ผู้เขียน หัวข้อ: รถยี่ห้อใหม่เมืองไทยเกิดยาก  (อ่าน 6042 ครั้ง)

ออฟไลน์ iLLuSion

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 69
Re: รถยี่ห้อใหม่เมืองไทยเกิดยาก
« ตอบกลับ #30 เมื่อ: กันยายน 08, 2020, 12:18:41 »
เมื่อถึงยุคที่รถไฟฟ้าในบ้านเราเริ่มเติบโตเมื่อไหร่ เมื่อนั้นโอกาสของรถแบรนด์ไทยจะมาครับ

ออฟไลน์ lexus

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,246
Re: รถยี่ห้อใหม่เมืองไทยเกิดยาก
« ตอบกลับ #31 เมื่อ: กันยายน 08, 2020, 12:40:08 »
รูปร่างหน้าตา
เครื่องยนต์ การขับขี่
ความทนทาน ศูนย์บริการดี
ราคาที่เป็นธรรม

ผมว่ามี4ข้อนี้ก็แจ้งเกิดได้ครับ แต่ส่วนใหญ่มาไม่ครบ ก็ปลิวไปตามกาลเวลา

ออฟไลน์ DiKiBoyZ

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 7,259
    • อีเมล์
Re: รถยี่ห้อใหม่เมืองไทยเกิดยาก
« ตอบกลับ #32 เมื่อ: กันยายน 08, 2020, 14:50:56 »
แบรนด์ใหม่ ที่จะเกิดได้ ไม่ว่าจะโด่งดังมาจากโลกไหน ถ้าจะเกิดที่ไทยได้ ต้องมีจุดเด่น ชัดเจน ย้ำว่า ชัดเจนจริงๆ ที่จับต้องได้ เช่น

ถ้าเป็นรถบ้าน
1. ราคา เป็นไง แพงไหม หรือ ถูกกว่า ชาวบ้านเขา
2. หน้าตา รูปร่าง ดีไซน์ เป็นไง เด่นกว่าแบบชัดเจน หรือว่า ดาดๆ (มาก็ตาย)
3. แบรนด์ต้องเป็นรู้จักพอสมควร
4. บริการหลังการขายต้องแข็งแรงมากๆ

ถ้ารถแพง รถเฉพาะกลุ่ม รถแรง รถหรู
1. ต้องมีความน่าเชื้อถือพอสมควร หรือ เรียกว่ามาก ก็ได้
2. มีสตอรี่ มาความเป็นมา เพื่อจะเป็นจุดขาย
3. สมรรถณะ ต้องได้ ความแรงต้องมี บางคนชอบไม่เหมือนใครก็มี ถ้าสมรรถณะเจ๋งจริง
4. การตกแต่ง ต้องมีเอกลักษณ์ จะหรู จะสปอร์ต ก็ว่าไป

ออฟไลน์ Pegasus7700

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,814
Re: รถยี่ห้อใหม่เมืองไทยเกิดยาก
« ตอบกลับ #33 เมื่อ: กันยายน 08, 2020, 15:03:51 »
อ่านข้อหัวอาจจะ งงๆ. รถยี่ห้อใหม่เมืองไทย...

หากหมายถึง ยี่ห้อที่มีในโลก แต่จะมาเกิดในไทย ยากนั้น

ผมคิดว่า. ไม่ยาก. หากมีทุนสูง สายป่านยาว

ลองคิดเล่นๆครับ หาก MG ใส่option เต็มๆ. ปรับเครื่องยนตร์เกียร์
และราคาถูกลงกว่านี้.  ไม่กี่ปีก็เกิด
...ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป...

MERCEDES BENZ W212 '12
FORD FOCUS 2.0 Gdi '13
HONDA Civic RS '20
VOLVO XC60 Hybrid Inscription '19
FORD EVEREST 2.0 Bi Turbo '22

ออฟไลน์ TCP

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 705
Re: รถยี่ห้อใหม่เมืองไทยเกิดยาก
« ตอบกลับ #34 เมื่อ: กันยายน 08, 2020, 15:27:12 »
1. กำแพงภาษีนำเข้า (ในอดีต - มันบีบบังคับให้ต้องมาลงทุนตั้งโรงงานในไทย แล้วทีนี้ ไทยอยู่อาเซียน
>>> รถญี่ปุ่นเกิดง่ายกว่า  รถยุโรป+รถอเมริกาเกิดยากกว่า

2. ขนาดตลาด บางส่วนก็ใหญ่พอ แต่ตลาดรถเก๋งค่อนข้างเล็ก
>>> ตลาดที่คุ้มค่า น่าผลิตคือ รถกระบะ และ PPV เป็นหลัก  ส่วนรถเก๋ง, SUV พื้นฐานเก๋ง เป็นตลาดส่วนน้อย ยังไม่ถึง 1 ใน 3 เลย

3. ต่อจากข้อ 2 ขนาดตลาดก็ไม่ได้ใหญ่มากมาย แล้วยังมาโดนเจ้าตลาดที่เป็นเจ้าตลาดระดับโลกของแท้ๆ มาครองตลาดอีก
>>>  Toyota  ครองตลาดทั้งเก๋ง กระบะ PPV รถตู้ ฯลฯ ครบทุกกลุ่ม 
>>>  Honda  ครองตลาดเฉพาะรถเก๋ง และ CUV (SUV พื้นฐานเก๋ง)
>>>  Isuzu  ครองตลาดเฉพาะรถกระบะ และ PPV (SUV พื้นฐานกระบะ)
แค่ 3 ยี่ห้อนี้ ก็ครองส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ 4 ล้อ รวมกัน เกือบ 70% เหลือแค่ 30% ให้แย่งกันระหว่างอีก 10 กว่ายี่ห้อ !!!

>>>  ทำไม ?? ??

   ทั้งๆ ที่สมัยราว 30 ปีที่แล้ว (2531 เป็นต้นมา-รัฐบาลยุค พล.อ.เปรม ปีสุดท้าย หรือ รัฐบาล พล.อ.ชาติชาย จำไม่ได้)
   รัฐบาลเพิ่งจะเริ่มต้นโครงการ Product Champion ตัวแรก คือ "รถกระบะ 1 ตัน"  หลังจากนั้นมา บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น
   ก็ทยอยมาตั้งโรงงานผลิตรถกระบะ 1 ตัน ขายแข่งกันในไทย แล้วส่งออกทั่วโลก พอๆ กันหมด แม้แต่ Ford, GM (Chev) ยังมา

ก็เพราะสุดท้ายแล้ว "คุณภาพสินค้า และบริการหลังการขาย" ที่ ... " เป็นหัวใจหลักที่สำคัญที่สุดของการได้รับความนิยมจากผู้บริโภค "

ยี่ห้อพวกนั้น มันทำให้เกิดขึ้นจริงไม่ได้ / มันแข่งกับ 3 ยี่ห้อหลักไม่ได้ / แม้แต่สร้างภาพให้ดูว่า ดีจริง ทนจริง .. มันยังทำไม่ได้เลยครับ

แล้ว...มันก็เลยกลายมาเป็นผลพวงว่า ... รถทุกกลุ่ม แต่นอก 3 ยี่ห้อนั้น " ราคาขายต่อ "  >> สู้ไม่ได้ !!??

มันก็เลยมีผลให้ ยี่ห้อพวกนั้น มันจะขายให้กับลูกค้าเฉพาะรายใหม่ ที่ไม่เคยซื้อรถเท่านั้น ... แต่ถ้าเคยซื้อคันแรกมาแล้ว
แล้วถึงเวลาจะซื้อคันใหม่ ขายคันเก่า เทิร์นเป็นเงินดาวน์ มันเห็นความแตกต่างกันได้เลย ...

ครับ


ปล.  ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นกันชัดๆ เลยนะ ... ถ้าใครอายุซัก 35 ขึ้นมาแล้ว น่าจะพอจำได้บ้าง

สมัยมีปฏิวัติ รสช. 2 กุมภา 2534 แล้วแต่งตั้ง นายกฯ อานันท์ ปันยารชุน ขึ้นมาบริหารประเทศไม่เกิน 2 ปี
(ช่วงนั้น ที่มีเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ 35) แล้วค่อยมีเลือกตั้งปลายปี 35 ได้ นายกฯ ชวน-ประชาธิปัตย์ สมัยแรก

รัฐบาลแก้กฎหมายข้อนึง => ให้ยกเลิกโควต้าแท๊กซี่แบบเดิม เปลี่ยนมาเป็นให้ขอมีได้อย่างเสรี

แต่..ต้องเป็น Taxi Meter เท่านั้น  โดยมีข้อกำหนดสำคัญคือ
เครื่องยนต์ ต้องมีขนาดความจุ 1,500cc ขึ้นไป  (พวกแค่ 1,4xx cc ขอไม่ได้)

ช่วงนั้น นอกจาก Corolla ซึ่งจะมีเป็นปกติอยู่แล้ว (แค่ออกคันใหม่ไปแทนคันเก่าที่หมดสภาพ แต่ย้ายเอาป้ายทะเบียนมาใส่แทน
แล้วไม่ต้องมี Meter) .. นอกนั้น รถเก๋งญี่ปุ่น 1,600cc แทบทุกยี่ห้อ แห่กันมาออก Taxi Meter กันครบทุกรุ่น แม้แต่ Honda

ต่อมา Honda กลัวเสียชื่อ เสียภาพพจน์ เลยออกกฎเหล็กมาข้อนึง ว่า ใครออก Civic ไปเป็น Taxi Meter ล่ะก็  เค้ามีนโยบาย
จะไม่รับรถเข้าให้บริการซ่อมบำรุงทุกกรณี  เจ้าของรถต้องไปหาอู่ซ่อมบริการกันเอาเอง เลยทำให้ Civic เลิกเป็น Taxi Meter ตั้งแต่นั้นมา

และแล้ว .. หลังจากที่มีผู้คนแห่ออกรถเก๋งญี่ปุ่น 1,600cc ครบแทบจะทุกยี่ห้อ (Honda ก็มี แต่น้อยมาก) .. ต่อมาไม่นาน พอรถเริ่มใช้มากขึ้นๆ
(Taxi ปีๆ นึง ขับใช้งานกันเกือบๆ แสนโล เพราะมันให้เช่าทั้งกะกลางวัน และกลางคืน) สภาพรถทั้งเครื่อง ทั้งเกียร์ ช่วงล่าง ฯลฯ
จึงทรุดโทรมเร็วมาก ... แล้วมันก็เริ่มทยอยพิสูจน์ได้ทีละนิดๆ ๆ ว่า ... ยี่ห้อไหน ทนกับการใช้งานแบบนี้ มากที่สุด

คำตอบ = " Toyota " ครับ  แม้แต่ รถบริษัท รถเซลส์ รถตู้รับ-ส่งพนักงาน (สมัยที่ยังมี Isuzu ขายแข่งด้วย) + ฯลฯ ที่ไม่ใช่รถ Taxi

Toyota กวาดเรียบบบบบบ

คิดง่ายๆ ...  ถ้า Toyota เค้าไม่ทนมือทนเท้ากันจริงๆ  ยี่ห้อนี้ คงไม่เคยได้ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลกทั้งในแง่ยอดขาย ในแง่ความพึงพอใจ
มานานร่วม 10 กว่าปี ตั้งแต่ปี 200x มาก่อนแล้วล่ะครับ  เพิ่งจะเสียตำแหน่งไป ตอน Renault ไป takeover Mitsu มาอีกยี่ห้อ
ยอดขายรวมของ Toyota เลยแพ้เค้าไป เมื่อไม่เกิน 5 ปีหลังสุดนี่  ...  (หลังจากนั้น ผมก็ไม่ได้ตามต่อแล้ว และขี้เกียจหาข้อมูลมาตอบต่อนะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 08, 2020, 16:02:29 โดย TCP »

ออฟไลน์ TCP

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 705
Re: รถยี่ห้อใหม่เมืองไทยเกิดยาก
« ตอบกลับ #35 เมื่อ: กันยายน 08, 2020, 15:35:57 »
ตอบคำถามของคุณ เป็นคำตอบแรกไปแล้ว  ผมขอเพิ่มคำถามที่น่าสนใจด้วยตัวผมเอง พร้อมคำตอบมาตอบไว้ตรงนี้ด้วยเลยนะ

" แล้วถ้าจะให้ รถยนต์ยี่ห้อใหม่ๆ มันเกิดและอยู่รอดในไทยต่อไปได้นานๆ มันต้องทำยังไง ?? "

ไอเดียผมนะ ..

1. อย่างแรกเลย ทุนต้องหนามาก .. ถ้าไม่มาก ทำไปก็รังแต่จะขาดทุน หรือแค่เท่าทุน / เสียเวลาเปล่าครับ

2. เทคโนโลยี่ อย่างน้อยๆ ถึงจะไม่ล้ำหน้ากว่าคู่แข่งส่วนใหญ่ ก็ต้องไม่เป็นรองคนอื่นเค้ามากมาย
    ก็ขนาด GM/Chev ที่ว่าทุนหนามากๆ แล้ว ยังไปไม่รอด เพราะไม่ได้มีเทคโนโลยี่อะไรเลย ที่จะแสดงให้ดูว่า ของๆ เค้า มีดีตรงไหน
    แล้วลูกค้าที่ไหน จะไปซื้อ รถเค้ามาใช้  ?? ??

3. คุณภาพการผลิต ต้องดีมากระดับนึง ไม่ได้ห่วยๆ ไม่ใช่ วันนึงดีมาก แต่วันถัดมาห่วยแตก (สูงสุดกู่ ไปหาต่ำสุด เกิดขึ้นให้เห็นได้เป็นปกติ XXX )

4. ต้องวิเคราะห์ตลาดให้ขาด .. เห็นทุกอย่างในประเทศนี้แล้ว ต้องสรุปได้ว่า ยังมีตลาดรถยนต์ 4 ล้อส่วนไหนที่ยังมีช่องว่างอยู่
    แล้วช่องว่างในตลาดตรงนั้น เค้าเองก็มีสินค้าที่โดดเด่น คุณสมบัติเหนือคู่แข่งรุ่นอื่นๆ อีกด้วย  เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้ในระยะยาว แล้ว...
    ยี่ห้อนั้นจะมีอนาคตในตัวของเค้าเอง

และจาก 4 ข้อข้างบนนี้ ... ณ ปัจจุบันในไทยที่ผมมองเห็นรถยี่ห้อใหม่ๆ ที่มีอนาคต ... ผมเห็นแค่ 2 ยี่ห้อ คือ Suzuki และ MG ครับ

ไว้คอยติดตามดูละกัน ว่า ในไทย 2 ยี่ห้อนี้ ต่อไปจะเป็นยังไง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 08, 2020, 16:13:33 โดย TCP »

ออฟไลน์ rtong

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,186
    • อีเมล์
Re: รถยี่ห้อใหม่เมืองไทยเกิดยาก
« ตอบกลับ #36 เมื่อ: กันยายน 08, 2020, 17:21:37 »
ไม่ยากหรอก   

สังเกตุดู  ตอนเปิดตัวใหม่ๆกระแสดี   ขายดี  จากนั้นกราฟตัวเลขยอดขายจะดิ่งลง   เพราะการบริการหลังการขายทำตัวเองล้วนๆ
Hyundai  Daewoo Chevrolet  Proton  มาแรกๆคนรุ่นใหม่ซื้อทั้งนั้น
      ตอนนี้กลัวแค่ Ford  Mazda  MG ขอให้บริการหลังการขายดีๆ  ต่อเนื่องยาวนานเท่านั้นเอง   กลัวแต่จะเน้นเอากำไร  ขายอะไหล่แพงๆ  เข้าศูนย์แพง   สุดท้ายลูกค้าเข็ดไม่กล้าซื้อซ้ำ  ตัวเลือกในตลาดจะหายไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 08, 2020, 17:24:03 โดย rtong »

ออฟไลน์ Odd_yim

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 439
    • อีเมล์
Re: รถยี่ห้อใหม่เมืองไทยเกิดยาก
« ตอบกลับ #37 เมื่อ: กันยายน 08, 2020, 20:44:05 »
มีกระทู้นึงที่ถามว่า คุณใช้รถเลขไมล์เยอะที่สุดเท่าไหร่ ที่เห็นเกิน สามแสนโล ก็จะมีแต่ยี่ห้อตามรายชื่อ จขกท ทั้งนั้นเลยครับ ฉะนั้น ยี่ห้อใหม่ ๆ ที่จะเกิดต้องท่องไว้เลยว่า "ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์รถ" จึงจะเกิดได้ครับ

แต่ผมเชื่อว่า เมื่อถึงยุค EV แล้ว แบรนด์ จะเกิดขึ้นมากมาย อาจจะไม่มีเจ้าไหนได้ครองตลาดแบบนี้ได้นานครับ