1. ยี่ห้อตลาด ขอราคาใกล้เคียงรถยนต์สันดาปในปัจจุบัน คือ c segment ราคาประมาณ 1-1.3 ล้าน, D segment 1.5.1.8 ล้าน SUV ไม่เกิน 2 ล้าน
== ถ้าเทียบเท่าสันดาปเลย น่าจะอีก 10 ปี อีกอย่างเจ้าตลาดไม่ค่อยเน้นรถไฟฟ้า คงอีกนาน
2. charge เร็วได้ เข้า chargeที่ปั๊มแล้ว ใช้เวลาไม่เกิน 20-30 นาที วิ่งได้ 200-300 km
== อันนี้สำคัญมาก ต้องรอระบบไฟประเทศไทยพัฒนากว่านี้ ถ้ามีสถานีชาร์จความเร็วสัก 300 kwh คงเติมเร็วพอๆกับน้ำมัน
3. ปั๊มที่ charge ไฟได้มีจำนวนสักครึ่งของปั๊มปัจจะบัน
== ผมมองว่าไม่จำเป็น เพราะเราชาร์จที่บ้านได้ ขอแค่มีทุก 100 km และไฟแรง 200 kwh+ ก็พอ
4. charge เต็ม วิ่งได้ ประมาณ 700-800 kmอย่างน้อย
== ข้อนี้ผมว่ามันมีข้อเสียในตัว คือน้ำหนักจะเยอะ ค่าเปลี่ยนแบตจะแพง และเสียเวลาชาร์จนาน ผมว่าเอาสัก 400 km ต่อถังก็พอ แต่สำคัญที่สุดคือความแรงในการชาร์จ
5. แบต ใข้ได้ยาวๆ ไม่ต่ำกว่า 10 ปี
== ใช้ได้เกิน 10 ปีแน่นอน แตแบตคงเสื่อมไประดับนึง
6. ความแรง driving dynamic เท่าหรือดีกว่าเครื่องยนต์ในปัจจุบัน
== ปัจจุบันนี้ ดีกว่ารถน้ำมันในราคาเท่ากัน คุณเห็น volvo xc40 EV มั้ย 0-100 4 วิกว่าๆนะ ราคา 2.5M เอง
7. ค่า maintenance ไม่โหดเกินไป
== ถูกกว่าน้ำมันเยอะ
ผมว่าจุดสำคัญของรถไฟฟ้าก็คือความแรงในการชาร์จมากกว่าปริมาณแบตเตอรี่
เอาแบตสัก 80kwh พอ แต่สถานีชาร์จต้องแรงระดับ 300 kwh และรถชาร์จได้ด้วย
อัตรากินไฟ 0.2 kwh/km คุณวิ่งไป 300 km แบตจะเหลือ 20% ประมาณ คุณต้องอยากพักรถบ้างแล้ว
แวะชาร์จ หัวชาร์จ แรงเฉลี่ย 300 kwh คุณชาร์จ 10 นาที ได้ไฟมา 50 kwh ก็วิ่งได้อีก 250 km
พอถึงที่หมาย คุณนอนหลับ ก็ชาร์จ AC ชิวๆไป เช้าเต็ม