31 มกราคม 2567 ไทยขาดดุลการค้าจีน 1.2 ล้านล้าน ทุบสถิติ ส.อ.ท.ชี้ แพ็กเกจอีวี 3.0 เป็นเหตุทำยอดนำเข้ารถอีวีพุ่ง 400% เกือบแสนล้าน มองโอกาสขาดดุลจากการนำเข้าอีวีต่อเนื่องถึงปี68 สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย แนะไทยควรชำแหละตรวจเข้มสินค้านำเข้า วางยุทธศาสตร์ดึงทุนจีนเข้ามาผลิตแทนการนำเข้า เพิ่มตัวเลข FDI พร้อมกำหนดเงื่อนไขใช้วัตถุดิบ-แรงงานไทย ด้านสมาคมผู้ประกอบการอิเล็กทรอนิกส์ไทย ชี้โควิดเป็นเหตุอีคอมเมิร์ชบูม สินค้าจีนราคาถูก ท่วมแพลตฟอร์มออนไลน์ แถมเปิดช่อง คนขายจีน ทะลักเข้ามาด้วยผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาพการค้าไทย-จีนในปี 2566 ที่มีมูลค่ากว่า 3.64 ล้านล้านบาท โดยไทยส่งออก 1.17 ล้านล้านบาท และนำเข้าสินค้าจากจีน 2.47 ล้านล้านบาท ทำให้ไทยขาดดุลการค้าให้จีน 1.2 ล้านล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์
ทั้งนี้ เมื่อเจาะลึกลงไปในกลุ่มสินค้านำเข้าในปี 2566 ที่มีการเติบโตมากที่สุด ประกอบด้วย รถยนต์และส่วนประกอบ มูลค่า 91,289 ล้านบาท เติบโต 472% อันดับสอง คือ เสื้อผ้าสำเร็จรูป มูลค่า 22,963 ล้านบาท เติบโต 17.86% ตามมาด้วย สินค้าไดโอด ทรานซิสเตอร์ และอุปกรณ์กึ่งตัวนำ มูลค่า 64,229 ล้านบาท เติบโต 15.20% เครื่องใช้เบ็ดเตล็ด 42,210 ล้านบาท เติบโต 7.09% ผักและผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผลไม้ 45,514 ล้านบาท เติบโต 5.2% และสินค้าเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ มูลค่า 229,329 ล้านบาท เติบโต 1%
นอกจากการค้าระหว่างประเทศผ่านระบบศุลกากรทางตรง แล้วยังมีการค้าขายผ่านระบบออนไลน์อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน และการค้าผ่านแดนจากประเทศหนึ่งไปยังประเทศจีน ซึ่งตัวเลขการค้าทุกช่องทางเพิ่มขึ้น แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ตัวเลขการค้าข้ามพรมแดนไทย-จีน ปี 2566 รวม 423,116 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% ไทยส่งออก 213,815 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% นำเข้า 209,302 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% โดยไทยได้ดุลการค้า 4,513 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากการส่งออกสินค้าเป็นคนละกลุ่ม กับการค้าขายผ่านระบบการค้าระหว่างประเทศทางตรง โดยสินค้าการส่งออกผ่านแดนของไทยไปจีนที่มีมูลค่าสูง ได้แก่ ทุเรียน ฮาร์ดิสก์ไดรฟ์ และไม้แปรรูป
รถอีวีนำเข้าพุ่งนายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผย ประชาชาติธุรกิจ ว่า ยอดนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเป็นรถยนต์นั่ง เป็นผลจากมาตรการอีวี 3.0 ที่ค่ายรถต้องนำเข้ารถสำเร็จรูปจากจีน มาจำหน่ายก่อนที่จะมาตั้งโรงงานในประเทศไทย โดยสะท้อนจากตัวเลขจดทะเบียนอีวีโตพุ่ง จากปี 2565 แค่ 9,500 คัน ปี 2566 ยอดจดทะเบียนอยู่ที่ 75,690 คัน ซึ่งตัวเลขที่จดทะเบียนจะน้อยกว่าตัวเลขนำเข้าจริง เพราะยังมีบางส่วนที่เป็นสต๊อกหรืออยู่ระหว่างการซื้อขาย แต่ยังไม่ได้จดทะเบียน
สำหรับค่ายที่มียอดซื้อที่ต้องนำเข้าสูงสุดมีหลายแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น BYD, MG, ORA, NETA หรือแม้แต่ TESLA ซึ่งก็มีโรงงานผลิตที่จีนด้วย
แนวโน้มการนำเข้ารถอีวีจะยังมีต่อเนื่อง 4 ปี (ปี 2565-2568) เพราะยังมีมาตรการแพ็กเกจอีวี 3.5 อีก ต้องนำเข้ารถยนต์อีวีมาก่อนในปี 2567-2568 ก่อนที่จะเริ่มการผลิตโรงงานในประเทศไทยในปี 2569-2570 จึงจะได้รับเงินอุดหนุนการซื้อรถ 50,000-100,000 บาท โดยปัจจุบันจีนส่งออกทั้งรถยนต์สันดาปและรถยนต์ไฟฟ้า แซงญี่ปุ่นขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งของโลกแล้ว
นอกจากตัวเลขนำเข้ารถอีวีแล้ว ยังมีตัวเลขเครื่องจักรกลชิ้นส่วนอะไหล่ที่จะเพิ่มขึ้นในปีนี้ เพราะจะต้องเริ่มผลิตสำหรับโรงงานที่ใช้สิทธิจากมาตรการอีวี 3.0 และต้องมีการนำเข้าชิ้นส่วนมาผลิตด้วย รวมถึงที่จะมาตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ ซึ่งก็ต้องนำเข้าชิ้นส่วนสำคัญ ๆ เข้ามา ทั้งนี้ขึ้นกับซัพพลายเชนของแต่ละยี่ห้อ
การแก้ปัญหาการขาดดุลการค้านั้นมองว่า ในแง่การนำเข้าเพิ่มมาก แล้วเม็ดเงินลงทุนเอาเข้ามาเท่าไร ต้องมาเทียบยอดเงินนำเข้ารถอีวี และยอดเงินที่เอามาตั้งโรงงานผลิตรถอีวี รวมถึงชิ้นส่วนต่าง ๆ ว่ารายหนึ่งนำเม็ดเงินมาหลายหมื่นล้าน เทียบกับมูลค่าการนำเข้ารถยนต์ 3 หมื่นกว่าล้านเหรียญสหรัฐ คุ้มค่าหรือไม่
https://www.prachachat.net/motoring/news-1491265