Modify Review : Tein Endura Pro Plus ใน HR-V จบอาการยวบย้วย ด้วย กระบอกเขียว
Shock Absorber หรือที่เรียกกันติดปากว่า โช๊คอัพ นั้น คืออุปกรณ์หรือชิ้นส่วนสำคัญในรถยนต์ ทำหน้าที่ช่วยรองรับแรงกระแทกต่างๆ ระหว่างที่รถยนต์กำลังวิ่งบนพื้นผิวท้องถนน ไม่ว่าจะเป็นทางลาดชัน, ทางขรุขระ, ทางลูกระนาด หรือสภาพเส้นทางประเภทต่างๆ เพื่อให้แรงกระแทกที่ส่งไปยังห้องโดยสารลดลง จนภายในห้องโดยสารจะไม่รู้สึกถึงแรงกระแทกอันหนักแน่นทำให้รู้สึกถึงความนุ่มนวลแม้รถจะขับบนพื้นผิวถนนขรุขระก็ตาม ถือเป็นอุปกรณ์ที่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือเสริมสร้างความปลอดภัยในการขับขี่รถยนต์
ถ้าพูดถึง โช๊คอัพ ของ Honda HR-V หลายคนก็คงจะรู้ว่า มันไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ แม้ว่าจะ Set มาให้เน้นเรื่องความนุ่มนวลและความสบายในการเดินทางในเมือง ที่ใช้ความเร็วไม่สูงมาก ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ทำได้ดีพอประมาณ สำหรับคนที่ขับรถแบบทั่วๆไป
แต่หากต้องใช้ความเร็วเดินทางที่ประมาณ 110 กม./ชม. ขึ้นไป ความนุ่มของช่วงล่างนั้นส่งผลให้เกิดอาการย้วย โคลง และขับขี่ไม่ค่อยมั่นใจจะเจออาการย้วยจากความ ทำให้เวลาขับขี่ รถจะมีอาการโคลงตัวมากพอสมควร ยิ่งเวลาเข้าโคลง หรือ หักเลี้ยวเร็วๆ อาการจะยิ่งชัด ทำให้ความมั่นใจในการขับขี่นั้นลดลง
หลังจากผมใช้งาน HR-V คันนี้มาเกือบจะ 3 ปีแล้ว และ Lifestyle เริ่มเปลี่ยนไป จากเดิมที่วนเวียนอยู่แต่ในกรุงเทพ ก็เริ่มออกต่างจังหวัดมากขึ้น แต่ก่อนไปปีละ 1-2 ครั้ง แต่ปี 2019 ที่ผ่านมา ผมขับรถไปต่างจังหวัดถึง 15 ครั้ง เจอทั้งเส้นทางคดเคี้ยว ขึ้นเขา-ลงห้วย และการใช้ความเร็วสูง จึงต้องการความมั่นใจในการขับขี่ที่มากขึ้น คงถึงเวลาแล้วหละ ที่จะต้องจัดการกับ โช๊คอัพ อันเป็นตัวต้นเหตุของปัญหากันสักที
สิ่งที่ผมหวังจะได้จากการเปลี่ยนโช๊คครั้งนี้ก็คือ 1. ให้ความมั่นใจในการขับขี่ที่ดีขึ้นทั้งทางตรง ทางโค้ง และทุกย่านความเร็ว แบบที่รู้สึกได้ชัดเจน
2. ลดอาการโคลง ย้วย ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
3. ยังต้องมีความนุ่มนวลอยู่ ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุนั่งสบาย ไม่มีเสียงบ่นด่าใดๆกลับมา
4. ความสูงของตัวรถต้องไม่ต่างจากเดิม
5. คุณภาพดี ทนทาน ในราคาที่เหมาะสม
หลังจากหาข้อมูลสักพัก อ่าน Review และคำแนะนำต่างๆนานา จากเพื่อนผู้ใช้ HR-V เหมือนกัน พร้อมได้มีโอกาสไปลองของจริง ก็ตกลงปลงใจกับ เจ้ากระบอกเขียวจากแดนอาทิตย์อุทัย หรือ Tein Endura Pro Plus ชุดนี้ นั่นเอง
Tein Endura Pro Plus เป็น โช๊คอัพที่มากับโครงสร้างโช๊คในแบบเดียวกับที่ติดรถมา แต่เพิ่มประสิทธิภาพด้วย ระบบ Hydraulic Bump Stopper (H.B.S) ซึ่งจะช่วยดูดซับแรงกระแทกด้วยระบบวาล์วภายในจังหวะยุบตัวสุด หรือ Full Bump เท่านั้น จึงไม่เสียประสิทธิภาพในการควบคุมรถ และไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน รวมถึงช่วยเพิ่มความสบายและความนุ่มนวลในการขับขี่
โดยจะมีให้เลือก ทั้งหมด 2 รุ่น ได้แต่
⁃ Tein Endura Pro ซึ่งได้รับการตั้งค่าความนิ่ม-แข็ง ของโช๊คให้เหมาะสมจากโรงงาน สำหรับรถแต่ละรุ่น
⁃ Tein Endura Pro Plus ซึ่งสามารถปรับระดับความนิ่ม - แข็งของโช๊คได้ 16 ระดับ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการขับขี่ได้
สำหรับราคานั้น ถ้าเป็น Endura Pro ราคาเต็มจะอยู่ประมาณ 19,700 บาท ส่วน Endura Pro Plus นั้น ราคาเต็มอยู่ประมาณ 23,500 บาท รับประกัน 1 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง ทั้ง 2 รุ่น (ทั้งนี้ ก็ขึ้นครับ Promotion และส่วนลด ณ ตอนนั้นด้วย)
ส่วนตัวแล้ว ผมแนะนำให้เลือกเป็น Endura Pro Plus ไปเลย ถ้าไม่ติดเรื่องงบประมาณ เพราะเราสามารถปรับได้ตามความต้องการในแต่ละสถานการณ์ที่เราขับขี่
ในส่วนของการติดตั้งนั้น ผมใช้บริการที่ ร้าน Auto Rebound ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Tein ประเทศไทย เนื่องจากได้รับคำแนะนำจากเพื่อนๆที่เคยใช้บริการที่นี่มา ซึ่งทางเจ้าของร้านเอาใจใส่และดูแลลูกค้าเอง พร้อมให้ข้อมูลต่างๆได้ครบถ้วน
ว่าแล้วก็ขึ้นเขียงกันเลย โดยก่อนที่จะเริ่มติดตั้งนั้น ทางร้านได้นำโช๊ค Tein ชุดที่จะติดตั้ง มาให้ผมดูและตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้ง สิ่งที่สังเกตได้ชัดเจนเลยก็คือ กระบอกโช๊คมีขนาดที่ใหญ่กว่าโช๊คติดรถเดิม โดยเฉพาะคู่หลัง ซึ่งผมคิดว่าเป็นส่วนสำคัญที่จะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการขับขี่นั้น ดีขึ้น
สำหรับวิธีที่การเปลี่ยนโช๊คนั้น เท่าที่ผมทราบก็คือ จะต้องถอดล้อออก แล้วถอดโช๊คชุดเดิมออกจากตัวรถ จากนั้นก็งัดยางหุ้มเบ้าโช๊คออกเพื่อออกสปริง แล้วนำสปริงใส่ลงผมโช็คชุดใหม่ (กรณีใช้สปริงเดิม) เสร็จแล้วก็ใส่ยางหุ้มเบ้าโช๊ค แล้วก็ประกอบกลับเข้าที่รถ ขันน๊อตให้เรียบร้อย และใส่ล้อคืนตามเดิม เท่านี้ก็เรียบร้อย ฟังดูแล้วเหมือนจะไม่ยาก แต่ผมแนะนำว่าพึ่งผู้เชี่ยวชาญเถอะครับ
นอกจากนี้ หากรถของคุณผ่านการใช้งานมาประมาณ 50,000 กิโลเมตร ขึ้นไป แล้วนำมาเปลี่ยนโช็ค ผมแนะนำให้ตรวจสอบสภาพของยางหุ้มเบ้าโช๊คและยางกันกระแทกด้วย ตามปกติมันจะมีอายุการใช้งานประมาณ 80,000 กิโลเมตร ถ้าเริ่มมีอาการทรุดตัวหรือเสื่อมสภาพลง ผมแนะนำให้เปลี่ยนพร้อมกับโช๊คไปเลย จะได้ไม่ต้องมาถอดโช๊คเพื่อเปลี่ยนในภายหลัง ทั้งนี้คืออยู่กับรถยนต์แต่ละรุ่นด้วย
ส่วนโช๊คเดิมนั้น ทางร้านก็จัดการเอาสายรัด มารัดไว้เพื่อเก็บให้ถูกวิธี แล้วแพ็คใส่กล่อง ใส่ท้ายรถ เอากลับไปเก็บที่บ้าน
อีกขั้นตอนหนึ่ง ที่มีความสำคัญเมื่อทำการเปลี่ยนโช๊ค นั้นก็คือการตั้งศูนย์ล้อ เพื่อปรับหน้าล้อให้เท่าๆ กัน และปรับบรรดาค่ามุมต่างๆของรถ ที่จะต้องสัมพันธ์กันทุกมุมและเป็นไปตามค่ามาตรฐานที่โณงงานกำหนดไว้ เพื่อให้รถวิ่งได้ตรงมากที่สุดโดยที่เราไม่ต้องเกร็งมือในการรั้งพวงมาลัยมากเกินไป รวมถึงในขณะเลี้ยวล้อคู่หน้าจะต้องเอียงตามตามเหมาะสม และยังช่วยปรับศูนย์รถระหว่างล้อคู่หน้า-คู่หลังให้วิ่งเป็นแนวเดียวกัน
หลังจากติดตั้ง และตั้งศูนย์ ก็ออกไปทดสอบสั้นๆ ร่วมกับเจ้าของร้าน เพื่อตรวจสอบความสมบูรณ์ของโช๊คและงานติดตั้ง โดยทางร้านจะ Set ค่าของความนุ่ม-แข็งของโช๊คไว้ที่ค่าตรงกลางทั้งหน้าและหลังก่อน ซึ่งก็คือ เบอร์ 8 รวมถึงเป็นค่าที่ใกล้เคียงกับ รุ่น Endura Pro ที่ปรับไม่ได้ด้วย
พอเริ่มขับทดสอบ ความรู้สึกแรก หรือ First Impression ของโช๊คชุดนี้ ที่ผมสัมผัสได้ก็คือ รถนิ่งมากๆ ทั้งช่วงล่างและพวงมาลัย แบบรู้สึกได้ชัดเจน อาการสั่นเวลาขับรถถนนที่ไม่เรียบ หายไปเกือบหมดเลย
ถือเป็นิมิตรหมายที่ดีว่า ตัดสินใจถูกที่เลือก Tein Endura Pro Plus แต่ทว่า มันก็เป็นแค่ระยะสั้นๆ เท่านั้น รวมถึงทางร้านให้ข้อมูลมาว่า จะมีระยะ Run-In ประมาณ 500 กิโลเมตรก่อน แล้วโช๊คจะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
หลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบ ก่อนจะกลับบ้าน เจ้าของร้านก็ไม่ลืมที่จะสอนวิธีการปรับความนิ่ม-แข็ง ของโช๊คตัวนี้ให้กับผู้ใช้งานอย่างเรา เพื่อที่จะปรับได้เองตามที่เราต้องการ
สำหรับ วิธีการปรับค่าความนิ่ม - แข็ง ของโช๊คอัพ Tein นั้น เริ่มแรก จะต้องหมุนหัวปรับตามเข็มนาฬิกา (หมุนเข้า) จนสุด นั่นคือเบอร์ 0 ครับ หรือตำแหน่งที่แข็งสุด
จากนั้น ค่อยๆการหมุนทวนเข็มนาฬิกา (หมุนออก) จะเป็นการปรับค่าไปทางนิ่มขึ้น จะไล่ไปทีละเบอร์ ซึ่งจะมีล็อคให้เรารู้สึก จนถึงค่าที่เราต้องการ ซึ่งจะไปสุดที่เบอร์ 16 คือค่าที่นิ่มที่สุด ถ้าหมุนเลยไปจากนั้น ก็จะเป็นระยะฟรี ซึ่งจะไม่มีผลอะไร
แต่ถ้าลืมวิธีปรับแล้วละก็ ไม่ต้องกังวลครับ Website ของ Tein ประเทศไทย มีวิธีการปรับบอกอยู่ รวมถึง โช๊ค Tein ทุกรุ่นที่สามารถปรับได้ ใช้วิธีการปรับแบบเดียวกันทั้งหมด
นอกจากนี้ ถ้าหากติดตั้งชุดปรับไฟฟ้า หรือ EDFC ของ Tein พ่วงเข้าไปนั้น จะสามารถแบ่งระดับได้ถึง 32 เบอร์ เลยทีเดียว
เสร็จสิ้นทุกกระบวนการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่า หลังจากนี้ ต้องมีการทดสอบการขับขี่กันหน่อย
เบื้องต้นมองดูจากภายนอกแล้วของตัวรถแล้ว ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากขึ้น ทั้งความสูงและความสมดุลของรถ เนื่องจากผมใช้กับสปริงชุดเดิม
จะมีก็แค่ ถ้าเราก้มดูที่ได้ท้องรถ คุณจะโช๊คกระบอกสีเขียว อันเป็นเอกลักษณ์ของ Tein ติดอยู่ และมี Sticker Tein สีขาว ที่แถมมาในกล่องใส่โช๊ค ติดอยู่ที่กระจกประตูหลังทั้ง 2 ข้าง เท่านั้น
เริ่มจากการขับขี่บนสภาพการจราจรปกติในเมืองก่อน โดยปรับความนิ่ม-แข็งของโช๊ค ไว้ที่ ค่ากลาง (หน้า 8 หลัง 8 )
ถ้าคิดว่าเปลี่ยนโช๊คแต่งแล้ว รถจะต้องแข็งกระด้างขึ้นนั้น บอกเลยว่า ไม่จริง สำหรับ Tein Endura Pro Plus ชุดนี้ เพราะมันให้ความนุ่มนิ่มพอๆกับโช๊คเดิมเลย ผู้ใหญ่นั่งได้โดยไม่มีเสียงบ่น
แต่สิ่งที่ได้เพิ่มขึ้นมาก็คือ ความแน่นและเฟิร์มของช่วงล่าง ซึ่งดีขึ้นแบบชัดเจนมาก ส่งผลให้เวลาขับผ่านบรรดาฝาท่อ ฝาปิดถนน ลูกระนาด หรือ ถนนไม่เรียบ อาการสั่นและกระด้างของตัวรถ หายไปเกือบจะสนิทเลย
ขยับขึ้นมาหน่อยเป็น การขับขี่ที่ใช้ความเร็ว หรือ บนทางด่วน ซึ่งก็ยังอยูในเมืองอยู่ ผมจึงยังไม่ได้ปรับโช๊คใดๆ เอาจริงๆมันก็ดีขึ้นกว่าโช๊คเดิม ขับขี่ได้มั่นใจ อาการโคลงเคลงลดลงชัดเจน ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางโค้ง จนบางจังหวะ ผมสามารถใช้ความเร็วได้มากขึ้น โดยที่ความมั่นใจในการขับขี่ ก็ยังดีกว่าโช๊คชุดเดิม
แต่มีข้อติอย่างหนึ่ง ก็คือ เวลาขับผ่านรอยต่อถนนบนทางด่วนนั้น ผมแปลกใช้ที่มันซับแรงกระแทกได้ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร เอาจริงๆ เวลาขับผ่านถนนที่ไม่เรียบมันก็ซับแรงได้ดีนะ ทำไมถึงเป็นกับรอยต่อบนทางด่วนเพียงอย่างเดียว (แอบบงงๆนะเนี่ย)
มาถึงการทดสอบการขับขี่นอกเมืองกันบ้าง คราวนี้ เริ่มลองปรับค่าความนิ่ม - แข็ง เพื่อหาค่าที่เหมาะกับตัวเรามากที่สุด โดยเส้นทางแรกที่ผมใช้ทดสอบนั้น คือ กรุงเทพ - ชลบุรี จุดหมายปลายทางอยู่ที่ร้าน Cafe On สะพาน บนสะพานชลมารควิถี 84 พรรษา มีระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร / เที่ยว
ขาไป ลองปรับไว้ที่ค่ากลาง (หน้า 8 หลัง 8 ) ก่อน เส้นทางหลักๆที่ใช้คือ ทางด่วนบูรพาวิถี ตลอดทั้งสาย ได้ลองทั้งความเร็วสูง การเปลี่ยนเลน และการเข้าโค้งในความเร็วประมาณ 100 - 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง
สิ่งที่สัมผัสได้เลยคือ ช่วงล่างมันแน่นและหนึบกว่าเดิม อาการโคลงตัวและโยนตัวหายไปเยอะมากๆ รถนิ่งมากขึ้นเวลาขับเร็วเกิน 100 ขึ้นไป ความนุ่มนวลก็ยังมีอยู่ ให้ความสบายในการเดินทาง แต่บางจังหวะผมแอบรู้สึกว่า ช่วงล่างยังมีอาการย้วยนิดๆ ลงเหลืออยู่ เวลาเจอผิวถนนไม่เรียบหรือต้องเปลี่ยนเลนเร็วๆ โดยรวมแล้วถือว่าดีขึ้นจากโช๊คเดิมมากๆ
พอขากลับจากชลบุรี ก็ลองปรับให้แข็งขึ้นเป็น คู่หน้า 5 คู่หลัง 5 หวังจะลดอาหารย้วยลง ซึ่งมันก็ช่วยได้ อาการของรถนั้นจะแน่นขึ้น สาดโค้งแรงๆได้ โดยที่ไม่โยนตัวหรือโคลงเคลงเลย ใช้ความเร็วสูงๆ บนทางด่วนบูรพาวิถีได้แบบมั่นใจ
แต่ความนุ่มนวลหายไปเยอะมาก ยิ่งเวลาผ่านรอยต่อ หรือถนนไม่เรียบจะรู้สึกได้ชัดเจนมากๆ แรงสั่นสะเทือนส่งขึ้นมาในห้องโดยสารมากพอสมควร จนผมมีอาการเมื่อยหลังนิดๆ ตอนที่ลงมาจากรถ ทั้งๆที่เดินทางประมาณ 100 กิโลเมตร แถมใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงด้วย คิดว่าถ้าจะปรับเป็น 5-5 คงใช้เฉพาะโอกาสที่จะต้องจำเป็นต้องบู๊และซิ่งหน่อย ถ้าใช้ในชีวิตประจำวันคงไม่ไหว
เส้นทางที่ 2 ไป-กลับ กรุงเทพ - หัวหิน คราวนี้ได้ลองกันยาวๆ เกือบ 300 กิโลเมตร / เที่ยว เลยที่เดียว แถมเป็นเส้นทางที่มีสภาพถนนหลายๆรูปแบบและผมคุ้ยเคยเป็นอย่างดี จึงมีโอกาสได้ลองทดสอบในหลายๆสถานการณ์ด้วย
และรอบนี้ยังมีผู้โดยสานที่มีประสบการณ์กับ HR-V คันอื่นๆ ร่วมเดินทางไปด้วย ซึ่งก็พอให้ Feedback ได้บ้าง
ขาไป เริ่มต้นที่ ค่ากลาง (หน้า 8 หลัง 8 ) เหมือนเดิม อาการก็จะเหมือนๆกับตอนที่ขับไปชลบุรี ช่วงล่างแน่นและหนึบขึ้น อาการโคลงและโยนตัวลดลง ซึ่งเพื่อนร่วมทางที่ไปด้วย รู้สึกได้ตั้งแต่ขับรถมาใหม่ๆเลย แน่นอนว่า อาการติดย้วยหน่อยๆ ก็ยังตามมา แต่พอเจอสถานการณ์ฉุกเฉินที่ต้องหักหลบสิ่งของบนรถนั้น รถก็ยังเอาอยู่
ขากลับ ลองปรับแข็งขึ้นมาหน่อย เป็น หน้า 6 หลัง 6 ปรากฏว่า ค่านี้แหละ ถูกจริตกับผมมากที่สุด ให้ความมั่นใจมากกว่าค่ากลาง ไม่ว่าจะในช่วงความเร็วต่ำ ความเร็วสูง ทางตรงทางโค้ง หรือแม้กระทั่งสถานการณ์ฉุกเฉินที่ต้องหลบของที่ตกอยู่บนถนน (ทริปนี้เจอทั้งขาไปและขากลับเลย) อาการโคลงเคลง แทบไม่รู้สึกเลย เรียกได้ว่าเอาอยู่จริงๆ สำหรับคนที่ขับรถค่อนข้างเร็วนะ
แน่นอนว่าพอปรับให้โช๊คแข็งขึ้น แรงสั่นสะเทือนที่ขึ้นมาจากช่วงล่าง ย่อมเพิ่มขึ้นตามมา แบบที่รู้สึกได้ แต่มันอยู่ในเกณฑ์ที่ผมรับได้และโอเคกับมัน มันไม่ได้แข็งจนเดินทางไม่สบาย แต่มันก็ไม่นิ่มสบายจนเสียความมั่นใจ ผมกลับรู้สึกว่าอาการสะเทือนที่เข้ามาประมาณนี้ มันช่วยให้เรารับรู้อาการของรถได้และทำให้รู้สึกมั่นใจในการควบคุมรถมากขึ้นด้วย
เอาจริงๆ กลับมาจากทริปนี้ ผมก็ลองใช้ค่าหน้า 6 หลัง 6 ในเมืองนะ มันก็โอเคพอสมควรเลย ผู้ใหญ่ขึ้นรถผมก็ไม่บ่น เพียงแต่ว่า ถ้าปรับกลับมาที่ค่ากลางนั้น มันนั่งสบายกว่า อีกอย่างขับในเมืองก็ไม่ได้ใช้ความเร็วมากนัก เน้นนุ่มสบายๆ จะดีที่สุด
ล่าสุดมีคนแนะนำให้ปรับหน้าหลังไม่เท่ากันที่ หน้า 8 หลัง 6 ซึ่งผมก็ลองปรับตามนั้น และใช้งานมาสักพักหนึ่งแล้ว
สิ่งที่พบก็คือ ท้ายรถจะนิ่งและคุมได้ง่ายกว่า ตอนที่ปรับ 8-8 แต่ยังไม่มั่นใจเท่าตอนที่ปรับ 6-6 ส่วนความนุ่มนวลเวลาใช้ในเมืองนั้น ถือว่านุ่มกว่าตอนที่ปรับ 6-6 นิดหน่อย แต่ไม่นุ่มเท่าตอนที่ปรับ 8-8
พอใช้งานจริงแล้ว มันก็โอเคนะ แต่ผมมองว่า ค่านี้ มันเหมือนครึ่งๆกลางๆ ไม่ได้เด่นไปด้านใดด้านหนึ่ง สู้ปรับให้เด่นไปในด้านที่เราต้องการเลยดีกว่า
หลังจากทดลองปรับต่างๆนานาๆแล้ว ผมได้ข้อสรุป ที่คิดว่าเหมาะกับจัวผมเองที่สุดว่า
⁃ ถ้าใช้งานในชีวิตประจำวันทั่วไปๆ ขับรถไปทำงาน กลับบ้าน พาครอบครัวหรือผู้สูงอายุ ไปห้าง ไปตลาด หรือไปไหนใกล้ๆ โดยที่อยู่ในเมือง ปรับไว้ที่ 8-8 ก็โอเคแล้ว หรือจะเอามั่นใจขึ้นอีกหน่อย 6-8 ก็ได้อยู่
⁃ ถ้าต้องขับรถออกจากต่างจังหวัด ใช้ความเร็วเดินทางมากกว่า 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป ปรับไว้ที่ 6-6 เลย ได้ทั้งขับสนุก มั่นใจ และยังมีความนุ่มนวลอยู่
⁃ ถ้าช่วงไหนใช้รถคนเดียวหลายๆวัน ละก็ ปรับ 6-6 ไว้ยาวๆเลยครับ
⁃ แต่ถ้าอาจได้ความนุ่มที่มั่นใจกว่าค่ากลางขึ้นมาสักหน่อย แล้วไม่อยากปรับอะไรมากนัก 8-6 ก็ถือว่าโอเคอยู่นะ
บทสรุป รู้งี้ เปลี่ยนตั้งนานแล้ว นี่คือสิ่งที่ผมรู้สึก หลังใช้งาน Tein Endura Pro Plus ชุดนี้มาเกือบจะ 2,500 กิโลเมตรแล้ว มันพลิกการขับขี่ของ HR-V คันเดิม ให้ต่างกันราวฟ้ากับเหว เลยทีเดียว
จากเดิม ที่นุ่มนวลจนออกไปทางย้วย ขับเร็วๆ ก็โคลงเคลงและหวาดเสียวนิดๆ เป็น เฟิร์ม นุ่ม แน่น หนึบ ขับสนุก และมั่นใจขึ้นมากๆ
แน่นอนว่า ถึงของมันจะดีขนาดไหน มันก็ย่อมมี Limit ของมันอยู่ สิ่งที่สำคัญก็คือ เราต้องขับขี่อย่างเหมาะสม ไม่ประมาท และคำนึกถึงความปลอดภัยของตนเองและเพื่อนร่วมทาง อยู่เสมอ
ท้ายที่สุด คงมีหลายๆคน ตั้งคำถามถามว่า คุ้มค่ามั้ย กับเงินที่ต้องจ่ายไป
ผมว่า ผมได้รถที่มีประสิทธิภาพการขับขี่ที่ดีขึ้น ได้รถที่สามารถปรับ Character ของช่วงล่างให้ตรงกับความต้องการของเรามาก็ขึ้น ได้รถที่ไม่ว่าทางจะลดเลี้ยวเคี้ยวคตหรือเจอต้องใช้ความเร็วใดๆ มันก็พร้อมจะพาผมไปได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
และสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือ เจ้ากระบอกเขียวจากแดนอาทิตย์อุทัย ชุดนี้ พร้อมที่จะมอบ ความสนุกในการขับขี่ และ ความสุขในการเดินทาง ให้กับผม
ดั้งนั้นการจ่ายเงิน 2 หมื่นกว่าบาท เพื่อ Tein Endura Pro Plus ชุดนี้ สำหรับผม มันคุ้มค่ามากๆครับ
ขอบคุณสำหรับการติดตามนะครับ