ให้ข้อมูลคร่าว ๆ ครับ
1. ตอนนี้อัตราแลกเปลี่ยน 100 เยน เท่ากับ 26 บาท (โดยประมาณ) ดังนั้น เวลาเห็นสินค้าราคาเยน ให้คูณ 0.26 ก็จะเป็นบาทไทย
2. ราคาในญี่ปุ่น มักจะยังไม่รวม VAT ซึ่งคิด 10% (ของไทยคิด 7%) ใครถูก ใครแพง ลองคิดดู
3. ค่าแรงญี่ปุ่น ถ้างานพาร์ทไทม์ ชั่วโมงละ 800-1000 เยน, ปริญญาตรี งานประจำ เริ่มต้นประมาณ 180,000 - 200,000 เยน
ด้วยอัตราเงินเฟ้อในญี่ปุ่นต่ำจนถึงติดลบ ในแต่ละปี เงินเดือนขึ้นแค่หลักร้อย ถึง พันเยน เรียกได้ว่าเงินเดือนแทบไม่ขึ้น ถ้าไม่เก่งจน
ได้โปรโมทเลือนตำแหน่ง
ส่วนงานพาร์ทไทม่ เท่าที่สังเกต ร้านสะดวกซื้อ ขนาด เท่าๆ กับบ้านเราจะมีพนักงาน 3-4 คน แต่ที่ญี่ปุ่นใช้คน 1-2 คน
4. ภาษีที่ต้องจ่าย
4.1 ภาษีเงินได้ มีอัตราก้าวหน้า พอ ๆ กับบ้านเรา จ่ายเข้ารัฐบาลกลาง
4.2 ภาษีท้องถิ่น มีอัตราสูงกว่าภาษีเงินได้หน่อย ๆ จ่ายเข้าเมืองที่เราอยู่ ตามทะเบียนบ้าน (ภาษีนี้ที่ไทยไม่มี คนไทยไม่ได้จ่าย)
4.3 เงินส่งประกันสุขภาพ ต้องทำประกัน เพื่อเจ็บป่วยไปโรงพยาบาล เราจะจ่ายแค่ 30% และเอาใบสั่งยาแพทย์ไปซื้อยาเอง
ยังต้องจ่ายค่าหมอ แม้ว่าจะส่งเงินประกันสุขภาพแล้ว ซึ่งถ้าไม่มีประกันแล้วต้องจ่ายเอง 100% จะไหวไหม (ในขณะที่ไทย
ใช้ประกันสังคม หรือบัตรทอง ลองคิดดู)
4.4 เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ อันนี้เก็บเป็นเงินบำนาญเหมือนบ้านเรา
ทั้งหมด 4.1 - 4.4 คิดรวม ๆ แล้ว เงินเดือนจะหายไปประมาณ 25%
5. ค่าเช่าห้อง 20-25 ตรม. ประมาณ 4-5 หมื่นเยนต่อเดือน น้ำ ไฟ จ่ายต่างหาก ถ้ามีทีวี ต้องจ่ายให้ NHK อีก
6. รถ ราคาประมาณ 1.5 ล้านเยน สำหรับพวก City, Yaris
7. แต่ก่อนจะซื้อรถ ต้องมีที่จอดก่อน โดยที่จอดนั้นต้องมีหลักฐานเป็นโฉนด แปลนที่จอดที่แสดงตำแหน่ง ความกว้าง x ยาว ที่จอด
8. จะซื้อรถอะไร ขนาดรถ กว้าง ยาว เท่าไหร่ ต้องไม่เกินที่จอดรถ และจะลักไก่เอาที่จอดซ้ำกันคันอื่นที่ลงทะเบียนจอดตรงนั้นแล้วไม่ได้
และต้องเอา โฉนด ไปยื่นขอใบรับรองที่เขต หรือ สถานีตำรวจ อันนี้ไม่แน่ใจ เพราะดีลเลอร์ดำเนินการให้ ดังนั้น การได้มาของโฉนด
หรือ ใบเจ้าของที่รับรอง คือ ต้องมีบ้านที่มีที่จอดรถของตนเอง หรือสัญญาเช่าระยะยาวเพื่อทางเจ้าของที่จะเซ็นต์ยินยอมให้จอด
9. ตัวรถเอง ต้องจ่ายภาษีป้ายทุกปี ซึ่ง ภาษีนี้ ราคาตามขนาดรถ และราคาเท่ากันทุกปี ไม่มีแพงขึ้นอย่างที่ชอบพูดกันว่าภาษ๊รถยิ่งเก่ายิ่งแพง
10. แต่ปีที่ 3 ขึ้นปีที่ 4 และหลังจากนั้นทุก ๆ 2 ปี ก่อนที่จะยื่นต่อภาษี จะต้องตรวจสภาพรถก่อน ซึ่งเหมือน ตรอ บ้านเรา
11. ค่าตรวจรถ มีอัตราหลัก xx หมื่นเยน ไม่แพงมากนัก และเท่า ๆ กันในทุกปีที่ตรวจ ไม่ได้แพงขึ้นตามความเก่าของรถ
12. แต่การส่งรถเข้าตรวจเพื่อต่อภาษี นั่นแปลว่า เจ้าของรถต้องการต่อทะเบียน ดังนั้นจึงเท่ากับสั่งให้ทางอู่ตรวจรถทำการปรับสภาพรถในรายการ
ที่ไม่ผ่านการตรวจ ให้สามารถเข้าเกณฑ์ต่อภาษีได้ ตรงนี้สำคัญ ดังนั้น รถยิ่งเก่า ยิ่งสภาพไม่ดี จะมีจุดที่ไม่ผ่านเยอะ และต้องซ่อม
ต้องเปลี่ยนอะไหล่เยอะ ค่าใช้จ่ายก็จะสูง จะแพงขค้น จึงเป็นที่มาที่ว่า ยิ่งเก่ายิ่งแพง
13. ตรวจสภาพรถที่ญี่ปุ่นจะคล้ายบ้านเรา แต่หัวข้อเยอะกว่า และลงลึกว่า เช่น มลพิษ การทำงานของเบรค (จะดูลึกไปถึงความหนาผ้าเบรค)
ไฟส่องสว่าง (ติดครบ, แสงสว่างได้, เลนส์ไม่ร้าว) การสึกหรอของยาง, การเก็บไฟแบต, บลา ๆ ๆ ๆ โดยรวม ๆ จะกินไปเกินกว่า
หลักแสนเยน
14. ทำประกันภาคบังคับและภาคสมัครใจ
ก็ประมาณนี้ครับ
สิ่งที่ผมอยากชี้ให้เห็นคือ ข้อเท็จจริง กับสิ่งที่สื่อไทยพยายามสร้างภาพบิดเบือนความคิดคน
หรือถ้าจะให้ชัดคือ เราจะเห็นตัวเลขรายได้ของคนญี่ปุ่นที่ดูสูง แต่สื่อไม่เคยพูดเรื่องภาษีเงินได้ที่ต้องจ่าย
ในขณะที่ราคารถที่นั่นถุก แต่ก็ไม่ได้พูดถึงค่าใช้จ่ายในการครอบครองรถ
เอาล่ะ pain point ของคนไทยในการมีรถคือภาษีสรรพสามิตที่ทำให้รถแพง
ที่ญี่ปุ่นไม่ต้องเก็บภาษีสรรพสามิตที่รถยนต์ก็ได้ ในเมื่อเขาเก็บภาษีบุคคลไปเยอะแล้ว
pain point ของคนทั้ง 2 ประเทศอยู่ที่ภาษีทั้งคู่ แต่ตัวภาษีที่ตกอยู่กับบุคคลมันคนละตัวกัน
ถ้าคิดแบบง่าย ๆ คือ กรณีของคนญี่ปุ่น ถึงไม่ได้ซื้อรถก็จ่ายภาษีกันอ่วม
ในขณะที่คนไทย ถ้าไม่ได้ซื้อรถก็ไม่ต้องจ่ายภาษีก้อนใหญ่เลย
คนไทย 60++ ล้านคน ยื่น ภงด แค่ 10 ล้านคน และจ่ายจริงแค่ 4 ล้านคนเองนะ
ถามว่าแล้วอีก 50 กว่าล้านคนไปไหน ทั้ง ๆ ที่เขาก็ร่วมด้วยช่วยกันใช้สาธารณูปโภคส่วนกลางของประเทศนี้
ถ้าเขาไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ ไม่ต้องจ่ายภาษีสรรพสามิตอีก กับ VAT แค่ 7% และไม่ได้เก็บกับสินค้าครบทุกหมวดหมู่
แล้วคนแค่ 4 ล้านคนที่จ่าย ภงด จะแบกไหวไหมครับ
เขียนมาดีครับ แต่ดันมาลงเอยเหยียดตอนท้าย แล้วเหยียดแบบผิดๆด้วย
Vat แค่ 7% เนี่ย ในปีงบประมาณ 65 คือ 9.3 แสนล้านบาท
ภาษีเงินได้บุคคล คือ 3.68 แสนล้าน
ในขณะที่ภาษีจากสรรพสามิตรถยนต์ คือ 0.97 แสนล้านบาท
คนจนไม่ได้ซื้อรถ แต่ซื้อมอเตอร์ไซค์ (ซึ่งอัตราการครอบครองมิเตอร์ไซค์ คือ 87% ของครัวเรือนในปี 62) ซึ่งมอเตอร์ไซค์ต้องเติมน้ำมัน
ซึ่งสรรพสามิตน้ำมัน ในปีงบประมาณ 65 คือ 1.67 แสนล้าน
นี่ละครับ คือคำตอบว่าแล้วอีก 50 ล้านคนไปไหน อย่าไปทึกทักเอาเองว่ามีแต่คนจ่ายภาษีเงินได้ที่ต้องแบกภาษีอยู่กลุ่มเดียว
คนที่จ่าย ภ.ง.ด.แล้วไม่ต้องจ่าย VAT ไม่ต้องจ่ายสรพพสามิต ไม่ต้องจ่ายภาษีน้ำมันรึไง?
สุดท้ายแล้วคนที่จ่าย ภ.ง.ด.ก็จ่ายภาษีทั้งหมดมากกว่าอยู่ดี
ถ้าคิดว่า 4 ล้านคนนี้ไม่แบก ก็ช่วยมาเข้าระบบแล้วจ่ายภาษีเงินได้หน่อยสิครับ
พวกภาษีสรรพสามิต พวก VAT มันจะได้ลดลงไง
คิดแบบ simple เลยว่า ถ้าคนไทยทุกคนที่มีเงินได้ จ่ายภาษีเงินได้รวมๆ กันเป็น
3.68 + 0.97 + 1.67 แสนล้าน เราก็ไม่ต้องมีภาษีสรรพสามิตรถยนต์
ไม่ต้องมีภาษีสรรพสามิตน้ำมัน เราก็ได้ซื้อรถถูก น้ำมันถูกไงครับ
ปล. อันนี้มองเฉพาะในแง่ของเม็ดเงินภาษีที่จะเอามาใช้จ่ายส่วนกลางเท่านั้นนะครับ
ไม่นับรวมหน้าที่ของภาษีสรรพสามิตที่จะทีจะทำหน้าที่ในการควบคุมพฤติกรรมการบริโภค
ของประชาชน
ิอ้อ แล้วที่ว่า VAT แค่ 7% เนี่ย ในบริบทของกระทู้นี้กำลังเทียบกับญี่ปุ่นที่ VAT 10%
แต่ไม่เก็บสรรพสามิตรถยนต์ ซึ่งถ้าจะให้เราเป็นแบบญี่ปุ่น นั่นคืออัด VAT เพิ่มให้ได้เม็ดเงิน
0.97 แสนล้านมาแทนสรรพสามิตรถยนต์ ทำให้รถยนต์ถูกลงจริง แต่ชาวบ้านที่ไม่ได้ต้องการรถยนต์
ก็จะจ่ายค่าเครื่องอุปโภคแพงขึ้นแทน มันควรรึเปล่าล่ะครับ