1. กำแพงภาษีนำเข้า (ในอดีต - มันบีบบังคับให้ต้องมาลงทุนตั้งโรงงานในไทย แล้วทีนี้ ไทยอยู่อาเซียน
>>> รถญี่ปุ่นเกิดง่ายกว่า รถยุโรป+รถอเมริกาเกิดยากกว่า
2. ขนาดตลาด บางส่วนก็ใหญ่พอ แต่ตลาดรถเก๋งค่อนข้างเล็ก
>>> ตลาดที่คุ้มค่า น่าผลิตคือ รถกระบะ และ PPV เป็นหลัก ส่วนรถเก๋ง, SUV พื้นฐานเก๋ง เป็นตลาดส่วนน้อย ยังไม่ถึง 1 ใน 3 เลย
3. ต่อจากข้อ 2 ขนาดตลาดก็ไม่ได้ใหญ่มากมาย แล้วยังมาโดนเจ้าตลาดที่เป็นเจ้าตลาดระดับโลกของแท้ๆ มาครองตลาดอีก
>>> Toyota ครองตลาดทั้งเก๋ง กระบะ PPV รถตู้ ฯลฯ ครบทุกกลุ่ม
>>> Honda ครองตลาดเฉพาะรถเก๋ง และ CUV (SUV พื้นฐานเก๋ง)
>>> Isuzu ครองตลาดเฉพาะรถกระบะ และ PPV (SUV พื้นฐานกระบะ)
แค่ 3 ยี่ห้อนี้ ก็ครองส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ 4 ล้อ รวมกัน เกือบ 70% เหลือแค่ 30% ให้แย่งกันระหว่างอีก 10 กว่ายี่ห้อ !!!
>>> ทำไม ?? ??
ทั้งๆ ที่สมัยราว 30 ปีที่แล้ว (2531 เป็นต้นมา-รัฐบาลยุค พล.อ.เปรม ปีสุดท้าย หรือ รัฐบาล พล.อ.ชาติชาย จำไม่ได้)
รัฐบาลเพิ่งจะเริ่มต้นโครงการ Product Champion ตัวแรก คือ "รถกระบะ 1 ตัน" หลังจากนั้นมา บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น
ก็ทยอยมาตั้งโรงงานผลิตรถกระบะ 1 ตัน ขายแข่งกันในไทย แล้วส่งออกทั่วโลก พอๆ กันหมด แม้แต่ Ford, GM (Chev) ยังมา
ก็เพราะสุดท้ายแล้ว "คุณภาพสินค้า และบริการหลังการขาย" ที่ ... " เป็นหัวใจหลักที่สำคัญที่สุดของการได้รับความนิยมจากผู้บริโภค "
ยี่ห้อพวกนั้น มันทำให้เกิดขึ้นจริงไม่ได้ / มันแข่งกับ 3 ยี่ห้อหลักไม่ได้ / แม้แต่สร้างภาพให้ดูว่า ดีจริง ทนจริง .. มันยังทำไม่ได้เลยครับ
แล้ว...มันก็เลยกลายมาเป็นผลพวงว่า ... รถทุกกลุ่ม แต่นอก 3 ยี่ห้อนั้น " ราคาขายต่อ " >> สู้ไม่ได้ !!??
มันก็เลยมีผลให้ ยี่ห้อพวกนั้น มันจะขายให้กับลูกค้าเฉพาะรายใหม่ ที่ไม่เคยซื้อรถเท่านั้น ... แต่ถ้าเคยซื้อคันแรกมาแล้ว
แล้วถึงเวลาจะซื้อคันใหม่ ขายคันเก่า เทิร์นเป็นเงินดาวน์ มันเห็นความแตกต่างกันได้เลย ...
ครับ
ปล. ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นกันชัดๆ เลยนะ ... ถ้าใครอายุซัก 35 ขึ้นมาแล้ว น่าจะพอจำได้บ้าง
สมัยมีปฏิวัติ รสช. 2 กุมภา 2534 แล้วแต่งตั้ง นายกฯ อานันท์ ปันยารชุน ขึ้นมาบริหารประเทศไม่เกิน 2 ปี
(ช่วงนั้น ที่มีเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ 35) แล้วค่อยมีเลือกตั้งปลายปี 35 ได้ นายกฯ ชวน-ประชาธิปัตย์ สมัยแรก
รัฐบาลแก้กฎหมายข้อนึง => ให้ยกเลิกโควต้าแท๊กซี่แบบเดิม เปลี่ยนมาเป็นให้ขอมีได้อย่างเสรี
แต่..ต้องเป็น Taxi Meter เท่านั้น โดยมีข้อกำหนดสำคัญคือ
เครื่องยนต์ ต้องมีขนาดความจุ 1,500cc ขึ้นไป (พวกแค่ 1,4xx cc ขอไม่ได้)
ช่วงนั้น นอกจาก Corolla ซึ่งจะมีเป็นปกติอยู่แล้ว (แค่ออกคันใหม่ไปแทนคันเก่าที่หมดสภาพ แต่ย้ายเอาป้ายทะเบียนมาใส่แทน
แล้วไม่ต้องมี Meter) .. นอกนั้น รถเก๋งญี่ปุ่น 1,600cc แทบทุกยี่ห้อ แห่กันมาออก Taxi Meter กันครบทุกรุ่น แม้แต่ Honda
ต่อมา Honda กลัวเสียชื่อ เสียภาพพจน์ เลยออกกฎเหล็กมาข้อนึง ว่า ใครออก Civic ไปเป็น Taxi Meter ล่ะก็ เค้ามีนโยบาย
จะไม่รับรถเข้าให้บริการซ่อมบำรุงทุกกรณี เจ้าของรถต้องไปหาอู่ซ่อมบริการกันเอาเอง เลยทำให้ Civic เลิกเป็น Taxi Meter ตั้งแต่นั้นมา
และแล้ว .. หลังจากที่มีผู้คนแห่ออกรถเก๋งญี่ปุ่น 1,600cc ครบแทบจะทุกยี่ห้อ (Honda ก็มี แต่น้อยมาก) .. ต่อมาไม่นาน พอรถเริ่มใช้มากขึ้นๆ
(Taxi ปีๆ นึง ขับใช้งานกันเกือบๆ แสนโล เพราะมันให้เช่าทั้งกะกลางวัน และกลางคืน) สภาพรถทั้งเครื่อง ทั้งเกียร์ ช่วงล่าง ฯลฯ
จึงทรุดโทรมเร็วมาก ... แล้วมันก็เริ่มทยอยพิสูจน์ได้ทีละนิดๆ ๆ ว่า ... ยี่ห้อไหน ทนกับการใช้งานแบบนี้ มากที่สุด
คำตอบ = " Toyota " ครับ แม้แต่ รถบริษัท รถเซลส์ รถตู้รับ-ส่งพนักงาน (สมัยที่ยังมี Isuzu ขายแข่งด้วย) + ฯลฯ ที่ไม่ใช่รถ Taxi
Toyota กวาดเรียบบบบบบ
คิดง่ายๆ ... ถ้า Toyota เค้าไม่ทนมือทนเท้ากันจริงๆ ยี่ห้อนี้ คงไม่เคยได้ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลกทั้งในแง่ยอดขาย ในแง่ความพึงพอใจ
มานานร่วม 10 กว่าปี ตั้งแต่ปี 200x มาก่อนแล้วล่ะครับ เพิ่งจะเสียตำแหน่งไป ตอน Renault ไป takeover Mitsu มาอีกยี่ห้อ
ยอดขายรวมของ Toyota เลยแพ้เค้าไป เมื่อไม่เกิน 5 ปีหลังสุดนี่ ... (หลังจากนั้น ผมก็ไม่ได้ตามต่อแล้ว และขี้เกียจหาข้อมูลมาตอบต่อนะ)