ต้องเข้าใจก่อนว่าหลักการเยียวยาความเสียหายของไทยต่างจากอีกหลายๆประเทศ
เราไม่มีการตัดสินในเชิงลงโทษแบบนั้น (ภาษากฎหมายเค้าเรียกอะไรไม่รู้ครับ)
เพราะฉะนั้นตอนที่เค้าจะฟ้องกัน คุณต้องเอาด้วย พอจบไปแล้วจะมาขอพ่วงไปด้วยก็เลยไม่ได้
อีกอย่าง คนฟ้องจะคุ้มมั้ยก็ไม่รู้ เสียเวลาหลายๆปี ได้เงินมาติ๊ดนึง
เราอยู่เฉยๆไม่ได้ไปร่วมฟ้องกับเค้าก็คงจะไม่ได้รับการเยียวยาอะไรครับ
ถ้าเป็นที่อเมริกา พวกค้าความนี่รวยไปเยอะแล้ว
หลักการเยียวยาความเสียหายของไทยต่างจากอีกหลายๆประเทศ
-อันนี้จริงบางส่วน จริงๆแล้ว ก็หลักเดียวกันนี่แหละ แต่ของไทยจะช้ากว่าหน่อย ถ้าไม่มีพวกที่ไปเซ็นตืสนธิสัญญาอะไรมา(เช่นเรื่องลิขสิทธิ์) หรือโดนใบแดงใบเหลือง(เช่นเรื่องประมง) ของไทยก็จะดึงดันดึงเกมที่จะแก้ไขกม.ให้ออกมาใช้ช้ากว่าตปท.(เกมแห่งอำนาจที่ปชช.ไม่ได้เป็นเจ้าของอำนาจเท่าที่ควร มันก็ได้เท่านี้แหละ)
เราไม่มีการตัดสินในเชิงลงโทษแบบนั้น
-ค่าเสียหายในเชิงลงโทษ จริงๆแล้วมีเขียนไว้ในกฎหมายครับ
แต่ศาลไทยยังไม่กล้าตัดสินเท่าที่ควร
และในเคสฟอร์ดนี้ ศาลตัดสินว่าไม่ถึงขนาดที่เป็นสินค้าไม่ปลอดภัย ก็เลยสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหายในเชิงลงโทษให้ไม่ได้
พอจบไปแล้ว จะไปพ่วงกับเค้าไม่ได้ ไม่มีผลกับคนที่ไม่ได้ฟ้อง
-อันนี้จริงครับ ในตปท.เค้าเรียกว่ากม. lemon law
จะมีผลกับรถทุกคันที่อยู่ในรุ่น ล็อตการผลิตนั้นๆ จะได้รับการเยียวยาที่เหมือนกัน
ซึ่ง ของไทย กม.นี้ กำลังอยู่ในการพิจารณาของ สนช. ใกล้คลอดเต็มทน แต่กยังไม่ออก
แต่ถามว่า แม้ไม่มีกม.ออกมาใช้บังคับ ศาลจะตัดสินได้หรือไม่
ถ้าในทางกม.แพ่ง ในประเทศที่ใช้กฎหมายระบบซีวิลลอว์(ระบบประมวลกฎหมาย) มันคือช่องว่างทางกฎหมาย ซึ่งสามารถนำเอาหลักกม.ที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง กม.จารีตประเพณี หลักกฎหมายทั่วไปมาใช้กับกรณีนี้ได้
แต่ศาลยุติธรรมไทย หลักนิยมเป็นไปในทางคอมมอนลอว์ ตีความตามตัวอักษร ไม่ตีความตามเจตนรมย์ ก็เลยแกนๆแปลกๆแบบนี้
อย่างที่ศาลให้เหตุผลว่า รถขายไป9หมื่นคัน แต่ที่มีปัญหาแค่ 500 คัน (ที่ฟ้อง)
ซึ่งจริงๆแล้ว มันเสียหายมากกว่านี้เยอะ แต่ศาลก็ไม่สนใจจะรับฟัง
ซึ่งถ้ารับฟังได้ว่าเสียหาย ได้รับการเข้าเคลมเกียร์กี่คัน ศาลจะตกใจ หุหุ
ปอลิง ศาลยุติธรรมไทย ใช้ระบบกล่าวหา
แต่ศาลยุติธรรม แผนกคดีผู้บริโภค(คดีเฟียสต้า) ใช้ระบบไต่สวน (แต่ศาลไม่เห็นจะใช้เท่าไหร่เลย)