย่างนุ่มนวลสบาย เป็นเอกลักษณ์ ตำแหน่งท่านั่งดีมาก เท่ แม้เบาะนั่งดีไซน์แบบโซฟา พวงมาลัยอาจจะใหญ่ แต่ก็ปรับดึงเข้าหาตำแหน่งที่ผู้ขับขี่ต้องการได้เป็นอย่างดี
แต่เมอร์เซเดส-เบนซ์ E200 KOMPRESSIOR / E250 CGI / E300 และ E250 CDI ทั้งเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด และแบบอัตโนมัติ 7 สปีด ก็ล้วนมีความน่าหลงใหลเป็นอย่างยิ่งในการขับขี่ สวยหรูคุณภาพสูงในยุคสมัยที่ผ่านมา
แต่ CLS-Class รถยนต์สปอร์ตคูเป้ แม้ใช้พื้นฐานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ E-Class แต่สามารถเจาะตลาดรถยนต์หรูที่ประเทศไทยได้ ก็คือ CLS 250d AMG แม้ราคาสูงถึง 5 ล้านบาท แต่ความสวยงามของดีไซน์ เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีความแตกต่างจาก E-Class อย่างเป็นอย่างมาก รถยนต์นั่งขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ ความปลอดภัยสูงมาก แต่ดีไซน์กับรูปโฉม คนละคาแรคเตอร์กัน
แรงบิดสูงสุดระดับ 500 นิวตันเมตร สามารถขับเคลื่อนส่งให้ CLS 250d AMG วิ่งทะยานขึ้นเนินเขา เร่งแซงขึ้นเขาที่ปากช่องได้อย่างสบาย ประจักษ์ในสายตา แม้มีกำลังสูงสุดเพียง 204 แรงม้า hp ก็ตาม
กำลังระดับนี้พิสูจน์ให้เห็นมาแล้วใน ML250 ที่เป็นช่วงล่างแบบแอร์สปริง พร้อมล้อขอบ 21 นิ้ว รวมถึง GLE 250d AMG รถอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ก็มอบการขับขี่เดินทางไกลได้ดีมากอย่างคาดไม่ถึง ทะยานทะลุความเร็ว 200+กม./ชม. ได้
ปัจจุบันเมอร์เซเดส-เบนซ์ E-Class ใหม่ล่าสุดได้รับการออกแบบ รังสรรค์ให้มีความล้ำสมัยมากๆ ความปลอดภัยที่สูงขึ้นมากและละเอียดดีมาก
พื้นฐานที่เป็นเลิศของรถยนต์ขนาดกลางที่มีชื่อเสียงของโลก ส่งผลดีให้กับเมอร์เซเดส-เบนซ์ The new CLS มีความสวยล้ำสมัยมากขึ้น แม้เป็นรถยนต์สปอร์ตคูเป้ แต่รถคันนี้มี 4 ประตู ตัวรถมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ มีความยาว 4,996 มิลลิเมตร หรือ 5 เมตรนั่นเอง ก็น้องๆ S500 Coupe AMG Premium ราคา 15 ล้านกว่าบาท
E 220d AMG Dynamic ใช้เครื่องยนต์ดีเซลแบบ 4 สูบใหม่ เทอร์โบ ขนาด 1,950 ซีซี กำลัง 194 แรงม้า hp แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร วิ่งออกตัวจาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาราว 7.3 วินาที ซิ่งทะลุความเร็ว 220+กม./ชม.ได้จริง
แต่กับ CLS 300d AMG Premium ตัวรถคันสีดำที่คุณเห็นอยู่ในภาพ ราคา 4.98 ล้านบาท ใช้เครื่องยนต์ดีเซลแบบ 4 สูบใหม่ล่าสุด พร้อมเทอร์โบ ขนาด 1,950 ซีซี กำลังสูงสุด 245 แรงม้า hp กำลังเท่ากับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ที่ใช้ใน E300 Coupe AMG
แต่แรงบิดของ CLS 300d AMG มี 500 นิวตันเมตร พอที่จะฟัดเหวี่ยงกับ AMG C 43 Coupe ได้ เวลากระแทกคันเร่งเพื่อให้ตัวรถพุ่งกระโจนออกตัว
เกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด (9G-TRONIC) ถ้าลองซิ่งในสนามพีระเซอร์กิต พัทยา ในงาน Mercedes-Benz Driving Event 2018 ครั้งที่ 15 เมื่อวันที่ 2-8 ก.ค 2561 ที่บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ยกขบวนรถหรูมาครบทุกเซ็กเมนต์ เพื่อให้ทดสอบสมรรถนะ และได้เห็นความปลอดภัย ผู้เขียนได้เห็นอารมณ์สปอร์ตของ CLS 300d AMG เวลาที่อยู่ในโหมด Sport+ ก็วิ่งเหาะได้เร้าใจน่าดูชม แม้เป็นเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ไม่ใช่เครื่องยนต์ดีเซลแบบ 6 สูบ
แม้ CLS 300d AMG ได้ใช้เครื่องยนต์ดีเซลใหม่ แบบ 4 สูบ เทอร์โบ แต่กำลังที่มากกว่า CLS 250d AMG รุ่นก่อนถึง 41 แรงม้า hp นอกจากสามารถวิ่งเหาะในสนามพีระเซอร์กิตได้อย่างสบาย ทั้งโหมด Sport หรือ Sport+ ก็ตาม
แต่ถ้าใช้โหมด Comfort คุณก็ขับขี่แบบสบายๆ นุ่มนวล โรแมนติกในสนามแข่งรถได้ แต่ถ้าเลือกไปที่โหลด Sport+ ก็ยิ่งเห็นถึงการปลุกเร้าการขับขี่แบบสปอร์ตที่สูงขึ้น แม้ตัวรถมีขนาดใหญ่ยาวถึง 5 เมตร แต่ก็เบากว่า S 350d กับ S 500 Cabriolet AMG Premuim รวมถึง S 500 Coupe AMG Premium ด้วย
CLS 250d AMG ให้การขับขี่ที่สปอร์ต คุณสามารถกดคันเร่งแบบ 100% ให้ความเร็วทะลุ 210+กม./ชม.ได้ แต่กับ CLS 300d AMG ถ้าลองกดคันเร่งแบบ 100% ความเร็ววิ่งทะลุ 200+กม./ชม. ได้แบบง่ายๆ สบายๆ ถ้าวิ่งได้เร็วทะลุ 230+กม./ชม. ก็นับว่าดีมากแล้ว เพราะตัวรถมีขนาดใหญ่ และช่วงล้อยาว
แต่เมื่อลองกระแทกคันเร่งอีกนิด ความเร็ววิ่งไปทะลุ 242 ถึง 245+กม./ชม. ได้อย่างสบาย ซึ่งเป็นผลของกำลังแรงม้าที่มีมากกว่า E220d อยู่ถึง 51 แรงม้า hp และมากกว่า CLS 250d AMG รุ่นก่อนถึง 41 แรงม้า hp อีกทั้งยังได้เห็นประสิทธิภาพของรูปโฉมที่เพรียวลมของ The new CLS ที่มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานต่ำด้วย เมื่อทะยานในระดับความเร็วสูง วิ่งเงียบ นุ่มนวล แม้ว่ายางที่ใช้เป็นยางสำหรับรถยนต์สมรรถนะสูงที่รองรับความเร็ว 300 กม./ชม. และเป็นยาง RunFlat เรื่องของลมยางเติมได้ตามสเปคสำหรับการใช้ขนสัมภาระกับการนั่งที่เบาะนั่งด้านหลัง
การขับขี่เห็นได้ชัดเจนว่าประหยัดน้ำมันดีมาก การขับขี่ในเมืองกรุงเทพฯก็ไม่มีปัญหา อีกทั้งฟังก์ชันหยุดการทำงานของเครื่องยนต์ดีเซล ก็ให้โบนัสในการช่วยเซฟน้ำมันดี หรือว่าคุณจะไม่ใช้ระบบนี้ก็ได้
ความน่าหลงใหลในการขับขี่รถสปอร์ตคูเป้คันนี้ เวลาที่คุณจะขับใช้งานเดินทางไปไหน ไม่ต้องกงวัลว่าจะต้องแวะเข้าไปเติมน้ำมันก่อน เพราะน้ำมันดีเซลถังเดียวสามารถวิ่งได้ระยะทาง 800 กม. ซึ่ง CLS 400d 4MATIC กำลัง 340 แรงม้า hp แรงบิดมหาศาลถึง 700 นิวตันเมตร ที่ 1,200 รอบ/นาที จากเครื่องยนต์ดีเซลใหม่ล่าสุด แบบแถวเรียง 6 สูบ ขนาด 2,925 ซีซี ยังบอกว่าวิ่งได้ระยะทาง 849 กม. ด้วยครับ
นี่ CLS 300d AMG วิ่งทะยานในเมืองกรุงเทพฯเป็นส่วนมาก ยังวิ่งได้ระยะทาง 701 กม. ซึ่งยังมีน้ำมันดีเซลเหลือในถังน้ำมัน ให้วิ่งเดินทางในเมืองได้อีกระยะทาง 132 กม.
จะเลือกตัวรถสีขาวหรือสีดำดี สำหรับ CLS 300d AMG อยู่ที่คุณชื่นชอบ เพราะตัวรถสีขาว จะทำให้ตัวรถแลดูมีขนาดใหญ่ ขับขี่ปลอดภัยหน่อยในยามค่ำคืน แต่ถ้าเป็นตัวรถสีดำ แลดูน่าเกรงขาม มีอำนาจ แต่ทว่าขับขี่ในยามค่ำคืน จะกลมกลืนกับความมืดไปหน่อย
แต่ถ้าคุณได้ขับขี่รถยนต์สปอร์ตคูเป้คันนี้ในตอนค่ำ คุณจะหลงใหลไปกับบรรยากาศภายในห้องโดยสาร โดยเฉพาะแดชบอร์ด ช่องแอร์ แผงประตู ที่เปลื่อนสีไปตามที่คุณเลือกเรือนไมล์จะเป็นแบบ Sport หรือว่า Classic และ Progressive รับรองว่าไม่มีเบื่อรถสปอร์ตคูเป้คันนี้ อีกทั้งพวงมาลัยก็สวยด้วย เพียงแต่คุณต้องลองใช้ให้คุ้นเคย เรียกดูข้อมูลการขับขี่ให้อิ่ม หรือจะดู G-FROGE หรือ Engine Data ก็ได้ ฯลฯ
การขับขี่ในยามค่ำคืน เป็นประสบการณ์ใหม่ โคมไฟหน้าจะปรับไฟสูงให้อัตโนมัติ เพียงแต่คุณจะต้องตั้งไฟสูงให้ทำงานอัตโนมัติ
การขับขี่ได้อย่างปลอดภัย เป็นจุดเด่น ระบบความปลอดภัยแบบพิเศษที่มี จะตรวจจับรถคันหน้าได้อย่างละเอียด มีการเตือนทั้งในเรือนไมล์ และเสียง เรียกว่าขับขี่ได้อย่างปลอดภัย ปราศจากความกังวลใจ แม้ความเร็วต่ำที่เรากดคันเร่งจะมีความเร็วสูงกว่ารถคันหน้าก็ตาม ปล่อยให้ระบบได้ทำงาน
น้ำมันเต็มถัง ถ้าเป็นเครื่องยนต์เบนซิน วิ่งได้ระยะทาง 430-500 กม. แต่สำหรับ CLS 300d AMG วิ่งได้ระยะทาง 700 กม. ได้อย่างสบาย ประหยัดน้ำมันดีมาก ซึ่งเกียร์อัตโนมัติแบบ 9 สปีด (9G-TRONIC) มีส่วนช่วยให้ประหยัดน้ำมันด้วย ช่วยทดรอบการทำงานของเครื่องยนต์ดีเซลให้ต่ำลง ยกตัวอย่าง เมื่อลองขับขี่ที่ความเร็วคงที่ 120 กม./ชม. รอบเครื่องยนต์ทำงานที่ 1,300 รอบ/นาที ที่เกียร์ตำแหน่ง D9 ซึ่งบอกอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน 4.7-4.5 ลิตรต่อระยะทาง 100 กม. หรือ 21.27-22.22 กม./ลิตร ครับ
การขับขี่รถยนต์สปอร์ตคูเป้สักคันบนถนนในประเทศไทยให้มีความสุข ไม่ปฏิเสธสำหรับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ S 500 Coupe AMG Premiun แต่คุณต้องจ่ายเงิน 15 ล้านกว่าบาท
คุณได้ขับรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ CLS 250d AMG รุ่นก่อนก็พอแล้ว วันนี้รถยนต์สปอร์ตคูเป้คันนี้ยังสวยสะดุดตาเมื่อวิ่งอยู่บนถนนเมืองไทย แต่เมอร์เซเดส-เบนซ์ CLS 300d AMG Premium สวยล้ำสมัยยิ่งขึ้นอย่างมากมาย สมรรถนะการขับขี่ก็สูงขึ้นมาก ความปลอดภัยสูงมากและละเอียดดีมาก ขับขี่แล้วมีความสุขในบรรยากาศภายในห้องโดยสารที่แถบไม่อยากจะลงจากรถเลยครับ ยังจดจำพวงมาลัยสวยของรถคันนี้กับบรรยากาศภายในห้องโดยสารในการขับขี่ในยามค่ำคืนได้เป็นอย่างดี อยากจะฝันถึงรถสปอร์ตคูเป้สวยล้ำสมัยคันนี้ทุกคืนเลยครับ
✅ขับขี่ในเมืองกรุงเทพมหานครฯ-ฝั่งธนบุรี และนอกเมือง Mercedes-Benz CLS 300d AMG Premium
วิ่งความเร็ว 30 กม./ชม. ที่ 1,100 รอบ/นาที D3
วิ่งความเร็ว 40 กม./ชม. ที่ 1,150 รอบ/นาที D4
วิ่งความเร็ว 50 กม./ชม. ที่ 1,500 รอบ/นาที D4
วิ่งความเร็ว 60 กม./ชม. ที่ 1,400 รอบ/นาที D5
วิ่งความเร็ว 70 กม./ชม. ที่ 1,600 รอบ/นาที D5
วิ่งความเร็ว 80 กม./ชม. ที่ 1,300 รอบ/นาที D7
วิ่งความเร็ว 90 กม./ชม. ที่ 1,500 รอบ/นาที D7
วิ่งความเร็ว 100 กม./ชม. ที่ 1,350 รอบ/นาที D8
วิ่งความเร็ว 110 กม./ชม. ที่ 1,500 รอบ/นาที D8
วิ่งความเร็ว 120 กม./ชม. ที่ 1,600 รอบ/นาที D8
วิ่งความเร็ว 120 กม./ชม. ที่ 1,300 รอบ/นาที D9
วิ่งความเร็ว 130 กม./ชม. ที่ 1,500 รอบ/นาที D8
วิ่งความเร็ว 140 กม./ชม. ที่ 1,600 รอบ/นาที D9
วิ่งความเร็ว 150 กม./ชม. ที่ 1,700 รอบ/นาที
วิ่งความเร็ว 160 กม./ชม. ที่ 1,800 รอบ/นาที
วิ่งความเร็ว 170 กม./ชม. ที่ 1,900 รอบ/นาที
วิ่งความเร็ว 180 กม./ชม. ที่ 2,050 รอบ/นาที
วิ่งความเร็ว 190 กม./ชม. ที่ 2,150 รอบ/นาที
วิ่งความเร็วสูงสุดได้ทะลุ 242-245 กม./ชม.! จริง ด้วยโหมด Sport+
✅รถวิ่งใช้งานมาแล้วระยะทาง 2207 กม.
✅อากาศตอนขับทดสอบ 34.5-28.0 องศาเซลเซียส (เผชิญฝนตกพื้นถนนเปียกลื่น และอากาศร้อน)
✅เติมน้ำมันดีเซลเต็มปากถังบอกวิ่งได้ระยะทาง 547 กม. เมื่อวิ่งอยู่ในเมืองกรุงเทพมหานครฯ
✅เครื่องยนต์ทำงานที่รอบเดินเบา 650-700 รอบ/นาที
✅แอร์เปิด 22-24 องศาเซลเซียส
✅ขับขี่ด้วยความเร็ว 60/80/90/100/130/140 กม./ชม. ด้วยโหมด Comfort สิ้นเปลืองน้ำมันดีเซล 2.7/5.5/5.9/6.1/6.5/7.9 ลิตรต่อระยะทาง 100 กม. หรือ 37.03/18.18/16.94/16.39/15.38/12.65 กม./ลิตร
✅ถ้าขับขี่เดินทางด้วยความเร็วคงที่ 120 กม./ชม. ให้เกียร์ตำแหน่ง D9 ทำงานและแสดง ที่รอบเครื่องยนต์ทำงานที่ 1,300 รอบ/นาที จะสิ้นเปลืองน้ำมัน 4.7-4.5 ลิตรต่อระยะทาง 100 กม. หรือ 21.27-22.22 กม./ลิตร
✅ ขับขี่เดินทางบนทางพิเศษด้วยโหมด Comfort ไประยะทาง 26 กม. สิ้นเปลืองน้ำมันดีเซล 3.9 ลิตรต่อระยะทาง 100 กม. หรือ 25.64 กม./ลิตร ความเร็วเฉลี่ย 81 กม./ชม. ใช้เวลา 0.19 ชั่วโมง
✅ ขับขี่ในเมืองกรุงเทพมหานครฯ ด้วยโหมด Comfort ในช่วงเที่ยงถึงบ่ายไประยะทาง 29/20 กม. สิ้นเปลืองน้ำมันดีเซล 7.3/7.2 ลิตรต่อระยะทาง 100 กม. หรือ 13.69/13.88 กม./ลิตร ความเร็วเฉลี่ย 22/23 กม./ชม. ใช้เวลา 1.22/0.52 ชั่วโมง
✅ขับขี่ในเมืองกรุงเทพมหานครฯในตอนเช้าไประยะทาง 20/20/20/20/20 กม. สิ้นเปลืองน้ำมัน 8.8/13.0/11.9/9.1/7.3 ลิตรต่อระยะทาง 100 กม. หรือ 11.36/7.96/8.40/10.98/13.69 กม./ลิตร ความเร็วเฉลี่ย 17/9/12/18/19 กม./ชม. ใช้เวลา 1.10/2.16/1.46/1.07/0.49 ชั่วโมง
✅ขับขี่ในเมืองกรุงเทพมหานครฯ-นอกเมืองกรุงเทพฯและในเมืองกรุงเทพฯ ด้วยโหมด Comfort ไประยะทาง 77 กม. สิ้นเปลืองน้ำมันดีเซล 6.7 ลิตรต่อระยะทาง 100 กม. ความเร็วเฉลี่ย 22 กม./ชม. ใช้เวลา 3.38 ชั่วโมง
✅เติมน้ำมันดีเซลเต็มปากถัง เมื่อขับขี่ทดสอบในเมืองกรุงเทพมหานครฯ-บนทางด่วน-นอกเมืองและในกรุงเทพฯไปประยะทาง 79/108/277/399/470/547/636/701 กม. บอกวิ่งได้ระยะทางอีก 693/706/633/377/352/323/222/132 กม. สิ้นเปลืองน้ำมันดีเซล 6.8/6.8/8.0/8.9/8.7/8.4/8.4/8.5 ลิตรต่อระยะทาง 100 กม. หรือ 14.70/14.70/12.50/11.23/11.49/11.90/11.90 กม./ลิตร ความเร็วเฉลี่ย 47/36/20/17/18/19/19/19
กม./ชม. ใช้เวลา 1.40/2.59/13.42/23.43/26.30/28.07/33.05/37.43 ชั่วโมง
