แนะนำให้ไปลองทั้ง 2 แบบดูก่อนครับ
จากที่ขับใช้งาน + เกาะดูดข้อมูลกลุ่ม Mazda 2 มา
เครื่องดีเซลดึงไวกว่า และดึงหนักกว่าเครื่องเบนซิล
ทั้ง 2 รุ่นเกียร์ตอบสนองไว แต่ไม่เคยทำงานถวายชีวิตนอกจากเล่นโยกเกียร์เอง
เครื่องดีเซลประหยัดกว่าอย่างมีนัยสำคัญ สามารถวิ่งทางไกลได้ที่ 25 กม./ลิตรขึ้นได้ ถ้าขับเนียนๆเกิน 30 กม./ลิตร ส่วนเบนซิล วิ่งทางไกลดีสุดอยู่ที่ 23 กม./ลิตร ไม้เกินจากนี้ วิ่งในเมืองตัวเลขหายไปประมาณสัก 10 กม. ทั้งคู่
การบำรุงรักษา ดีเซลมีจุดให้ปวดหัวกับความจุกจิกเยอะกว่า ทั้งต้องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงระดับ Premiem ที่มีปริมาณเขม่าต่ำ รวมถึงต้องมีเวลาว่างเอารถไปวิ่งทางไกลสัปดาห์ละครั้งเพื่อเผาไล่เขม่าที่ค้างจากการดักกรองของ DPF
ถ้าทำการตัด DPF อุด EGR เหมือนกับที่ทำในรถกระบะแต่งซิ่งแล้ว ปัญหาทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขม่าจะหมดไป (เครื่องร้อน,น้ำดัน,น้ำมันเครื่องเกิน,น้ำมันดีเซลผสมกับน้ำมันเครื่อง) เพราะไม่มี DPF ที่สะสมเขม่าแล้วเผาทิ้งทีหลัง แต่ต้องแลกกับการที่ประกันขาด
เครื่องเบนซิลไม่มีปัญหาเรื่องเขม่าและคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง (เติมได้ทุกอย่างยกเว้นโซฮอล 91 และ E85) ตั้งแต่ต้น แต่ต้องแลกกับการที่รถไม่ Zoom Zoom เท่าเครื่องดีเซล
เรื่องเกียร์ คู่มือรับประกันไม่ได้ระบุระยะเวลาถ่ายน้ำมันเกียร์เอาไว้ ซึ่งก็ล่อเกียร์พังมาหลายคันแล้ว เกินครึ่งพังหลังหมดประกัน ถ้าต้องการเลี่ยงปัญหานี้ แนะนำให้ถ่ายตามระยะดีกว่า (ปีละครั้ง หรือทุก 3 - 4 หมื่น กม. สุดแล้วแต่) แต่ต้องแลกกับโอกาสที่ประกันขาดด้วย (ขึ้นกับศูนย์แต่ละที่ด้วยว่าจะเปลี่ยนน้ำมันให้หรือไม่)
สรุป ถ้าไม่สนใจเรื่องประกัน 100% คิดที่จะแต่งเครื่องเพิ่ม และรับได้ในกรณีที่เจอปัญหาเครื่องทุกรูปแบบ 2 ดีเซลโลด
ถ้าต้องการรถใหม่ ขับสนุก ไม่คิดที่จะซิ่งมาก และงบจำกัด 2 เบนซิล (ผมเลือกข้อนี้)
ถ้าต้องการรถที่ไว้ใจได้ Yaris , March , Almera และอื่นๆ
และถ้ารอถึงมอเตอร์โชว์ครั้งหน้าได้ คาดการณ์ว่าค่ายรถหลายค่ายจะมีการอัพเดท ECO Car ใหม่หมด