โตโยต้า แจง เหตุถุงลมนิรภัยฟอร์จูนเนอร์ไม่ทำงาน
โตโยต้า ชี้แจง ไทยรัฐออนไลน์ กรณีรถโตโยต้าฟอร์จูนเนอร์ ถุงลมเสริมความปลอดภัยไม่ทำงาน
บริษัท โตโยต้า ชี้แจง กรณีรถโตโยต้าฟอร์จูนเนอร์ ถุงลมเสริมความปลอดภัยไม่ทำงานเรียน หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐอ้างถึง หัวข้อข่าว “ถุงลมไม่ทำงาน โวยโตโยต้า รถฮิตทำญาติดับ” ทางไทยรัฐออนไลน์ วันที่ 11 สิงหาคม 2553 ตามที่ไทยรัฐออนไลน์ได้เสนอช่าวกรณี นายมนตรี มโนสุดประเสริฐ ร้องเรียนกรณีรถยนต์ฟอร์จูนเนอร์ทะเบียน กข 5641 ถุงลมเสริมความปลอดภัยไม่ทำงาน ผ่านทาง website ไทยรัฐออนไลน์ ในวันที่ 11 สิงหาคม 2553 ซึ่งรายละอียดท่านทราบดีแล้วนั้น บริษัทฯ ขอแสดงความเสียใจต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของผู้เสียชีวิต และใคร่ขอขอบคุณท่านในการนำเสนอข่าวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทฯ ด้วยดีเสมอมา แต่เนื่องจากกรณีตามข่าว บริษัทฯ มีความกังวลว่าท่านอาจได้รับทราบข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว จนอาจทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน
ดังนั้น บริษัทฯ จึงใคร่ขอชี้แจงรายละเอียดและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้ 1. บริษัทฯ ใคร่ขอเรียนชี้แจงให้ท่านทราบว่าบริษัทได้ทำการตรวจสอบระบบถุงลมเสริมความ ปลอดภัยของรถยนต์คันดังกล่าวแล้ว ผลปรากฎว่าไม่พบความผิดปกติของระบบถุงลมเสริมความปลอดภัยแต่อย่างใด ซึ่งหากพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ได้ภายหลังจากที่ได้ทำการตรวจสอบสภาพรถยนต์ สถานที่เกิดเหตุ บริษัทฯพบว่า ลักษณะการเกิดอุบัติเหตุซึ่งมีการชนปะทะกับสิ่งกีดขวาง 3 ครั้งนั้นมีลักษณะดังนี้-
การชนครั้งที่ 1 เป็นการชนบริเวณกันชนด้านหน้า คานรับแรงจากการชนเกิดการยุบตัวซึ่งชนเข้ากับเสาหลักข้างทาง โดยที่เสาหลักลายหลุดออกจากหลุม จึงเป็นลักษณะการชนที่มีแรงต้านการชนน้อย
การ ชนครั้งที่ 2 เกิดจากรถยนต์ยังมีการเคลื่อนที่ต่อไปภายหลังจากการชนครั้งที่ 1 และไปชนเข้ากับเสาป้ายจราจรบริเวณหน้ารถยนต์ด้านซ้ายฝากระโปรงหน้าทำให้เสา ป้ายจราจรหลุดออกจากหลุม จึงเป็นลักษณะการชนที่มีแรงต้านการชนน้อยเช่นเดียวกับการชนครั้งที่ 1
การ ชนครั้งที่ 3 เกิดจากรถยนต์ยังคงเคลื่อนที่ต่อไปจากการชนครั้งที่ 2 และด้านข้างรถยนต์ไปชนเข้ากับเสา ป้องกันเสาไฟฟ้าบริเวณบังโคลนด้านซ้ายจนถึงประตูด้านผู้โดยสาร ลักษณะการชนทำให้มีการดูดซับแรงจากการชน สรุปได้ว่า การชนปะทะในครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 แม้จะเป็นการปะทะด้านหน้า แต่เป็นการชนโดยที่วัตถุที่ถูกชนมีการเคลื่อนที่ เป็นผลให้มีแรงต้านการชนน้อย สภาพจุดรับแรงมีการดูดซับแรงจากการชน และแรงหน่วงที่เกิดขึ้นขณะเกิดการชนปะทะไม่เพียงพอที่จะทำให้เซ็นเซอร์ถุงลม เสริมความปลอดภัยสั่งการให้ถุงลมพองตัว
ส่วนการชนครั้งที่ 3 เป็นการชนที่มีการดูดซับแรงจากการชน ประกอบกับจุดที่ชนปะทะไม่อยู่ในระยะองศาที่ทำให้เซ็นเซอร์ถุงลมเสริมความ ปลอดภัยทำงาน ดังนั้นการชนปะทะทั้ง 3 ครั้งดังกล่าวไม่เข้าเงื่อนไขที่จะทำให้เซ็นเซอร์ถุงลมเสริมความปลอดภัยทำ งาน ระบบถุงลมเสริมความปลอดภัยจึงไม่มีการสั่งการทำงาน
อนึ่ง เงื่อนไขการทำงานของระบบถุงลมเสริมความปลอดภัยมีระบุอยู่ในคู่มือการใช้งาน และคู่มือการทำงานของลุงลมเสริมความปลอดภัยที่บริษัทฯ ได้ส่งมอบให้แก่ลูกค้าทุกท่าน 2. กรณีของลูกค้าท่านนี้นั้นบริษัทฯ ขอเรียนให้ท่านทราบว่าบริษัทฯ ได้ทำการตรวจสอบรถยนต์ของลูกค้าทันทีที่ได้รับการประสานงานจากผู้แทนจำหน่าย นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ขออนุญาตลูกค้าเพื่อนำอุปกรณ์ถุงลมเสริมความปลอดภัยด้านคนขับและด้านผู้ โดยสาร รวมทั้งกล่อง ECU ของระบบถุงลมเสริมความปลอดภัยของลูกค้ามาตรวจสอบกับรถยนต์คันอื่น เพื่อให้ได้ผลการตรวจสอบที่มีความชัดเจนและเป็นมาตรฐาน ผลปรากฎว่า อุปกรณ์ดังกล่าวอยู่ในสภาพใช้งานได้และไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด
ทั้ง นี้ บริษัทฯ จึงได้ทำหนังสือชี้แจงผลการตรวจสอบถึงคุณปัฐวิน มโนสุดประสิทธ์ ในวันที่ 6 สิงหาคม 2553 ภายหลังที่บริษัทได้มีหนังสือชี้แจงดังกล่าว บริษัทก็ไม่ได้รับการติดต่อ หรือร้องเรียนจากญาติผู้เสียชีวิตอีกจนกระทั่งมีการนำเสนอข่าวตามหัวข้อข่าว ดังกล่าว บริษัทฯใคร่ขอเรียนต่อท่านว่าบริษัทฯ มิได้ละเลยต่อความสงสัยของลูกค้า และได้มีการดำเนินการติดตามและตรวจสอบกรณีของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบสภาพรถยนต์ และอุปกรณ์ต่างๆ อย่างละเอียด พร้อมทั้งได้ชี้แจงข้อเท็จจริงถึงสาเหตุที่ระบบถุงลมเสริมความปลอดภัยไม่พอง ตัวแก่ลูกค้าเรียบร้อยแล้ว
ท้ายสุดนี้ บริษัทฯขอเรียนต่อท่านว่าบริษัทฯมีเจตนารมย์และนโยบายในการดำเนินการแก้ไข ข้อร้องเรียน รวมถึงปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นกับผู้บริโภคทุกรายบนพื้นฐานของความถูกต้องและ เป็นธรรมตามหลักธรรมาภิบาลเสมอมา จึงเรียนมาเพื่อทราบและขอชี้แจงกรณีตามหัวข้อข่าวดังกล่าว
http://www.thairath.co.th/content/region/103618