สเปครถ EV ที่เราต้องการ จริงๆเราอยากได้แบบไหนกัน (กระทู้ชวนคุย)

apinui

ช่วงนี้เราก็เห็นข่าวรถ EV ลดราคากันรัวๆ จนทำให้รู้สึกว่ามันน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ

แต่พอมานั่งดูสเปคแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อที่ต่างกัน ทำให้เกิดประเด็นว่า "รถไฟฟ้าจริงๆ มันควรแรงระดับ 300-500ม้าไหม ไอ้ 0-100 4-6 วินี่มันจำเป็นหรือเปล่า" 

ผมจึงมานั่งคิดคนเดียวว่า ถ้าจะซื้อรถ EV สักคัน สเปคแบบไหนที่ "โดนใจเราที่สุด" แบบ เห็นแล้วต้องซื้อประมาณนี้

ผมจึงมาชวนคุยและลองแลกเปลี่ยนสเปคในใจของแต่ละคนกันดูไหมครับว่า รถ EV เนี่ย ถ้าให้เราเป็นคนออกแบบใช้งานเองเราจะให้มีสเปคแบบใดกัน

-ส่วนตัวผมคือต้องการ EV ที่มีแรงม้าแค่ 200-250 แรงม้าพอไม่เกินนี้ เป็นมอเตอร์แบบขับเคลื่อนล้อหลัง ความเร็วสูงสุดที่ทำได้ ที่180-200 กม/ชม. อัตราเร่ง 0-100 เอาแค่ 8-9 วิ  เน้นประหยัดไฟ ระยะทางวิ่งแบบใช้งานจริง ได้ 250-300 กิโลเมตรต่อการชาจน์ แบ็ตไม่ต้องใหญ่ เพื่อจะได้ไม่ต้องแบกน้ำหนักเยอะ

-ส่วนตัวบอดี้ ขอเป็นแบบ 5 ประตู สไตร์เก็ง ตัวรถไม่ต้องใหญ่ ขอขนาดแค่ C segmect  เน้นการควบคุม และการขับขี่   

-ส่วน option ขอไม่น้อยหน้ารถญี่ปุ่นแบรนด์รองในตอนนี้ ไม่ต้องล้ำมาก เอาใช้งานได้จริง วัสดุก็ขอกลางๆไม่ต้องหรูมาก แต่ก็อย่ากากแบบบางยี่ห้อก็พอ

-ราคาขายขอราคาเท่า C segment นี่แหละ แต่ขอรับประกันยาวๆ ให้เหมาะกับการเป็นรถที่ใช้แล้วทิ้ง ไม่คิดขายต่อ ให้มั่นใจและรู้สึกคุ้มค่าที่ได้ใช้งาน

เพื่อนๆละครับ รถ EV ที่เราอยากได้เป็นแบบไหนกัน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 24, 2024, 19:37:46 โดย apinui »



berzerk

ความเสถียรของการใช้งาน แบตไม่วูบ
ปุ่มปรับที่ไม่อยู่บนหน้าจอ
ระยะเวลาชาร์จแบตที่ต้องประมาณ 20 นาทีแล้ววิ่งได้ไกลซัก 400 km.
ขอเป็นมอเตอร์​ 2 ตัวหน้าหลัง

ที่เหลือเป็นเรื่องบริการหลังการขายให้เหมือนแบรนด์​ญี่ปุ่นเจ้าดัง



Ty ESC

ev ที่อยากได้

1. นั่งได้5 คน ผู้ใหญ่ สบายๆ ขนาดประมาณ cx8/subaru outback
2. suv ยกสูง แค่เอาหนีน้ำกทม ไม่ต้องขนาดเข้าป่า
3. 0-100 6-8 วิ จะหลึด9 วิก็ได้ แต่อย่าเปลืองยางนัก ล้อ17/18 ก็พอ ระยะวิ่ง400-500พอ
4. ความปลอดภัยดี การประกอบดี ไม่จุกจิก ช่วงล่างขับ160 แบบไม่เสียวไม่เสี่ยงตาย ขอสักvolvo ไม่ต้องระดับ BMW BENZ
5. ชารจไม่ค้องระดับ2c เอาแค่1 ชมก็ได้ไม่รีบ แต่เอาที่มันไม่จุดจิกไม่รวน ไม่เจอเต่า แอรไม่พัง
6. ขอไม่เอา หลังคากระจกได้มั้ย ร้อนไม่ชอบ
7 ราคา ไม่เกิน2 ล้าน



wesborland

ระยะทาง 600km++
ชาร์จเร็ว(0-80%)ไม่เกิน  30นาที DC
น้ำหนักรถไม่เกินรถ ICE หรือเกินกันไม่เกิน 200kg.

รับประกันแบต 10ปี แต่ครบปีที่ 8-10 ไม่ว่าแบตจะสภาพไหนก็เปลี่ยนให้ฟรี หรือจ่ายเพิ่มไม่เกิน 20,000บาท
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ราคาแบต-อินเวอร์เตอร์-มอเตอร์ ทั้งหมดต้องไม่เกิน 400,000บาท ผมคิดว่าร้ายแรงสุดของเครื่องยนต์-เกียร์-เพลาขับ-ถังและปั๊มน้ำมัน ของรถ ICE ก็คงราคานี้



a601970

ขอข้อเดียวครับ
ชาร์จเต็มแล้ววิ่งได้จริงอย่างน้อย 1000 โล
อย่างอื่นไม่สน



เต๋า AV

หัวใจหลักรถไฟฟ้า BEV มันคือแบตเตอรี่
ควรรับประกันแบตเตอรี่ และ อินเวอร์เตอร์ 10 ปี เป็นอย่างน้อย
เสีย/มีปัญหา เปลี่ยนฟรีทันที ทุกกรณี ไม่ต้องรอสำนักงานใหญ่



OXYGEN2

ตอนนี้ตอบโจทย์ผมแล้ว พึงพอใจครับ ผมใช้ Model Y ทั้งตัว Performace และ RWD

- ผมใช้งานในกรุงเทพ วันนึง 10 กว่ากิโล ถ้าวันไหนไปกินข้าวก็ใช้วันนึง 40-50 กิโล พึงพอใจความเงียบมาก
- ชาร์จบ้านทุกวัน
- อัตราเร่งดีมาก ตัว Performance ผมไม่กล้าเร่งเร็วมาก กลัว
- กลับบ้านต่างจังหวัด ระยะทาง 230 กิโล ถ้าขับแบบคนทั่วไป ไม่ต้องแวะชาร์จข้างนอก

เมื่อก่อนอาจจะไม่เปิดใจให้ EV เพราะ เข้าบอร์ดกลุ่มรถ เจอข้อมูลหลากหลายทำให้กลัวรถ Hybrid แต่พอรีบใช้รถ ต้องหารถที่ถูกที่สุด รุ่นดีเซลแพงไป ตัวที่ถูกที่สุดเป็น PHEV ก็เลยต้องซื้อ ตอนใช้งานได้ลองใช้งานในโหมด EV วิ่งไฟฟ้าล้วน ผมประทับใจในความเงีบบ พอมี BEV จีน Ora Goodcat มาขายผมก็ซื้อ 1 แล้ว Tesla มาขายไทยผมก็ซื้อเพิ่มครับ

สิ่งที่ต้องการมากๆ เลย คือ อะไหล่ตัวถัง สต๊อกเยอะๆ หน่อย Tesla ผมรอกันชนจอดซ่อมเข้าเดือนที่ 3 แล้ว ส่วนอีกคันของแฟนก็รอคิวเข้าซ่อม รอเป็นเดือนแล้วครับ
2021 - BMW 530e
2023 - Tesla Model Y Performance
2023 - Tesla Model Y RWD

My website~ :) ;) :D 8)



sk-non

ตอนนี้พอใจแล้วครับ
รอเปลี่ยนรุ่นใหม่ๆไปตามเทคโนโลยี



เนื้อน่องไม่หนัง

ส่วนตัวอยากได้รถที่ไม่ต้องแรงมาก เอาสัก 0-100 9-10s พอแล้ว top speed 140-150
แต่เข้าใจว่า การอัฟเกรดมอเตอร์ให้แรงขึ้น น่าจะใช้งบประมาณไม่สูง แล้วเอาตัวเลข อัตราเร่งที่ได้แบบเว่อๆมาทำ marketing ดีกว่า

Range อยากให้ระยะทางที่วิ่งได้มันยาวขึ้น แต่ก็จะต้องใช้แบตที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ค่าตัวรถแพงขึ้นตาม อาจเป็นชาร์จได้เร็วขึ้นแทน

ช่วงล่างอยากให้เทสที่ไทยก่อนออกขายจริงบ้าง อย่าง DolphinExt/Atto3 ให้ความรู้สึกว่าช่วงล่างมันเอาไม่อยุ่ โยนๆแปลกๆ

Options // Self Driving ควรจะเป็น package เสริม   พวก option ฉาบฉวย หลังคากระจก ผมคิดว่าแยกรุ่นไปได้ก็ดีครับ




solo

ตอนนี้ตอบโจทย์ผมแล้ว พึงพอใจครับ ผมใช้ Model Y ทั้งตัว Performace และ RWD

- ผมใช้งานในกรุงเทพ วันนึง 10 กว่ากิโล ถ้าวันไหนไปกินข้าวก็ใช้วันนึง 40-50 กิโล พึงพอใจความเงียบมาก
- ชาร์จบ้านทุกวัน
- อัตราเร่งดีมาก ตัว Performance ผมไม่กล้าเร่งเร็วมาก กลัว
- กลับบ้านต่างจังหวัด ระยะทาง 230 กิโล ถ้าขับแบบคนทั่วไป ไม่ต้องแวะชาร์จข้างนอก

เมื่อก่อนอาจจะไม่เปิดใจให้ EV เพราะ เข้าบอร์ดกลุ่มรถ เจอข้อมูลหลากหลายทำให้กลัวรถ Hybrid แต่พอรีบใช้รถ ต้องหารถที่ถูกที่สุด รุ่นดีเซลแพงไป ตัวที่ถูกที่สุดเป็น PHEV ก็เลยต้องซื้อ ตอนใช้งานได้ลองใช้งานในโหมด EV วิ่งไฟฟ้าล้วน ผมประทับใจในความเงีบบ พอมี BEV จีน Ora Goodcat มาขายผมก็ซื้อ 1 แล้ว Tesla มาขายไทยผมก็ซื้อเพิ่มครับ

สิ่งที่ต้องการมากๆ เลย คือ อะไหล่ตัวถัง สต๊อกเยอะๆ หน่อย Tesla ผมรอกันชนจอดซ่อมเข้าเดือนที่ 3 แล้ว ส่วนอีกคันของแฟนก็รอคิวเข้าซ่อม รอเป็นเดือนแล้วครับ
Dolphin กันชนผมรอตั้งแต่ปลายปีที่แล้วยังไม่ได้เลยครับ
เพราะฉะนั้น Spec อะไรๆไร้ความหมายหมดถ้าไม่มีสต็อคอะไหล่



iKrit

ทดแทนรถน้ำมันได้
ชาร์จหนึ่งครั้งวิ่งได้ 800+ km
ใช้เวลา quick change จนเต็มภายใน 5-10 นาที
แบตเปลี่ยนแยกเป็นโมดูลได้ ไม่ต้องทั้งชุด
อะไหล่ราคาไม่แรง
Max speed 180-200
อัตราเร่ง 0-100 ภายใน 10 วิ
การใช้งานพื้นฐาน ไม่ต้องฟรุ้งฟริ้งรวมทุกอย่างในจอ
มี acc with stop & go ไฟเตือน blind spot กับเตือนการชนด้านหน้าแบบไม่ต้องหยุดอัตโนมัติ
กระจกหลังตัดแสงอัตโนมัติ เพราะเดี๋ยวนี้ไฟแยงตากันเหลือเกิน
ความสูงใต้ท้องรถอย่างน้อยสุด 160mm เพราะน้อยกว่านั้นครูดเนินง่ายละ
"การไม่มีดราม่าเป็นลาภอันประเสริฐ"
แต่มนุษย์มาม่าบางคนก็ชอบเปิดประเด็นทุกที เอ้อ...แปลก



Fragile

ขอแบตซ่อมได้ไม่ต้องเปลี่ยนทั้งอันอย่างเดียวพอครับ



pim_cute

ข้อดีของรถ ev คือการใช้พลังงานมันมี efficiency มากกว่าสันดาบมาก แล้วก็สะอาดกว่า แรงกว่า
ข้อด้อยมีเพียงจุดเดียวเลย และเป็นปัญหาใหญ่ด้วย คือชาร์จนาน มันทำให้คุณสูญเสียทรัพยากรที่มีค่าอย่างเวลาไป ถ้าแก้ตรงนี้ได้ ก็ disrupt สันดาบได้(ถ้ารายได้คุณสูง เวลาจะมีค่ากับคุณมาก คุณจะมานั่งคิดว่า เวลาที่เสียไปคุณสามารถทำเงินได้เท่าไร แล้วมันไม่คุ้มหรอก)
เรื่องราคารถ ราคาแบตผมเฉยๆ asset ที่มีค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย ยังไงค่าใช้จ่ายมันสูงอยู่แล้ว สูงมากสูงน้อยไม่สำคัญสำหรับผม

ส่วนตัวรถนั้น จะเป็นแบบไหน ผมว่าไม่ต่างกัน แล้วแต่ว่าชาติไหนออกแบบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 25, 2024, 10:59:52 โดย pim_cute »



Tien.W

1. แบตเตอร์รี่ ชาร์จเต็ม วิ่งจนแบตเหลือ 20% ให้ได้ระยะทางสัก 400 - 450 กม.
2. ชาร์จกลับ ถึง 80% ภายใน 20 - 30 นาที
3. ขนาดตัวรถไม่เกิน C-Segment
4. แรงม้า 150 - 200
5. ตัวรถสเถียร ไม่จุกจิก ไม่งอแง
6. option ไม่สน เอาแค่เพียงพอต่อการใช้งาน
7. ศูนย์บริการ และ อะไหล่พร้อม



samaklen

น้ำหนักรถไม่เกิน 1.1 ตัน ถ้าเบากว่านั้นจะดีมาก
แรงม้าระหว่าง 100-125
ระยะทางช่วง 400-500
ลูกเล่นไม่เอา ขอระบบพื้นฐานดีพอ (เบรค กันสะเทือน)
สั่งการด้วยระบบอนาล็อก หน้าจอไม่เอา
มีผังการทำงานมาให้ พร้อมอุปกรณ์ดูแลระบบพื้นฐาน
ขอแค่นี้ ควรจะราคาดี และเป็นรถคันแรกได้




helloweentz

ณ ตอนนี้ รถ EV เหมาะใช้ในเมือง รถติดๆ

ราคาไม่เกิน 2 แสน

ขนาดรถแบบ VOLT City EV จดทะเบียนได้

แบตเล็กๆ แค่ใช้ในเมืองพอ 200 กิโล

ณ ตอนนี้ เท่าที่หา รถไฟฟ้าขนาดเล็กๆ แบบจดทะเบียนได้ เกิน 2 แสนหมดเลย

ราคามันไปใกล้รถน้ำมันตัวเริ่มต้นเกินไป เพิ่มอีกนิดเดียว ไปน้ำมันดีกว่า

ถ้าทำได้ กรุงเทพ เติมไปด้วยรถไฟฟ้า รถติดไม่เป็นมรพิษ 8)
BRV 2016
Mileage :  173,583
รายการซ่อม :
เกียร์
แอร์
โช๊คหลัง
ลูกยางยึดท่อ
เพลาขับ



pforu

ตอนนี้ตอบโจทย์ผมแล้ว พึงพอใจครับ ผมใช้ Model Y ทั้งตัว Performace และ RWD

- ผมใช้งานในกรุงเทพ วันนึง 10 กว่ากิโล ถ้าวันไหนไปกินข้าวก็ใช้วันนึง 40-50 กิโล พึงพอใจความเงียบมาก
- ชาร์จบ้านทุกวัน
- อัตราเร่งดีมาก ตัว Performance ผมไม่กล้าเร่งเร็วมาก กลัว
- กลับบ้านต่างจังหวัด ระยะทาง 230 กิโล ถ้าขับแบบคนทั่วไป ไม่ต้องแวะชาร์จข้างนอก

เมื่อก่อนอาจจะไม่เปิดใจให้ EV เพราะ เข้าบอร์ดกลุ่มรถ เจอข้อมูลหลากหลายทำให้กลัวรถ Hybrid แต่พอรีบใช้รถ ต้องหารถที่ถูกที่สุด รุ่นดีเซลแพงไป ตัวที่ถูกที่สุดเป็น PHEV ก็เลยต้องซื้อ ตอนใช้งานได้ลองใช้งานในโหมด EV วิ่งไฟฟ้าล้วน ผมประทับใจในความเงีบบ พอมี BEV จีน Ora Goodcat มาขายผมก็ซื้อ 1 แล้ว Tesla มาขายไทยผมก็ซื้อเพิ่มครับ

สิ่งที่ต้องการมากๆ เลย คือ อะไหล่ตัวถัง สต๊อกเยอะๆ หน่อย Tesla ผมรอกันชนจอดซ่อมเข้าเดือนที่ 3 แล้ว ส่วนอีกคันของแฟนก็รอคิวเข้าซ่อม รอเป็นเดือนแล้วครับ
Tesla แพงหน่อยแต่ตอบโจทย์ ใช้จริง ไม่จุกจิก แบตฯไม่ไหลเป็นจุดขายของ Tesla เขาชัดเจนมากเรื่องเทคโนโลยีการจัดการพลังงานที่ทำได้ดี ใช้ได้จริง ที่รถจีน รถยุโรปยังไม่ตอบโจทย์ ส่วนบริการหลังการขายปัจจบันอุ่นใจขึ้นมาก เพราะมีอู่ตัวถังเพิ่ม อีก 2 ราย ถ้าในกลุ่มจะรู้ดี ที่ผ่านมาเหมือน Tesla ไปคบคนผิด ลูกค้าบ่นด่ากันขม จนล่าสุดไม่มีใครเลือกเข้าแล้วสำหรับอู่ที่ Tesla แต่งตั้งเป็นแห่งเดียวแต่แรก หลัง Tesla เปิดศูนย์บริการ 2 แห่ง ล่าสุดเสียงบ่นซ่อมช้า รออะไหล่นาน ดีขึ้นมากจนแทบไม่บ่นกันเลย ส่วนรถ EV จีนดีไซสวย ดูคุ้มค่า แต่ใครที่เงินไม่ใช่ปัญหา Tesla เถอะจบแน่นอน รถ EV หัวใจตือแบตเตอรี่ อย่างยี่ห้อดังที่ว่าผลิคแบคฯเองดีหนักหนา ที่เห็น เห็นหากแบตฯเหลือ 10-20% แบตฯจะวูปวิ่งไม่ถึงสถานีชาร์จกันเลย  ซอฟแวร์ เทคโนโลยีห่างไกล Teslaมาก
Reflection of the Future...



Zephyrs

จริงๆ EV มันคุมเรื่องแรงม้ายากอยู่แล้ว มอเตอร์มันให้เลือกได้ไม่กี่ไซส์เอง มันไม่เหมือนเครื่องยนต์ที่แบบค่ายออกแบบเอง อีนนี้มันไปกางแคตาล็อคมาแล้วก็หยิบเอา เหมือนแบตเตอรี่นั่นแหละ เรื่องนี้เลยทำใจละ ให้ตายยังไงก็คุมเรื่องแรงม้ากันไม่ได้หรอกถ้าฝั่งจีนหรือฝั่งไทยไม่ออกกฎหมายควบคุมไปเลย

จริงๆผมกลับมองว่ารถไฟฟ้าที่เหมาะกับคนไทยโดยรวมจริงๆ คือรถที่สามารถเสียบปลั๊กได้ แต่ก็มีน้ำมันไว้อุ่นใจสักไม่เกิน 5 ลิตรสำหรับปั่นไฟกรณีฉุกเฉินหาที่ชาร์จไม่ได้ ส่วนเวลาวิ่งปกติน้ำมันก็ไม่ต้องทำงานเลย (เอาง่ายๆเหมือนมีเครื่องปั่นไฟติดไว้หลังรถพร้อมกับน้ำมันสัก 5 ลิตร ไว้เสียบชาร์จเวลาไฟหมดจริงๆ)

ส่วนไซส์รถตอบให้ตายยังไงก็ไม่ถูกหรอก บางคนก็พอใจกับ City Car/K-Car วิ่งแค่ในกรุงเทพฯ บางคนเขาต้องวิ่งออกตจว.งี่ก็ต้องการ C-Seg+ บางคนถนนไม่ดีหรือน้ำท่วมบ่อยก็ขอยกสูง ฯลฯ

การออกแบบก็คงไม่ตอบโจทย์ทั้งประเทศอยู่ดี อย่างผมชอบเรียบๆแบบ Dolphin/Seal งี้ เกลียดรถออกแบบแหลมๆเหลี่ยมๆแบบ ดีป่าว มากๆ แต่รู้แค่ภายในรถอีวีเกือบๆ 90% ยังสอบตกอยู่ในเรื่อง Ergonomic ไว้เขาจ้างวิศวกรสักคนที่เรียนวิชานี้มาแล้วค่อยว่ากัน

เรื่องรับประกันกับ Defect คิดว่าคงไปอะไรมากไม่ได้ขนาดนั้นหรอกมั้ง? รถไฟฟ้ามันยุบยับน้อยกว่าน้ำมันหน้าห้องเครื่องจริง แต่อยู่ดีๆมันไม่อยากวิ่งเพราะซอฟต์แวร์อ๊องขึ้นมาก็บ่อยไป
เอาง่ายๆที่สุดคือ อย่ายัดออปชั่นเยอะ ถ้ามันแค่กดปุ่มวิ่งได้แบบรถมอเตอร์เด็กขับได้ยิ่งดี หาเรื่องพังน้อยลงหน่อย + ช่างจะได้ไม่ต้องไปเรียนจบ Com Sci มานั่งวิเคราะห์เขียนโค้ดแก้

ระยะปัจจุบันก็ตามมาตรฐานแล้ว 400-800km ต่อชาร์ต ตรงนี้ทำได้เท่ารถน้ำมันแล้ว อนาคตมันชาร์จไวได้เท่าเติมน้ำมันเมื่อไหร่ก็จบ (800 กิโลเนี่ย วิ่งเหลือ 20% ไม่หาที่ชาร์จก็เรื่องของคนขับละครับ)

หมดละมั้ง?



sk-non

tesla มีจุด super charge ของตัวเอง
ไวสุดแล้ว ตาม ตจว สะดวก
รถ ice ตอนนี้ผมเติมน้ำมันที 1300 วิ่งได้แค่
300 กว่าเอง เรื่องระยะทางเลยไม่กระทบ

เรื่องความแรง บางยี่ห้อ อย่าง goodcat
ปรับ eco นี่อืดเลย ต้องกดคันเร่งหนักๆ ครับ
(ตอนนี้อยากได้ tank300 แบบ ev มาก ไม่รู้จะทำมาขายเมื่อไร)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 25, 2024, 13:07:59 โดย sk-non »



shando

อยากได้แบบที่วิ่งแช่120+แล้วระยะทางที่วิ่งได้ไม่หายไปเกือบครึ่งอะครับ



anuwatku55

รอกระบะ EV ครับ
Toyota mighty-X 2.5 SGL X-TRA CAB
Isuzu D-max 3.0 SLX SPACECAB
Toyota Vigo 3.0 G X-TRA CAB
Isuzu HI-LANDER 3.0 i-TEQ CAB-4  
Isuzu Mu-X 3.0 (DVD Navi)
Honda City 1.5 V i-VTEC
Toyota Hilux Vigo 2.5 E X-TRA CAB
Isuzu Mu-X 3.0 ULTIMATE 2WD
Toyota Hilux Vigo Double Cab 3.0G Auto



Sommer C350e W205

สเปคที่ฉันต้องการ สเปคที่ฉันต้องการ

1) ต้องการ EV แค่มอเตอร์เดียวก็พอแล้ว (และต้องการเป็นมอเตอร์ขับเคลื่อนล้อหน้า) 2 มอเตอร์มันจะกินไฟมากเกินไป แรงม้าควรจะทะลุ 200hp เป็นอย่างน้อย ความเร็วสูงสุดควรแตะ 180km/h ขึ้นไป ก็มันส์แล้ว แบตเตอรี่ควรใหญ่ถึง 60kWh วิ่งจริง 400-500km เพียงพอต่อการเดินทางไกลไปต่างจังหวัด

2) บอดี้รถ ควรเป็น SUV เพราะอะไรรู้มั้ย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คนไทยยังนิยมรถตรวจการณ์แบบ SUV หรือ รถครอบครัว MPV เพราะแม้คุณภาพถนนไทยจะดีขึ้นและมีถนนในไทยเพิ่มขึ้นหลายสาย แต่ถนนบางส่วนยังก่อสร้าง หรือมีหลุมบนถนน รถพวก Sedan และ Coupe จึงไม่เหมาะกับถนนในไทย

3) Option ควรรวมปุ่มกลาง Dashboard ไว้ในจอกลางจอเดียว และต้องการจอหมุนได้ มาตรวัดควรเป็น Digital 100% ควรมีปุ่ม Start/Stop เพื่อการใช้งานที่สะดวกสบาย และขอเสริม ไฟเลี้ยวควรอยู่ในตำแหน่งรถญี่ปุ่นเหมือน Toyota Isuzu Honda

ทั้ง 3 ข้อนี้ คุ้นๆนะ ที่ผมกล่าวมานี้ เป็นรถรุ่นใด?….. ที่ยอดจดทะเบียนรถ EV ในไทย ได้ที่ 1 ในทั้งปี 2023
2016 Mercedes-Benz C350e AMG Dynamic W205



รถย้าย..ย้ายไปไหน

1. แรงม้าไม่ต้องเยอะ สัก 80 - 140 ม้าก็พอแล้ว เนื่องจากความคิดผมรถไฟฟ้าเหมาะกับวิ่งในเมืองเป็นหลัก
2. ระบบ Software เสถียรเนื่องจากรถไฟฟ้าพึ่งพิง Software เกือบ 100%
3. ระบบ Safety ต่างๆในกรณีเกิดเหตุไม่คาดคิด
4. ระบบความปลอดภัยในกรณีรถเกิดอุบัติเหตุ
5. ศูนย์บริการและตัวรถไว้ใจได้ ไม่โดนลอยแพ สืบเนื่องจากข้อ 2
6. แบตเตอรี่ไม่ต้องเยอะ ขอวิ่งได้ 300 - 400 โลพอแล้วเน้นชาร์จไวก็พอ

ที่ผมเป็นห่วงอีกหลายเรื่องที่ไม่มีใครพูดถึงอีกอาทิเช่น
- แบตเตอรี่กระบวนการผลิตเป็นอย่างไร
- การนำแบตเตอรี่มาทำใหม่หรือทำลายทิ้งทำอย่างไร
- ไฟฟ้าที่ได้มาจากโรงไฟฟ้าเมื่อเทียบกับรถยนต์ ณ ปัจจุบันเป็นอย่างไร (เช่นโรงผลิตไฟฟ้า 1 โรงปล่อยมลพิษเทียบเท่ารถยนต์ดีเซลหรือเบนซิน 10 ล้านคัน ** ตัวเลขสมมุติ **)

ซึ่งที่กล่าวมาข้างต้นไม่เห็นมีใครพูดถึงเลย แล้วเราจะมีตัวชี้วัดได้อย่างไรว่าสรุปแล้วตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำรถไฟฟ้านั้นช่วยรักษาโลกเราได้จริงๆ?



axister

model 3 LR ตอบโจทย์ผมแล้วครับทุกอย่าง

ถ้าจะปรับให้ดีขึ้น ให้รองรับการชาร์จไฟแรงกว่านี้ + ปั้มชาร์จให้เพิ่มมากขึ้น เอาแค่แบบ supercharger ก็พอแล้ว แต่มีหลายๆที่

เพราะจากที่เช่า EQS มาใช้พักนึง แบตใหญ่ไร้ประโยชน์สุดๆครับ ชาร์จนาน สุดท้ายผมก็แวะชาร์จตั้งแต่มัน 40-50% เวลาเดินทางไกล ไม่ได้กังวลใดๆแต่แวะฉี่ ซื้อกาแฟ ครับ



jztang

เรื่องหลักสำหรับผมเลย คงเป็นเรื่องแบตเตอรี่

ต้องชาร์จแบต ทดแทนเวลาเติมน้ำมันได้ เติม 5-10นาทีเต็มถัง ชาร์จแบตก็ต้องเวลาพอๆกัน ถึงจะตอบโจทย์ผม

สเปคเหมือนรถปัจจุบัน พัฒนาตามยุคสมัย แต่ภายในขอเป็นปุ่มกด ไม่ต้องเอาทุกอย่างรวมไว้ที่จอ (รู้สึกรวมไว้ที่จอ ใช้งานลำบาก ไม่ชอบ ไม่เวิร์ค)

หรือแบตจะเป็นแบบสลับแบตก็ได้ ชาร์จก็ได้ แค่ใช้เวลาให้เท่าการเติมน้ำมัน แค่นี้ก็ซื้อแล้วครับ




Lammerison

ไม่เอา update firmware

ขอขายขาดแบบจบๆ ไม่เหมือน app บนมือถือ

ขอแบบไม่มี blue screen

ขอ แบบ ชิ้นส่วน แบบ mechanic ปกติ



Left lane driver

- อยากได้อัตราเร่งที่ดีกว่ารถดาปทั่วๆไป 0-100 ประมาณ 6-7 วิ คือเหลือเฟือสำหรับผมแล้ว Top speed 200+
- range ที่วิ่งได้จริง 450-500 กม. ถ้าได้เกิน 500 นี่ผมหายห่วง
- ชาร์จไฟได้เร็วแบบ 0-90% ในเวลา 5-10 นาที
- อันนี่สำคัญสำหรับผม คืออยากได้รถที่เน้นการขับขี่ที่ดี ขับสนุก รถมี feedback กับคนขับที่ดี บาลานซ์ทั้งคันดี
- ขอรถที่เป็น"รถ" ไม่เน้น software เป็นหลักแล้วเอาทุกอย่างไปไว้ในจอจนกลายเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าติดล้อแบบหลายค่ายชอบทำ
- อันนี้สำคัญสุด ค่าเปลี่ยนแบตยกแผง ไม่แพงแบบเหมือนซื้อรถใหม่ อยากให้ค่าใช้จ่ายเหมือนยกเครื่อง-เกียร์ใหม่พอ
-



punn

เมื่อก่อนผมก็เป็นคนนึงที่แอนตี้ bev อยู่นิดๆ และตอนแรกคาดว่าใจอยากไป phev เหมือนกัน

ก็คิดหนักมากเกี่ยวกับการใช้งานเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ รวมถึงความชอบส่วนตัว
ในที่สุดก็คิดว่าตกผลึกในระดับหนึ่งเหลือแต่พิสูจน์ในการใช้จริง

จนหวยออกมาที่ model y lr ใช้มาจะ 4 เดือนแล้วไปอีสานลงใต้ เกือบ 7พันกิโล
ก็คือค่อนข้างตรงตามที่คิดไว้ว่ามันเหมาะสมในการใช้งานของตัวเองแล้ว

ตอนที่ firmware ยุคแรกมัน agressive มาก
(ใน 4 เดือนรู้สึกโดนปรับเยอะมากเหมือนรถคนละคัน   ::) )
ทำให้คิดว่าตัวเองอาจจะเหมาะที่ขับรถศูนย์ถึงร้อยประมาณ 7 วิ
แต่ตอนนี้ setting ออกมาค่อนข้างเซ็ทแบบอ้างอิงถ่วงน้ำหนักในการเหยียบคันเร่งหลากหลายมากขึ้น
จนตอนนี้ขับโหมดสแตนดาร์ดได้แล้วไม่ต้องใช้โหมดชิว ก็สบายใจดีไม่เครียดเหมือนตอนแรก
ก็คืออัตราเร่งพอใจแล้วสำหรับรุ่นนี้

มาที่แบตเตอรี่ ชอบมากที่เหมือนมีปั๊มอยู่ในบ้านตลอด
ขับในเมืองก็คงไม่ใช่ปัญหาสำหรับทุกๆคนอยู่แล้วในการเป็นรถ bev

ส่วนการเดินทางไกล ผมแนะนำสำหรับท่านที่ยังลังเล
ก็คือระยะที่คุณแวะประจำอยู่ที่เท่าไหร่
แบตเตอรี่คุณควรมีระยะมากกว่านั้นประมาณ 2.5-3 เท่าในการเดินทาง
เช่นปกติคุณขับประมาณ 150-200 กมพักสักครั้ง
แบตเตอรี่คุณก็ควรจะมีระยะที่วิ่งได้ประมาณ 450 ถึง 600 กม
แล้วจะสามารถขับรถเดินทางได้โดยไม่ต้องเครียดมากเรื่องจุดชาร์จ

น้องที่รู้จักเขาพักทุกๆ 100 กิโลรถ bev ที่เขาใช้วิ่งได้ประมาณ 300 กิโลเมตร
เขาก็ขับได้แฮปปี้ดีไปทั่วประเทศอยู่ครับ

ส่วนเรื่องความทนทานผมยอมเป็นผู้ตาม ในการเลือกรถที่แก้บั๊คมาระดับนึงแล้ว
มากกว่าจะมาลุ้นเลือกตัวที่เพิ่งพัฒนามาสดๆร้อนๆ เพราะความไว้ใจได้สำคัญมากในการเดินทาง

ถ้าสัก 15 ปีบวกลบแล้วผมต้องเปลี่ยนแบตในราคา eco car
ผมคิดว่าผมยอมรับได้ว่าจ่ายราคาอีโคคาร์แต่ยังได้สมรรถนะระดับ 0-100 ใน 5 วินาที
เพราะในเรื่องอัตราเร่งผมคิดว่ามันมาไกลมากจนสุดทางแล้วในระดับการใช้งานของรถ 4 ล้อที่วิ่งกับพื้นดิน

ในอีก 20 ปีรถคันนี้ของผมก็น่าจะยังใช้จ่ายกับข้าวได้ไม่ได้ด้อยไปกว่ารถรุ่นล่างๆในอนาคต
และผมพอจะมีความมั่นใจว่ายังมีอะไหล่ให้เปลี่ยนอยู่จนถึงวันนั้น
เพราะผมเลือกรถที่โหลที่สุดในโลก  ;D
เป็นคนโลกปกติธรรมดา :)
ไม่โลกสวย และไม่โลกมืด อยู่กับความเป็นจริงและพลังงานบวก ..

ปราชญ์สอนสิ่งไหน คนก็จะจำสิ่งนั้น
ประสบการณ์เจอแบบไหน คนก็จะคิดทางนั้น
ต่างคนต่างประสบการณ์เรียนรู้สิ่งเดียวกัน ก็จะออกมาแตกต่างกันไปครับ



Edwardsella

ขอที่ซื้อมาแล้วไม่สร้างภาระให้ชีวิตมากครับ
ขับได้ไกลๆ ชาร์จไม่นาน คุณภาพรถพอได้ ไม่ต้องมากังวลว่าอะไรจะพังแล้วจะซ่อมนานไหม มีอะไหล่รึปล่าว



InBkk

200-250 แรงม้า, ราคาและขนาดประมาณ C-segment เท่าที่อ่านมา สิ่งเหล่านี้มันก็ดูจะตรงกับ Atto 3 และ Seal รุ่นเริ่มต้น แทบจะทุกประการ ยกเว้นเรื่องเดียวคือ มันยังมีข้อกังขาเรื่อง Reliability อยู่