ผู้เขียน หัวข้อ: ขอคำแนะนำหน่อยน่ะครับ "ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย พี่ๆค้นหาตัวเองและอาชีพได้อย่างไร"..  (อ่าน 17792 ครั้ง)

methus zaa

  • บุคคลทั่วไป
ผมขอบอกให้ฟังจากอีกทางนึงละกันนะครับ

ตอน ม.6 ผมยังไม่รู้เลยครับว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ผมเรียนแบบโยนหินไปข้างหน้า..ไม่ถามทางด้วย
ตอน ม.3 ผมถูกบังคับโดยกลไกการศึกษาแล้วว่า โตขึ้นอยากทำงานอะไร เพราะการเลือกของคนไทยมันปิดตายตรงนี้ ถ้าผมอยากเป็นวิศวกรหรือหมอ ผมต้องเรียนสายวิทย์ ถ้าเรียนสายศิลป์แล้วจะมาทะลึ่งเข้าคณะวิศวะไม่ได้

ตอนนั้นโง่เลขและโง่วิทย์ ก็เลยเลือกเรียนสายศิลป์ไป แต่ใจยังชอบเรื่องทางวิศวะอยู่

ไปเรียนนอกปีนึง กลับมา ก็เข้ามหาลัย เลือกเรียนศิลปศาสตร์บริหารธุรกิจ ณ จุดนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะไปทำงานหาเลี้ยงอะไรกิน ใจอยากจับอาชีพเกี่ยวกับรถ แต่ไม่รู้จะไปเริ่มตรงไหน ผมเลยเรียนๆไป แล้วก็ดูว่าจากวิชาที่เรียนแต่ละแขนง ผมมีแนวโน้มจะชอบวิชาไหนมากที่สุด ในระหว่างนั้นผมก็ไม่ทิ้งเรื่องรถ แต่เก็บมันไว้เป็นความชอบส่วนตัว

เรียนจบ..มาย้อนดูเกรด ..อะไรที่เป็น Management ผมมักได้ C, อะไรที่เป็นบัญชีหรือการเงินผมมักได้ D ไม่ก็ F, ส่วนวิชาที่ได้ A,B มักเป็นเรื่องสังคม ความรู้ทั่วไป หรืองานออกแบบ

ฟังดูแล้วน่าจะรู้ตัวเองว่าไปทางไหนได้ แต่ปรากฏจบมา..ก็เจือกมาทำงานธนาคารด้วยความที่พ่อเห็นเดินแกว่งไม่มีงานเลยบังคับเราไปทำงานธนาคารโดยที่ไม่บอกไม่กล่าวเราก่อน

ทุกวันนี้ก็ยังทำงานธนาคารอยู่ และทำในแขนง IT หน่อยๆด้วยทั้งๆที่ตัวเองไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ทำมาได้
เพราะโลกนี้สิ่งที่สำคัญไม่แพ้ การเก็บความรู้ ก็คือ การยินยอมเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆเข้ามาในหัว

สำหรับคนแบบผม หนทางลำบาก แต่ก็มีชีวิตรอดดีเป็นปกติสุข ไม่ต้องเป็นภาระพ่อแม่ พ่อแม่ตัดเงินช่วยเหลือแล้วยังสามารถเลี้ยงตัวเองได้

คุณลองดูตาจอร์จ จูนเนอร์รถซึ่งตอนนี้เริ่มดังในตามคลับต่างๆและมีงานจูนรถแข่งอย่างต่อเนื่อง

คนคนนี้เรียนคอมพิวเตอร์ตอนอยู่มหาลัย จบมาทำงาน Esso รับเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท พอทำไปสักพักเบื่อ อยากรถ เลยออกมาทำเกี่ยวกับรถ เริ่มจากรับติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า แล้วก็มาศึกษาการเดินสายไฟรถทั้งคัน ท้ายสุดก็มาลงตัวที่การจูนกล่อง ทุกวันนี้จอร์จไปไกลกว่าผมมาก นอกจากรับผิดชอบตัวเองแล้ว ยังรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกๆอย่างในบ้านและมีเงินเก็บมากกว่าผมหลายเท่า

หรืออย่างรุ่นน้องผม เรียนบริหารธุรกิจเหมือนกัน ทุกวันนี้เป็นนักบินอยู่การบินลาว


ใจความสำคัญคือ อย่าเพิ่งไปเครียดว่าวันนี้เราเรียนอะไร แต่เครียดให้มากว่าความชอบของคุณจริงๆแล้วมันคืออะไร เพราะท้ายสุด คุณก็จะมาหาทางที่คุณชอบด้วยใจจริงอยู่ดี


ไม่เก่งเลขเหมือนผมเลยครับพี่แพน ตอนนี้ผมก้อเรียนอยู่ม.5ยังไม่รู้เลยว่าม.6จะเอนติดไหม เพราะตอนนี้ก้อเรียนสายศิลป์อยู่ ปีที่แล้วเกรดเฉลี่ย 2.41 ปีนี้ขอสัก2.5-3.0
เนี่ยพ่อบอกว่า ถ้าติดธรรมศาสตร์พ่อจะซื้อรถดีๆให้ขับ
แต่ถ้าติดม.กรุงเทพ หรือ รังสิต นั่งรถเมล์ครับ
อาชีพในอนาคตคงเป็น บริษัทธุรกิจของแม่ผมครับ
พี่ครับ ถ้าพี่ถนัดด้านไหน ทุ่มมันให้เต็มที่ครับ

ออฟไลน์ SignifeR

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,953
  • Impreza Type GDG WRX
    • ร้านหนังสือผ้าสำหรับเด็ก IGGY BOOK
    • อีเมล์
กระทู้นี้เจ๋งมากๆ มีแนวคิดดีๆ เพียบเต็มไปหมด ผมรู้สึกว่า สังคมที่นี่มันไม่ใช่แค่รถแล้ว รถเป็นแค่สื่อนำไฟฟ้าให้เท่านั้นเอง

เอาหล่ะผมจะเล่าชีวประวัติส่วนตัวของผมบ้าง และผมน่าจะเป็นคำตอบที่ดีให้กับเจ้าของกระทู้ได้เป็นอย่างดี

ผมชื่อ ณธัญ  ตู้จินดา เป็นเด็กที่เกิดมาบนความสบาย ทุกอย่างสบายไปหมดน่ะครับ แต่สิ่งที่ไม่สบายคือ มีคนคิดแทนเสียแทบทุกอย่าง
ผมถูกปลุกฝังมาตั้งแต่เด็กให้เรียนสายวิทย์ ให้เป็นหมอ หรือทันตแพทย์(คุณปู่ผมเป็นหมอฟันน่ะ และเลี้ยงผมมาตั้งแต่แบเบาะ) ซึ่งในชีวิตจริง
ตั้งแต่เรียนประถมผมก็ดันเรียนดีอีกได้เกรด 3-4 มาโดยตลอด พอเข้ามัธยมก็เข้าโรงเรียนหอวัง ในม.ต้น เรียนรวมครับ ไม่แยกสาย ก็ได้สามกว่าตลอด
พอม.ปลาย ก็เรียนสายวิทย์ตามค่านิยมเลย อีกอย่างเพื่อนๆ ส่วนมากก็เรียนวิทย์ คณิต ก็ตามกันไป ม.4 เทอมแรกเกรดได้ 1.75 ครับ...ที่บ้านงงหมด
จากเด็กที่เคยเรียนเก่ง ทำไมมันกลายเป็นหน้ามือเป็นหลังตีนเยี่ยงนี้ แต่ผมก็พยายามครับ ตั้งใจมากขึ้น พอเทอมสองก็ได้ 2.22 ก็ดีขึ้นมาหน่อย
ซึ่งถ้าเปิดดูจากสมุดพกแล้ว วิชาที่ช่วยผมส่วนมากคือ ภาษาไทย...สังคม ชีวะ..และวิชาอื่นๆที่มันไม่ใช่ เคมี คณิตศาสตร์ ฟิสิก เลยแม้แต่น้อย
แต่ก็พยายามเรียนนะครับ เรียนไป ลอกไป ก็จบออกมาได้ด้วยเกรด 2.02 และยังติด 0 ฟิสิก จนถึงปัจจุบัน

ปัญหาคือผมเรียนแม่งไม่รู้เรื่องห่าอะไรเลยครับ อาจารย์สอนมานี่ไม่รู้เลย ให้โจทย์แบบอัตนัยมาทำไม่ได้เลย(ปรนัยก็ทำไม่ได้ครับดีที่ลอกเก่ง....)
ก็ยังไม่รู้นะว่า จบมาได้ไงแบบนั้น
แต่ผมเป็นเด็กกิจกรรมครับ ชอบมากพวกกีฬาสี เชียร์ ฯลฯ เอาว่าห้อง /7 โดดเรียนเพื่อกิจกรรมกันเลย ซึ่งไอ้พวกนี้แหละสอนให้ผมมีเพื่อนเยอะมาก
มีเพื่อนแทบทุกห้อง เข้าฝ่ายปกครองเป็นว่าเล่น(เข้าไปทำงานให้โรงเรียน)

กับการเรียนที่ห่วยแตก แต่เป็นที่รัก โปรดปรานจากอาจารย์และเพื่อนๆ มันเป็นอะไรที่แลกกัน แต่ วิทย์ คณิต จากหอวังก็ส่งผลให้ผมเกิดการหักปากกาเซียน
ในวันเอ็นทรานซ์ เพราะหลังจากสอบเอ็นทรานซ์รุ่นผมต้องเอาคะแนนจาก ม.ปลายมีเฉลี่ย(รุ่นแรกที่มีคิดคะแนนจากม.ปลายน่ะ) ซึ่งคณะที่ผมเลือก
ผมเลือกไปทางสายศิลป์แทบทั้งสิ้น เพราะผมไม่อยากเรียน คณิต เคมี ฟิสิก อีกแล้วในชาตินี้..........ผลการสอบเอ็นทรานซ์ ผมเอ็นไม่ติดครับ.....

ทุกคณะที่ผมเลือก คะแนนพุ่งพรวดหมด ทั้งๆที่คะแนนผมสามารถเลือกสถาปัตย์ลาดกระบังได้ แต่ผมไม่เลือกเพราะไม่อยากเรียนไอ้วิชาข้างต้น
แต่..ผมไม่เลือกครับ ผมไปเลือกเรียนพวกมนุษศาสตร์ต่างๆ นานา และไม่ติดครับ.....ช่วงที่ผลเอ็นทรานซ์ออกมาเชือดชีวิตผมตอนนั้น

นอนร้องไห้ครับ ในความอับยศของผลสอบที่ตัวเองทำได้ไม่ดี.....ตอนนั้นทำอะไรไม่ถูกครับ ไปแอบสอบวิทยาลัยราชฎัฐด้วย (ติด...นิเทศน์ศาสตร์แต่ไม่ได้เรียนนะ) เพราะคุณพ่อผม แม้ท่านจะเสียใจกับผลการเอ็นทรานซ์ของผม แต่ท่านกลับตะเวนไปมหาลัยเอกชนหลายแห่งมากเพื่อหาคณะให้ผม...

คณะที่เกี่ยวกับ ศิลปะ และ คอมพิวเตอร์ จนสุดท้าย มาเจอที่ คณะศิลปกรรม สาขาคอมพิวเตอร์อาร์ต ม.รังสิต พ่อถามแค่ว่า "อยากเรียนมั๊ย"
เอาสิครับและให้ผมสอบเข้าที่รังสิต ซึ่งผลสอบภาคทฤษฐีผมได้คะแนนสูงมาก และผลสอบภาคปฎิบัติได้ผ่านเกณฑ์มาตราฐานมาไม่เยอะ
ตอนสอบสัมภาษณ์ก็คุยกับ รองอธิการบดี คำถามแรกที่ท่านถามผมคือ...คิดอย่างไรที่จบสายวิทย์ศาสตร์ - คณิตศาสตร์มา แล้วมาเรียนศิลปกรรม

เป็นคำถามที่ผมก็ตอบไปตามตรงว่า ตลอดเวลาที่เรียนม.ปลายมานั้น "เพื่อน มิตรภาพ คำสอนอาจารย์" คือสิ่งที่ผมเก็บเกี่ยวมาได้ จากสายวิทย์ คณิต
นอกนั้น ผมไม่ได้อะไรจากมันเลย ผมตอบไปแบบนี้เลยครับ อาจารย์ที่สัมภาษณ์ผมก็ยิ้ม แล้วบอกว่า ครูดีใจกับเธอด้วย ที่ยังค้นพบตัวเองเจอ.....

แค่นั้นสำหรับการสอบสัมภาษณ์ครับ และกลับมาบ้าน เจอคุณพ่อสอบสัมภาษณ์ต่อว่า ถ้าส่งให้ผมเรียนที่นี่ ผมจะทำให้ได้ดีขนาดไหน?
คำถามนี้ อยู่ในใจผมตลอดเวลาที่ผมเรียนที่รังสิต ผมเพียงตอบกับคุณพ่อว่า ผมจะทำให้ดีที่สุด เท่าที่ความสามารถผมจะมี
และผมได้ทำได้จริงๆครับ เพราะเทอมแรกผมได้เกรดเฉลี่ย 3.40 และไม่เคยต่ำกว่านั้นมาโดยตลอดทั้ง 4 ปี จะประมาณ 3.5 3.6 3.7 3.9 และ 4.00
ผมได้มาครบครับ ไว้ผมจะเอาทรานสคริปมาแสกนให้ชม ว่าผมไม่ได้โม้......

เพราะได้เรียนในสิ่งที่ตัวตนผมเป็น ส่วนสายวิชาการนับว่าโชคดีมากที่ผมจบคณิต วิทย์จากหอวังมา พื้นฐานผมแน่นกว่าเพื่อนๆมาก ผมทำเกรดวิชาเหล่านี้
ได้ A หมด หรือแย่ที่สุด B ครับ มีภาษาอังกฤษที่ผมเคยได้ D+ เพราะยากมากครับ และไม่เก่งอังกฤษเลย เพราะไอ้ภาษาอังกฤษนี่แหละทำให้ผมพลาดเกียรตินิยมอันดับ 1 ครับ  ตอบจบผมได้เีกียรตินิยมอันดับ 2 และรางวัลเหรียญทองของคณะครับ(ทั้งคณะมีแค่คนเดียวเท่าันั้นที่ได้รับ)

ช่วงเวลาที่เรียนรังสิต ทำให้ผมค้นพบตัวเองหลายอย่างมาก คือ ผมชอบศิลปะมาก แต่ตอนป.ปลายผมไม่ค่อยได้ใช้ความสามารถด้านนี้เลย เว้นการทำหนังสือรุ่น...หรือพวกงานเชียร์ อะไรเทือกๆนั้น แต่พออยู่ที่รังสิตผมให้ใช้ทุกอย่าง ผมสนุกกับมันมาก ผมชอบคอมพิวเตอร์ ผมเล่นพวก Photoshop อะไรเหล่านั้นตั้งแต่ ม.ปลาย ผมเรียนคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ ม.ต้น เรียนตั้งแต่วินโดว์ 3.1 น่ะครับ และใช้อินเตอร์เนตตั้งแต่ตอนนั้น....ผมคิดอย่างเดียวหลังจากต่อระบบอินเตอร์เนตที่บ้านสำเร็จ คือ...ดูเวปโป๊ครับ.....ไม่น่าเชื่อว่า ตอนนั้นบ้าคอมมาก ต่อคอมเอง ต่อเนตเอง ทำทุกอย่างเอง มีแรงพลักดันสูงมาก จากเวปโป๊....โอ๊ว

ที่รังสิต กิจวัตรของผมคือ มาเรียนตรงเวลา พักเที่ยงกินข้าวแล้วนั่งแซวหญิง บ่ายๆเรียน เย็นๆ ตีเทนนิสบ้าง แซวหญิงบ้าง อ่านหนังสือหรือ....ไม่เคยครับ
ทำแต่โปรเจค แต่...พวกวิชานอกคณะ ที่เป็นเหล่าวิชาการต่างๆ ผมคือคนทีเ่ปิดติวให้กับเพื่อนๆ ในสาขาคอมพิวเตอร์อาร์ต ครับ เปิดห้องที่คณะติวกันเลย
พอเทอมสอง เทอมสาม(ตอนนั้นรังสิตเรียน ไตรภาค) พอสาขาอื่นเริ่มรู้ว่า คอมอาร์ตมีเปิดติววิชานอกคณะ ก็มาเรียนด้วย ผมก็สอนก่อนสอบวันสองวัน จัดตารางเรียนกันเลยครับ ผมต้องสอบวิชาไหน ผมจะทำสรุปไว้ให้หมดทุกอย่างที่เรียน แล้วเพื่อนๆจะเอาไปซีร๊อคแจกกันก่อนจะติวครับ ผมทำแบบนั้น ข้อดีคือ
ผมได้ทบทวนตัวเอง เพื่อนๆได้ข้อมูลไปสอบ ผมได้เพื่อนเพิ่ม เพื่อนรักมาก ก่อนสอบนี่โทรหาผมก่อนใครเลย เพื่อเช็คตารางติว ผมทำแบบนั้นตั้งแต่ปีหนึ่ง ปีสอง เพราะทั้งคณะจะเรียนวิชานอกคล้ายๆกัน ส่วนวิชาในคณะพวกประวัติศาสตร์ศิลปะ ผมก็ติวเพื่อนๆ เรียกว่า ปิดห้องสโลปติวกันเลยครับ ช่วงนั้นสนุกมาก
ทำเพราะอยากทำจริงๆ อยากให้เพื่อนๆ พอออกจากห้องสอบมาแล้วจะพูดว่า ไอ้เห... ถ้าไม่ได้มึงนะ กูตกแน่ ไม่ก็ แม่งเหมือนที่มึงสรุปให้เลยโว๊ยยยย

ผมจะยิ้ม และหัวเราะกับเพื่อนๆเสมอหลังออกจากห้องสอบ เพราะผมภูมิใจที่มีส่วนทำให้เพื่อนๆ สอบผ่าน ได้เกรดดี
ผมภูมิใจ พอๆกับคุณพ่อผม ที่เห็นผมเรียนได้ดี และรักการเรียนครับ ทำให้คุณพ่อผมมีส่วนให้รถผมขับไปมหาลัยด้วยนะ
ปีหนึ่งเทอม 1 ผมนั่งรถเมล์ไปเรียนครับ....พอเทอมสองเอารถตู้ขนของที่บ้านไปเรียน...เทอม 3 AE111
ปีสองเทอม 1 จาก AE 111 เป็น โคโรน่าเอ็กซิเออร์ 1.6MT อยู่กับผมอีกนานจนกว่าจะเปลี่ยนตอน ปีสี่หรือไงเนี่ยแหละ

หลังจากจบการศึกษา คุณพ่อเป็นคนเดียวที่มาถ่ายรูปงานรับปริญญาผม (ตอนนั้นเรียนโทต่อที่รังสิตเลย) หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน คุณพ่อผมหัวใจวายเฉียบพลัน
และเป็นเจ้าชายนิทรา นับจากนั้นไปอีก 3 ปีครับ

ช่วงเวลาันั้นผมทำอะไรไม่ถูก แกว่งไปพักหนึ่ง เพราะกิจการที่บ้านที่พ่อดูแล ไม่มีคนดูแล แม่ผมก็ต้องคุมโรงงานเซรามิค ผมตัดสินใจดรอปคอร์สที่เรียนโท แล้วกลับมาช่วยกิจการที่บ้านแทนคุณพ่อในทุกๆอย่าง ตอนนั้น ผมดรอปจนหมดสถานภาพนักศึกษาไปเลย เอาว่า คณะบดีให้อาจารย์หัวหน้าภาคคอมอาร์ตฯ
โทรมาตามเลยละกันครับ....เพราะผมเป็น Top ของศิลปกรรมในรุ่น ถ้าจบโท ยังไงทางมหาลัยก็จะรับไปเป็นอาจารย์แน่นอน เพราะคณะบดีเองเคยแอบมาเห็น
ผมตอนติวให้เพื่อนๆด้วยครับ :D ผมชอบการสอน ชอบการเป็นครู ชอบถ่ายทอด

แต่ชีวิตมันก็ช่างพลิกพลัน หลังจากที่ต้องดรอปคอร์สนั้น พี่ผมในเนตดีไซน์ ชวนผมไปร่วมงานด้วย ก็เป็นอาจารย์สอนคอร์สกราฟฟิกที่เนตดีไซน์อยู่สองปีเห็นจะได้ครับ เป็นงานที่ผมชอบผมรักเลย ได้ถ่ายทอดความรู้เรื่องศิลปะ ได้สอน นักเรียนน่ารักมาก สวยๆเพียบเลย เป็นอีกช่วงชีวิตที่แฮปปี้กับมันกัน

ข้อสำคัญ ผมไม่ต้องทำงาน 7 วัน คือคอร์สมันเปิดตามเดือน อาจจะ 10 วันแล้วเบรกไปสามสี่วัน แล้วต่อ หรือ จ-พ-ศ หรือเสาร์อาทิตย์แล้วแต่ แต่โดยรวม
เดือนๆ หนึ่งทำงานประมาณ 20 วัน ผมทั้งได้ค่าตอบแทนที่ดี และสนุกกับมัน ทั้งนี้ผมก็ยังมีเวลาช่วยเหลือกิจการที่บ้านได้อีกด้วย

คนเรามักมักจะมีจุดหักเหที่อาจจะหวนกลับไปไม่ได้อยู่บ่อยๆ วันนั้นคือวันที่ผมสอนอยู่ครับ แล้วพักเที่ยง ช่วงเวลาที่พักนั้น มีโทรศัพท์สายหนึ่งดังเข้ามา
เป็นน้องสาวผมโทรมาบอกว่า พ่อเสียแล้ว(หลังจากนอนเป็นเจ้าชายนิทรามาสามปี) ตอนนั้นกำลังเก็บของในห้องเรียนอยู่(เพิ่งเลิกเรียน) ผมร้องไห้เลย
พอออกมาพบ PR สาวสายด้านหน้า ทุกคนงงหมดว่าทำไมผมร้องไห้ ผมก็ตอบไปตามนั้น PR เคลียร์ทุกอย่างให้ผม ทั้งตารางเรียน ทั้งแจ้งผู้ใหญ่ ฯลฯ
และผมดิ่งกลับบ้านเพื่อมาดูพ่อผม ตอนนั้นใจหนึ่งก็เสียใจมาก อีกใจก็คิดว่าท่านไปสบายแล้ว

หลังจากผ่านงานศพคุณพ่อ ผมก็ไม่ได้กลับไปสอนอีกเลย เพราะคุณปู่คุณย่า ต้องให้การผมกลับมาช่วยกิจการที่บ้านอย่างเต็มตัว ซึ่งผมก็ปฎิเสธไม่ได้
เพราะผมไม่ทำก็ไม่มีใครทำ น้องๆก็ยังเรียนไม่จบ ตอนนั้นผมต้องกลับมา บริหารบริษัทเซรามิค ฮัท และ พูนศรีอพาร์ทเม้นต์ ทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน
ซึ่งโดยภาพรวมผมก็ทำได้ดี จนถึงทุกวันนี้

ในส่วนของบริษัทตอนนี้ผมยกให้น้องสาวคนเล็กดูแลอยู่ และกิจการอพาร์ทเม้นต์(ที่เน้นแต่รับ นศ.สาวเป็นแนวทางปฎิบัติ) ของผม ก็เจริญเติบโตแทบจะเรียกว่า
เต็มคาปาซิตี้ของมันแล้ว ผมก็แฮปปี้ครับ ชีวิตมีความสุขดี มีการงานที่มั่นคง มีการเงินที่มั่นคั่ง ไม่อดมื้ออิ่มสามมื้อเหมือนเคย

มี "เวลา" ที่จะทำสิ่งที่อยากทำได้ทุกวัน เพราะกิจการหอพักมันไม่จำเป็นต้องดูทุกวันเหมือนอาชีพอื่น ซึ่งมันก็ดีอย่าง ตอนนี้ผมอายุ 29 จะ 30 ในกลางเดือนหน้า
ผมรู้สึกว่า ผมประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว (ถ้ากล้วยอยู่ข้างๆ มันต้องบอกว่า "กูดีใจกับมึงด้วย") และตอนนี้เองที่เรื่องรถยนต์มามีอิทธิพลกับผมมากขึ้น
เพราะมีเวลาที่จะสนุกกับมันมากขึ้น......


ที่เล่ามายืดยาวนี่จะบอกว่า ในที่สุดผมก็ค้นพบตัวเองแล้ว ว่า ผมมีความสุขกับ นศ.สาวกระโปรงสั้นๆ เสื้อฟิตๆรัดรูป ที่ต้องเดินผ่านหน้าบ้านผมทุ๊กวัน....ซี๊ดดดด
แล้วน้องเจ้าของกระทู้หล่ะ ค้นพบความสุขในชีวิตแล้วหรือยัง ? รีบๆค้นให้พบนะครับ อย่าปล่อยให้อายุ 50 แล้วค่อยมาย้อนคิด มันช้าไปครับเพราะเวลามันซื้อกลับมาไม่ได้ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 19, 2010, 23:18:32 โดย SignifeR »
In Garage Subaru Impreza GDG WRX  y2008 // Nissan March 1.2E y2011

ออฟไลน์ yacoolsa9

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 316
เล่าให้ฟัง จาก เสียงของ อดีตวิศวะ รีไทร์ ตอนนี้อยู่บริหารโรงแรม ปี 3 ครับ

ตอนที่จะเลือกคณะเรียน ยังจำได้ว่า อาจารย์ให้เขียนใบสมัครสอบโควต้า เขาให้เลือกสองคณะ ไอ้เรายังไม่คิดเลยว่า จะเลือกคณะอะไรดีหรือว่าอยากจะเป็นอาชีพอะไร ก็มอง ๆ ถาม ๆ เพื่อนไป แล้วเราก็ได้ยินรุ่นพี่ที่จบ ๆ ไปเขาเล่ามาว่า เลือกวิศวะเลย ติดชัวร์ อารมณ์ตอนนั้นก็แค่ ขอให้ติดมหาลัยไว้ก่อนวะ ก็เลือก อันดับ 1 วิศวะโยธา อันดับสอง วิทยาฯชีวะ ตอนสอบก็มั่วบ้างทำบ้าง ผลออกมา ดันติดวิศวะ ที่บ้าน ญาติพี่น้อง เพื่อนพ้อง ยินดีกับเรา ดีใจกับเรา โดยเฉพาะพ่อกับแม่ ภูมิใจสุดๆ แต่พอผมเรียนไปได้สักเทอม เริ่มรู้ตัวแล้วว่า สายนี้ไม่ใช่เราแน่ ๆ เกรดเทอมแรกออกมา นั่งช็อก+น้ำตาไหล ไม่เคยได้เกรดอะไรสุดตีนขนาดนี้มาก่อน ไม่ถึง 1.5 พอมาเทอมสอง ก็เริ่มถอดใจว่า กูไทร์แน่ ๆ แล้วผลก็ออกมาตามนั้น รีไทร์ตอนปี 1 ยังจำได้ว่า พอเกรดเทอมสองออกปั๊บรู้ว่าโดนไทร์ก็นั่่งคุยโทรสับร้องไห้กับแม่ แล้วก็จบกันแค่นั้นสำหรับวิศวะ แต่สิ่งที่ผมได้มาจากคณะนี้ คือ การทำงานเป็นทีม การคิดอย่างเป็นระบบ การเคารพรุ่นพี่รุ่นน้อง
จากนั้นก็ได้มานั่งคิดว่า จริง ๆ แล้วเราชอบอะไร เราอยากเป็นกุ๊ก เราอยากบริการ เราอยากมีร้านอาหารเป็นของตัวเอง  ก็ไปสมัครมหาลัยเอกชน แล้วก็เลือกคณะบริหารฯโรงแรม ไป ผลคือ นี่แหละคณะที่เราอยากเรียนของจริง เกรดเฉลี่ยปีหนึ่งออกมา ก็ช็อกกันไปอีก ไม่เคยได้เยอะขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ตอนนี้ก็กำลังจะจบด้วยเกีียรตินิยม อันดับ 1 แล้ว

สิ่งที่ผมมักจะเตือนน้อง ๆ ทุกคนที่รู้จัก คือการให้รู้จัก คิดและวางแผนชีวิตของตัวเองไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่ใช่จะจบม.6แล้วค่อยมาคิด และอีกสิ่งที่เตือนน้องๆ ที่จะซิ่วคือ คนไม่มีคำว่าสายในชีวิต คุณรู้ตัวตอนนี้ว่าชอบอะไรดีกว่าที่ มันสายเกินกว่าที่คุณจะคิดได้


ออฟไลน์ น้าเดช

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 203
  • my step on the earth
มาฟัง วิศวะ รุ่นน้าบ้าง

     ปัจจุบัน อายุ 34 ขวบละครับ ไม่เคยคิดอยากจะเป็นวิศวะ เลยครับ แล้วก็คิดว่าจะไม่ให้ลูกชาย อายุ 5 ขวบ เดินตามรอยด้วย มันเป็นอาชีพที่หนักหนาสาหัส เต็มไปด้วยความกดดัน ถ้าคิดจะทำอาชีพนี้ก็ขอให้ทำใจยอมมันไว้ในชีวิตได้เลยครับ แต่สิ่งนึงที่ผมไม่อาจปฎิเสธมันได้คือ ที่มีกินและใช้อยู่ทุกวันนี้ มันคือสิ่งที่ได้จากการเป็น วิศวะครับ ขอให้น้องคิดและไตร่ตรองให้ดีก่อนครับ การได้ทำอะไรที่เรารัก มันจะทำให้เราสนุกกับมันและพร้อมที่จะเผชิญปัญหาร่วมกับมัน ขอให้ได้เลือกและเรียนในสิ่งที่รักครับ

วศบ.เครื่องกล
ผจก.รง. ประเทศเวียดนาม
เจริญโภคฯ
Smooth l Head l!ght mag l

ออฟไลน์ boykung

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,174
  • ตอนเด็กๆ โคตรอยากเป็นจีบันเลย
งั้นก็ขอแชร์ชีวิตส่วนตัวมั้ง
แต่ของผมมันด้านไม่ดี อย่าเลียนแบบเด็ดขาด เพราะคุณอาจไม่โชคดีเหมือนผม

ผมเป็นลูกชายคนโต ในครอบครัวคนไต้หวัน ที่ค่อนข้างจะหัวโบราณ เพราะลูกชายคนโตต้องเป็นเสาหลักของครอบครัว ทุกอย่างต้องลูกคนโต
ผมโดนคาดหวังมาแต่เด็กว่า ต้องเป็นคนเก่ง ต้องเป็นคนดี ต้องดีเลิศแม่งทุกอย่าง

ผมเป็นคนเกลียดวิชา คณิต วิทย์ อังกฤษ มากๆและผมสอบตกตั้งแต่ ป.1 ยัน ม.3 โดยมีทั้งตกหมด ตกสลับ แต่ทุกเทอมต้องมีพวกนี้ติด 0
ส่วนวิชาที่ชอบ คือ วาดรูป ศิลปะ และสังคม และเป็นนักกิจกรรมตัวพ่อ ทั้งนักกีฬา ทั้งเข้าค่ายลูกเสือโลก วงดุริยาง ทำทุกอย่างแหละครับ
และแน่นอนครับ ทุกครั้งที่ผมสอบตก ผมจะโดนผมลงโทษด้วยการตี เด็กๆ ก็ไม้เรียว โตขึ้นมามีทั้งเข็มขัด ไม้ไผ่ เหล็กแท่ง
พูดตรงๆตอนนั้นเป็นเด็กเก็บกดมากๆคนหนึ่งเลยครับ

ผมทนเรียนจนถึง ม.3 ก็เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตผม ต้องเลือกวิทย์ หรือ ศิลป์
ผมตัดสินใจ ไม่เรียน ไปสอบเข้า เทคนิค สาขาช่างเขียนแบบ
ซึ่งแน่นอน พ่อแม่เอือมระอาจนจะตัดหางปล่อยวัดแล้ว
และผมก็ทำตัวแบบสุดๆ ผมทำทุกอย่างที่เด็กเทคนิคมันทำกันแหละครับ
ยกเว้นฆ่าคนนะ แต่หนักสุดผมก็คือไปฟันแขนคู่อริขาด ด้วนไปเลย มานึกตอนนี้รู้สึกผิดมากครับ แต่ตอนนั้นถ้าผมไม่ทำผมโดนยิงตายแน่ๆ

แล้วจุดเปลี่ยนก็มาอีกครั้ง เมื่อผมอยู่ปี3 วันสถาปนาของคู่อริ พวกผมนั่งรถเมล์มากันเต็มคันด้านหลัง
โดยผมยืนอยู่เกือบหน้าสุด มีเด็กเทคนิคอีกคนยืนหน้าผม ผมยืนเป็นคนที่สอง
แล้วตอนรถเมล์ติดไฟแดงนั้นเอง มีเด็กเทคนิคคู่อริกรูกันขึ้นมาที่ด้านหน้า
แล้วก็ ควักอีโบ้ยิงอย่างรวดเร็ว แล้วภาพที่ผมเห็นก็คือ คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าผม ล้มอย่างช้าๆและ ตาย
แล้วผมก็เห็นมันกำลังควักอีกกระบอก ผมก็รีบพุ่งตัวออกทางหน้าต่าง ไถลบนหลังคารถและพื้นและวิ่งหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย
ซึ่งเหตุการณ์นี้นั้นเอง ทำให้ผมคิดได้ว่า ชีวิตมันก็แค่นี้ ตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้
ถ้าวันนั้น น้องคนนั้นไม่มา น้องคนนั้นไม่ได้ยืนหน้าผม คงเป็นผมที่ตายแน่นอนครับ

เทอม2 ของ ปวช.ปี3 ผมได้ตั้งใจเรียนอย่างไม่เคยมาก่อน
ตอนจบผมก็ได้ไปสอบตรง เพราะเด็ก ปวช. ไม่มีสิทธิเอนทราน
ซึ่งผมเลือกสอบ วิศวอุตสาหการ เพราะผมจะกลับไปรับช่วงต่อกิจการทางบ้าน
เพราะผมคิดว่า ผมได้เลือกเดินชีวิตตัวเองแบบผิดๆมา 3ปีแล้ว
ถึงเวลาต้องทำเพื่อพ่อแม่บ้างแล้วละ
ซึ่งผมก็สอบตรงติด วิศวอุตสาหการ ราชมงคลธัญบุรี
ซึ่งคณะที่ผมเรียน มันก็มีวิชาทั้งชอบและไม่ชอบ ผมก็ต้องพยายามเรียนจนจบ และผมก็จบมาได้

และพอจบผมก็เสนอตัวขอไปเรียนต่อที่นอกเอง ทั้งๆที่ตัวเองอ่อนอังกฤษมากถึงมากที่สุด
โดยผมได้ไปต่อ โท ที่อังกฤษ
ซึ่งโดยพื้นฐานผมอ่อนอังกฤษมากๆเลยต้องเรียนฝึกภาษาอยู่ครึ่งปี
ซึ่ง2เดือนแรก ผมเหมือนตกนรก ผมนอนร้องไห้ อาทิตย์แรกไม่ได้พูดกับใคร ไม่ได้พูดไทย เพราะโทรกลับบ้านไม่เป็น 5555 โคตรโง่เลย
พอผมเรียนครบครึ่งปี ผมก็ไปสมัครเข้ามหาลัย แล้วพอทดสอบ ผมก็ต้องเรียน prefessional เพื่อให้รู้ศัพย์ที่เกี่ยวข้องที่จะเรียนต่อ
และผมก็ผ่านมันไปได้ จนผมจะได้เข้าเรียนโท ละ
คุณพ่อผมก็ล้มป่วย ทั้งเป็นอัมพฤก ทั้งตับอักเสบซี และอื่นๆเยอะแยะ
ผมเลยต้องหยุดทุกอย่างและกลับมาบ้าน เพื่อช่วยกิจการทางบ้านอย่างกระทันหัน
ซึ่งผมก็ต้องเริ่มงานโดยเรียนรู้เองจากคนงาน ไม่มีคนสอน เพราะคุณพ่อป่วย รักษาตัวเป็นปีเลย
แต่ตอนนี้คุณพ่อกลับมาปกติ เดินปรอแล้วครับ

ผมก็ได้เรียนรู้ว่า ชีวิตคนเรามันต้องพยายาม ต้องเรียนรู้ ต้องใช้สติ ต้องอดทน ต้องฝืนบ้าง ไม่มีหรอกครับชีวิตที่สุขสบาย ได้ทุกอย่างที่ชอบ เจอทุกอย่างที่ใช่
Hyundai Grand Starex 2012
Kia Rio 2013
Volvo XC60 D4 Hybrid with Engine Oil 2013
Mercedes Benz S300Hybrid AMG 2014
BMW 420D Coupe M Sport 2016

ออฟไลน์ mcat231032

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 673
รู้สึกรักกระทู้นี้มาก ส่วนตัว อยู่ปีสาม วิศวะยานยนต์ ที่อาจารย์แทบไม่เคยมาขอให้ช่วยดูรถ ซ่อมรถยนต์ให้มีแต่จะให้ผมเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซ่อมคอม ลงโปรแกรม(ทำไมฝ่ายไอทีไม่มาทำฟ่ะ) เดินสายไฟ ทำมันทุกอย่างที่ไม่เกี่ยวกับรถ ผมเรียนได้ ok ที่เดียวนะครับ 3.7 กว่า แต่อย่างที่บอก ยอมรับครับว่าไม่ได้ชอบกับสิ่งที่ตัวเองเรียนสักเท่าไร ถ้ามีโอกาสเลือกได้ ไป ICT ลาดกระบังแน่นอน(สอบติดแล้วแต่ดันไม่เอา) สุดท้ายผมกับยังเป็นเหมือนหลายๆๆคนบนโลกครับยังไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรต่อดี หรืออะไรที่เป้นตัวเรา แต่แต่เด็กมีแต่คนคิดไว้ให้ เศร้าครับ
         ที่พูดมาทั้งหมดมันไม่ได้มีอะไรมากมายหรอกครับ อยากบอกว่าถ้าณู้ว่าชอบอะไรแล้วเรียนสิ่งนั้น จะดีที่สุดครับ แต่ถ้าทำไม่ได้ ไม่ว่าจะโดนบีบหรืออะไรอะไรก็ตาม ลงพยายามกับมันให้สุดๆๆไปเลย ครับ ขอให้โชคดีและขอให้ค้นพบตัวเองให้ได้โดยเร็วที่สุดครับ

ออฟไลน์ osment

  • Internship
  • Sr. Member
  • *
  • กระทู้: 791
ผมขอขอบพระคุณพี่ๆทุกคนน่ะครับ ขอขอบคุณจริงๆ

ทุกคำตอบได้ให้แง่คิดกับผมมากมายจริงๆครับ

ตอนนี้ชิวิตผมเหมือนกับพี่ maggie ในช่วงแรกๆเลยครับ

ผมเจอช่วงที่หนักที่หนักที่สุดตอนช่วงสอบ mid term ครับ  

สอบวิชาคณิต  วันนั้นเป็นวันที่ผมท้อจนสุดขีดเลยครับ  กล้าบอกแบบไม่อายเลยครับ

วันนั้นก่อนสอบ 1 วัน เวลา 5 ทุ่มกว่าๆ

ผมนั่งทำโจทย์ทั้งน้ำตาเลยครับ ในใจคิดว่า ทำไมที่เรียนๆไปมันไม่เข้าสมองบ้างเลยหรือ

เพื่อนๆที่เรียนมาด้วยกัน เข้าเรียนด้วยกัน นั่งอ่านหนังสือ ฝึกทำโจทย์ด้วยกันมาเป็น2-3อาทิตย์ ทำไมเค้าถึงคิดได้ ทำได้  

ผมยอมรับเลยครับ ว่าการที่ผมได้เข้าเรียนวิศวะ มันทำให้ทั้งครอบครัว รู้สึกดีใจและตั้งความหวังไว้กับผมมาก ผมสังเกตุได้จากคำพูดและแววตาของทุกคนได้

ผมเองก็ได้คุยเรื่องนี้กับพี่สาวและแม่ของผมแล้ว ท่านก็เข้าใจ แต่ผมยังรู้สึกได้ถึงความตั้งใจ ความหวังท่าน

ส่วนพ่อ ผมไม่กล้าปรึกษากับพ่อเท่าไร เพราะพ่อเป็นคนร้อนและผมก็เป็นคนร้อน และท่านไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลของผมมากนัก ปรึกษาส่วนมากก็จะเถียงกันมากกว่า

ทุกวันนี้ ผมยังรู้สึกเลยครับ ว่าความหวังความตั้งใจของคนรอบข้าง มันมีอิทธิพลกับเรามากเหลือเกิน  มันเป็นสิ่งที่ยากที่ผมจะปฏิเสธมันเหลือเกินครับ

ยิ่งเราเรียนดีเรียนได้ เค้าก็จะหวังให้เราไปได้สูงไปตามที่เค้าหวัง

มันเป็นสิ่งที่ฝังรากลึกในจิตใจของเรามาตั้งแต่เด็ก  ผมไม่อยากให้ครอบครัวผิดหวังกับเรื่องนี้เลยจริงๆ

ผมจะเริ่มต้นต่อสู้กับมันอีกครั้งครับ ถ้ามันไม่ได้ ผมก็จะไม่เสียใจอีกแล้วครับ ผมจะเต็มที่กับมันอีกที

ผมต้องขอขอบพระคุณพี่ๆทุกๆคนเลยน่ะครับ  ทุกคำแนะนำได้ให้แง่คิดและกำลังใจกับผมมากมายจริงๆ

ขอบคุณมากๆครับ

ออฟไลน์ Okino

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 156
ขอแชร์ด้วยแล้วกันครับ  เพราะผมก็อยู่ปี1 วิศวะ เหมือนกัน

ตอนสมัยม.ต้น  ในหัวผมไม่มีคำว่าวิศวะอยู่เลย  ตอนนั้นใครถามก็ตอบไปว่าอยากเป็นหมอๆ

แต่เพราะอะไรถึงอยากเป็นก็ไม่รู้เหมือนกัน  แล้วผมก็โชคดีที่มีเพื่อนคนนึงมันทำให้ผมเริ่มค้นหาตัวเองได้

คือผมชอบเรื่องรถนี่หละ  แต่อุปสรรคอันยิ่งใหญ่ คือ ผมไม่ชอบคำนวณเลยสักนิดเดียว ถึงขั้นเข้ากระดูกดำเลยหละ

พอตอนม.4 ผมสอบสายวิทย์ไม่ได้  พ่อก็ให้ออกจากโรงเรียนเดิม  มาอยู่ที่ต่างจังหวัด สาเหตุก็คือ ติดเกมส์ขั้นโอตาคุ - -

เล่นจนไม่ทำการบ้าน เรียนก็นั่งคุยกับเพื่อน  ก็เริ่มมาคิด ตอนม.4ว่าเริ่มตั้งใจเรียนใหม่ มันคงไม่สายเกินไปหรอก

ก็เริ่มตั้งใจเรียนมาเรื่อยๆ  แล้วก็ค้นหาตัวเองไปเรื่อยๆ  แต่มันก็มีอุปสรรคอยู่ดี  คือ  ผมชอบชีวะ กับอังกฤษ  แต่วิชาที่เกลียด

คือคณิต กับฟิสิกส์!!!  คือแบบถึงขั้นหนักเลย  จำได้ว่าตอนม.4ยังแยกกำลังสองสมบูรณ์ไม่ได้เลย  สูตรF=ma ผมยังไม่รู้เลยว่าคือ

อะไร  แต่ในใจก็ชอบเรื่องรถนี่หละ  พอถึงม.5 ผมได้ลองถามตัวเองดู ว่าชอบอะไรแน่ แต่คำตอบเดิมก็คือรถ นี่หละ  อยากเป็นพวก

ออกแบบตัวถัง ออกแบบเครื่องยนต์  แต่ปัญหาก็คือเรื่องเดิม  ผมก็เลยไประบายเรื่องนี้ให้อาจารย์ที่สอนฟิสิกส์ผม  อาจารย์ก็ให้คำ

แนะนำว่า  ถ้าอยากได้ก็ต้องทำโจทย์เยอะๆ  ซึ่งตอนนั้นผมทรมานมากๆ เพราะไม่เคยต้องมานั่งทำโจทย์ไรแบบนี้เลย  แต่ผมก็

ล้มเลิกความฝันผมไม่ได้หรอก  เพราะผมตั้งใจอยากจะทำพวกรถอยู่แล้ว  พอคราวนี้ ถึงเวลาที่จะต้องเข้ามหาลัยละ  ทำไงดีวะ

จะเข้าวิศวะ แต่ไม่ได้เรื่องพวกนี้เลย เกลียดด้วย ผมเลยเริ่มหากำลังใจ  ผมก็ได้ยินมาคำนึง  การทำโจทย์ก็เหมือนยา  มันขมมันไม่

อร่อย  แต่มันสามารถแก้อาการที่เราเป็นได้  ก็เหมือนทำโจทย์ที่ทรมาน แต่มันก็สามารถแก้อาการของเราที่ไม่รู้เรื่องได้  ตอนนั้นเลย

ทำไปวันละ150ข้อ วันละวิชา  โดยแรงบันดาลใจคือGT-R R34 ที่อยู่บนทางยาวๆ หน้าคอมผมนี่หละ  ซึ่งตอนนี้ผมก็ได้เข้าคณะ

ที่ผมสามารถเป็นทางผ่านไปสู่ความฝันผมได้  ซึ่งผมก็ต้องพยายามอีก เพราะสิ่งที่ผมรักมันมีอุปสรรคอีก  เพราะสอบMathครั้งแรก

ผมได้mean พอดีเลย

พล่ามมาเยอะละ ก็อยากแนะนำเพื่อนรุ่นเดียวกันหน่อยนะ

-นายลองถามตัวเองดูว่านายชอบอะไรเป็นพิเศษ  

-ถ้าชอบพวกเทคโนโลยี ก็นะ ลองพยายามดู  สิ่งที่เราชอบแล้วอยากได้มันมา อุปสรรคมันมีทุกทางแหละ แต่ถ้านายรักมันจริง

นายก็ต้องผ่านมันให้ได้ จริงมะ  แต่ถ้านายไม่ชอบสาขานี้  หรือแบบไม่ไหวจริงๆ  ก็ลองซิ่วก็ได้ ยังไม่สายเกินไป

-เห็นนายไม่ค่อยเข้าใจMath กับฟิสิกส์  ลองฝืนดู ตอนแรกมันจะน่าเบื่อมาก  สักพักมันจะปรับตัวได้เอง  ทำทีละนิด ครั้งแรกครึ่ง

ข้อก็ยังดี  แล้วค่อยๆเพิ่ม  (หรือเอาแบบเราก็ได้ วันละ100 ทำ2รอบ แล้วสุ่มข้อยากๆอีก20ข้อ)  แต่เราจะพักเสาร์-อาทิตย์นะ

ให้ทำสิ่งที่เราอยากทำ

-ลองเปิดใจให้กว้างดู  มันสามารถช่วยได้นะ

-นายลองถามตัวเองดู ว่าถ้านายเจอสิ่งที่ชอบแล้วแต่มันมีอุปสรรคมากมาย  นายพร้อมที่จะฝ่าฟันมันมั้ย  


ขอให้โชคดีนะ

ว่าแต่  เรียนที่ไหนเหรอ แหะๆ 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 20, 2010, 03:13:46 โดย Okino »
????? MD02 ??????????!!

ออฟไลน์ Gottinho

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 288
ขอแชร์ด้วยนะ กระทู้นี้โดนใจจริงๆ

เดิมทีตอนเด็กๆ พี่ก็ฝันไปเรื่อยอยากเป็นโน่นเป็นนี่ คุณน้าหลายๆคนที่บ้านก็ทำงานทั้งวิศวะไฟฟ้า โปรแกรมเมอร์ ธนาคาร สุดท้ายพี่ก็เลือกเรียนคอมฯ กะจบมา

แล้วเป็นโปรแกรมเมอร์ เพราะเมื่อก่อนมันดูเท่มากๆ และทำเงินได้เยอะ แต่เรียนไปได้ 2 ปีกว่า แล้วรู้สึกว่ามันไม่น่าจะใช่ มันฝืนๆ ตัวเอง วิชาเมเจอร์ก็ได้ซัก D, C

เลยตัดสินใจบอกที่บ้านว่าจะย้ายคณะแล้ว จะไปเรียนบริหารฯ ในแบบที่ตัวเองชอบมากกว่า แม้จะต้องตามเก็บวิชาพื้นฐานเพิ่มอีกหลายวิชาแต่สุดท้ายก็จบได้ใน

4 ปี (อาศัยลงซัมเมอร์เอา) และก็ไปเรียนต่อโทด้านไฟแนนซ์ ตอนนี้ก็ทำงานอยู่สายงานดูแลความเสี่ยงของธนาคารมาได้ 6 ปี แล้ว รายได้ก็ไม่น้อยกว่าเพื่อนที่เป็น

Programmer ซักเท่าไหร่ แต่มีความสุขกับงานที่ทำทุกวันครับ

ขอให้น้องตัดสินใจด้วยสติ และมีความสุขกับการตัดสินใจครั้งนี้ ครับ

โชคดีครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 20, 2010, 09:54:22 โดย CK_CISA »

ออฟไลน์ J!MMY

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 15,628
    • www.headlightmag.com
    • อีเมล์
ชอบกระทู้นี้ชะมัดเลยครับ!

GreenG

  • บุคคลทั่วไป
ไม่รู้นะครับ แต่ผมในใจมีแค่ 2 คณะคือ นิติ กับ บัญชี ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าอะไรก็ได้ขอให้มีเงินเลี้ยงตัวเองได้
แต่ในใจลึกๆ ผมอยากเรียน ช่างยนต์ ครับ คืออยากเรียน ปวส.

ทุกวันนี้ผมเรียนจบ นิติ มาแทบไม่ได้ใช้เลย เพราะ ทำงานด้าน HR และ safety

ก็หวังว่าจะทำตาม ค.ฝันนะครับ :) ;)สู้ๆ