ขอคำแนะนำครับ จริงหรือไม่ครับที่ว่า รถยนต์ไฟฟ้าแทบไม่ต้องดูแลอะไรเลย

starlight

เป็นคนที่ไม่ชอบเปลี่ยนรถ ใช้คันไหนก็นานเลย แต่ด้วยอายุที่เยอะขึ้น ทำให้เบื่อกับการนำรถเข้าศูนย์ ซ่อมบำรุงนั่นนี่

หาข้อมูลเกี่ยวกับรถไฟฟ้ามาสักพักนึงแล้ว (เทสล่า)  ส่วนใหญ่ที่ซื้อมาใช้ๆกันก็เห็นแฮปปี้กันดี ไม่ทราบในระยะยาวจะจุกจิกมั้ย

อยากทราบว่าทุกคนมีความเห็นอย่างไรบ้างครับ  (ไฮบริดไม่ค่อยชอบเท่าไร)

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ แสดงความเห็นและมาอ่านครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 07, 2024, 08:04:34 โดย starlight »



Weetting

เคยเห็นตารางค่าซ่อมบำรุง Nissan Leaf 

เห็นเข้าไปก็แค่สลับยาง 

โดยคอนเซปก็ไม่ต้องทำอะไรมากจริงครับ   แต่บางบริษัท เช็คระยะเจอน้ำยาบ้าบอเหมือนรถสันดาปก็มี  บางบริษัทแก้ปัญหาพาร์ทไม่จบก็มี

อนาคตก็ยังไม่แน่นอนเหมือนกัน การขายต่อ รึรถรุ่นใหม่ๆ ที่อาจจะดีกว่ามากโข
ถ้าทำใจไว้เมื่ออายุรถ 15 ปีขึ้นไปถอดแบตแล้วเอามาเป็นพลังงานสำรอง ติดโซล่าเซลล์ก็เป็นทางออกที่ไม่เลว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 07, 2024, 08:25:32 โดย Weetting »
THE Manual Gearbox Preservation Society
Drive diesel until last day



Symphonic

น่าจะเป็นแนวไม่มีอะไรให้ซ่อมบำรุง
แต่จะเป็นแนวพังเป็นพัง เปลี่ยนชิ้นส่วนใหญ่ๆ เลย
หรือจ่ายไม่ไหวก็ทิ้งเลยครับ



dht_tubes

ผมก็มองรถไฟฟ้าอยู่เหมือนกัน  ซึ่งตอนนี้มองข้อดีของมันก็น่าใช้ในหลายหลายเรื่องครับ

ส่วนข้อเสียที่เขียนๆกันในโซเชียล  บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่เจอกันแล้ว บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่คาดการณ์กันไปต่างๆนาๆ

ซึ่งอาจจะเกิดจริงหรือไม่จริงก็ได้ แต่ส่วนตัวผมไลฟ์สไตล์ตอนนี้มันไม่เหมาะกับการใช้รถไฟฟ้าล้วนรวมถึงนิสัยส่วนตัวด้วยแต่ก็ยังรอดูต่อไปครับคิดว่าเมื่อวันนึงทุกอย่างมันลงตัวมันก็เป็นรถประเภทที่น่าใช้อยู่เหมือนกัน ถ้าค่าพลังงานมันยังถูกกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลเยอะขนาดนี้

แล้วก็เรื่องความปลอดภัยในแง่ของเรื่องแบตเตอรี่เวลาเกิดอุบัติเหตุการชนหนักว่าจะมี study case ที่คาดไม่ถึงบ้างหรือไม่ ประมาณนี้ครับ  ส่วนเรื่องราคาขายต่อผมว่ารถน้ำมันเองก็มาถึงจุดที่มันไม่สามารถคงราคาเอาไว้ให้ลูกค้าเอาไปต่อยอดคันใหม่ได้เหมือนยุคที่ผ่านมาแล้ว

เพราะฉะนั้นตัวแปรสำคัญก็คือถ้าราคารถมันถูกลงเหมือนโทรศัพท์มือถือแบบที่หลายคนว่า ก้อคงใช้แล้วทิ้งเมื่อมันหมดอายุหรือหมดสภาพหรือซ่อมไม่คุ้ม  ก็อาจจะเกิดขึ้นจริงได้ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 07, 2024, 09:10:39 โดย dht_tubes »



kiwiwi

เมื่อวาน เห็น io เล่นเรื่องรถไฟฟ้าไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง
พวกบัญชีเฟสไม่มีตัวตนนี่แหละ

ผมท้าพวกมันบอกให้ถ่ายสารหล่อลื่นออกให้หมดแล้ววิ่งให้ดูหน่อย เงียบเป็นแภวเลย 555555

io จีนพยายามหลอกคนซื้อว่าง่ายอย่างนู้นง่ายอย่างนี้
มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกครับ เฟือง 2 อันขบเกลียวกัน ยังไงก็ต้องมีน้ำมันคอยหล่อลื่น เหมือนเฟืองท้ายกระบะนี่แหละ ยังไงก็ต้องถ่าย ยังไงก็ต้องเติม เว้นแต่จะเป็นรุ่นที่เพลาตรงจากมอเตอร์

แถมระบบหล่อเย็นต่างๆก็ต้องคอยดูแลตามขั้นตอน เพียงแค่ชิ้นส่วนการสึกหรอ​น้อยกว่า

ผมไปถามเซลที่ศูนย์ KIA เซลก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ไปเปิดคู่มือมาดู ประเมินไว้ 2-30000/แสนกิโล

ส่วนตัวมองว่าอาจจะมากกว่านั้นนิดหน่อย ถ้าคนขับใส่ใจเปลี่ยนบางอย่างให้บ่อยขึ้น แต่ก็ถูกกว่า ice

ดั่งเช่น น้ำมันเกียร์บางค่ายที่บอกว่าไม่ต้องเปลี่ยนตลอดอายุการใช้งานนั่นแหละครับ คนไม่รู้เรื่องรถก็เชื่อ หมด warranty ศูนย์ก็ซ่อมหรือเปลี่ยนกันไป
ใครรู้เรื่องรถหน่อยก็จับเปลี่ยนจับถ่ายใช้กันยาวๆไป

ล่าสุด มีร้านแอร์รวยเพราะรถ ev กันแล้ว แว็กคอมแอร์สูตรพิเศษจนเงินทอง​ไหล​มา​เท​มาเลย ขนาดคนใช้รถจากเชียงใหม่ยังต้องขับรถมาแว็กคอมแอร์กับเค้า???????

ป้าดดดดด วิศวกรจีนมันออกแบบสินค้าจากฟ้องทดลองจริงๆ กะไม่ทดสอบลนถนนใหญ่เลย



Fragile

อย่าลืมพวกช่วงล่างที่ยังไงก็ต้องซ่อมเมื่อถึงเวลาครับ



pladaek

ในเรื่องของเหลวก็ยังมีน้ำมันเกียร์ น้ำยาหล่อเย็นอยู่นะ
ต่างแค่น้ำมันเครื่องหรือเปล่า

เพียงแค่ในส่วนของน้ำมันเครื่องมันเป็นส่วนที่ต้องดูแลดีๆ
ห้ามขาดห้ามหายห้ามซึม มีผลต่อระบบเครื่องยนต์และมันส่งผลเสียหายค่อนข้างเยอะ ถ้ามันขาดหาย
แถมบางยี่ห้อมันยังไปพัวพันกับระบบน้ำหล่อเย็น ถ้าแตกรั่วก็ผสมกับน้ำมันเครื่อง มันเลยเป็นปัญหาหลักๆของรถยนต์หลายๆรุ่น
แต่รถไฟฟ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้มาก

แต่ไม่ต้องดูแลอะไรเลย คงไม่ใช่
น้ำมันเกียร์ น้ำยาหล่อเย็นก็ยังต้องเปลี่ยนตามรอบคู่มือ
ถ้าไม่เปลี่ยนก็ยังลากได้ ถ้าไม่สนใจการรับประกัน

ส่วนระบบช่วงล่างก็เหมือนรถทั่วไป ลูกยาง ลูกหมาก ระบบลิ้งต่างๆ
เสื่อมตามการใช้งาน..
ไม่ได้ขับรถเพื่อทำเวลาที่ดีที่สุด.. แต่ขับรถเพื่อเจอช่วงเวลาที่ดีที่สุด..



apinui

ถามว่าจริงไหม.. ถ้าดูตามตาราง service ของแต่ละค่ายก็จริงแหละครับ เพราะเค้าไม่ต้องเปลี่ยน น้ำมันเครื่อง ทุก 1 หมื่นโล

ส่วนระบบหล่อเย็นเค้าก็มีเปลี่ยนนะ บางคัน 6 หมื่นโล (ที่เห็น) ซึ่งโดยรวมก็ยาวกว่า

แต่รถน้ำมันสมัยนี้ ระบบหล่อเย็นเค้าก็ไม่ได้เปลี่ยนบ่อยแล้วนะ 1แสนโลเปลี่ยนทีเหมือนกัน

โดยรวมก็ค่าใช้จ่ายกับการ service ตลอด 1 แสนโล ก็ถูกกว่าจริงแหละ ....

แต่ค่าใช้จ่ายโดยรวมน่ะ ถูกกว่าหรือเปล่า ... อันนี้ต้องไปดูกันให้ลึกๆ ..

รถทุกคัน ยางต้องเปลี่ยน ยางรถ ICE กับยางรถ EV ราคาต่างกันเยอะนะ ...

ประกันภัยที่ต้องเสียทุกปีอีก ใครถูกกว่ากัน ... 

และถ้าถึงขั้นต้องดูแลรักษาช่วงล่างเช่น โช็คอัพ ลูกหมาก ผ้าเบรค น้ำมันเบรค ไม่รู้ว่าาพวกนี้นับด้วยไหม






DiKiBoyZ

จริงครับ

เข้าศูนย์ปีละครั้ง เพื่อเช็คพวกของเหลว กับ สลับยาง กรองแอร์

ของเหลวที่ต้องเปลี่ยนถ่าย ก็มีแต่ คูลแลนท์ น้ำมันเกียร์น้ำมันเฟืองท้าย ซึ่งมันก็เปลี่ยนถ่ายที่เป็นแสนกิโลเมตร (แล้วแต่รุ่น ยี่ห้อ)

รถน้ำมัน หรือ ICE ที่ต้องเข้าศูนย์ทุกๆ 7,000 หรีอ 10,000 หรือ 15,000 กิโลเมตร หลักๆ คือ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องยนต์ กรองเกียร์ กรองแอร์

ถ้าไม่มีตรงนี้ ก็เปลี่ยนอีกทีชุดใหญ่ ที่มีพวก น้ำมันเกียร์ หัวเทียน และ อื่นๆ ก็รอบ 40,000-50,000 โล ละ



อีกนิดก็แรง

ยี่ห้ออื่นไม่รู้ แต่ของเทสล่าที่ผมใช้ 30,000 โล สลับยางไป 3 รอบแค่นั้นครับ ส่วนคนในกลุ่มเห็นวิ่งเยอะสุดตอนนี้ประมาณ 90,000 โล มีเปลี่ยนยาง 1 ชุด กรองแอร์จำไม่ได้ว่ากี่ครั้งครั เเรื่อตาราง service หลักๆ ของเทสล่าคือสลับล้อ กับเปลี่ยนกรองแอร์ นอกนั้น พวกของเหลวต่างๆ รอรถแจ้งว่าให้เปลี่ยนเมื่อไหร่
ถ้าสนใจเทสล่าอยู่แล้วรอดูอีกสักปี รถขายในไทยน่าบางคันน่าจะวิ่งกัน 200,000km+ ค่อยมาดูว่าอะไรพังบ้างก็ได้ครับ




mhujee

 พึ่งเข้าไปเช็ค 20,000 โล BYD โดนไป 560 เป็นค่าถ่วงล้อ
 อันนี้พนักงานถามก่อนแล้วว่า สลับยางฟรีนะ แต่ถ้าลูกค้าประสงค์จะให้ถ่วงด้วยจ่าย 560 บาทนะ ก็ตอบโอเชรๆๆ
  และมีเปลี่ยนกรองแอร์ด้วย แต่ฟรี
 อนาคตไม่รู้ว่าจะโดนอะไร แค่ที่รู้ 20,000 โลแรก สมัครใจจ่าย 560 บาท
 รถน้ำมันคงไม่ต้องบอกว่า 20,000 โลเท่าไหร่เพราะทุกคนก็น่าจะมีกันหมด รถน้ำมันบางคันก็ฟรีทั้งค่าบำรุงรักษาแล้วแต่โปร
  มีรถน้ำมันอีกคัน ที่พึ่งประกาศเลิกผลิตในไทยไป จะนำเข้าอย่างเดียว อันนั้นทุกหมื่นโลโดนไป 4K นิดๆ
 เพราะเขาให้เปลี่ยนน้ำมันเฟืองท้ายหน้าเฟืองท้ายหลังด้วยทุกหมื่นโลเลย (AWD ) แต่ยี่ห้ออื่นคงถูกกว่านี้ล่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 07, 2024, 11:46:25 โดย mhujee »



madboy

มันก็ตัดในส่วนของต้นกำลังที่เป็นเครื่องยนต์ออกไปนั่นแหละครับ ระบบอื่นๆยังมีอยู่นี่นา ระบบส่งกำลังก็ยังต้องการการดูแลเช่นกันครับ



oryor

มันคือการตลาดล้วนๆ

รถไฟฟ้า Selling point คือประหยัด
อะไรที่คิดว่าสิ้นเปลืองก็ตัดออกไปให้หมด
เทียบกับรถน้ำมันของเหลวที่มันหายไปก็แค่น้ำมันเครื่องอย่างเดียวเท่านั้น

โฆษณาปั่นกันว่าไม่ต้องบำรุงรักษา
คนขายก็บ้าจี้ไปด้วย ดูอย่าง Tesla เป็นต้น ไม่มีกำหนดเข้าเช็คระยะเลย เสียค่อยเข้ามา หวานเจี๊ยบเลยครับทีนี้
คนใช้รถก็ไม่รู้หรอกครับ ว่ามีอะไรเสียบ้าง ใช้งานอย่างเดียว ประกัน 8 ปี ก็สบายเลย ไม่ต้องเคลม



Auto

 จุดซ่อมบำรุงน้อยกว่ารถสันดาป   แต่ค่าใช้จ่ายโดยรวมไม่ได้น้อยกว่ารถสันดาปเลย  เช่น ต่อทะเบียน ภาษี ประกัน ค่าซ่อม ดูแลอื่น  ๆ    คอมแอร์ช่วงล่าง ต้องซ่อมเหมือนกันเมื่อถึงเวลา แล้วตอนซ่อมไม่ได้ถูกด้วยนะ 



ฟง อวิ๋น

ยังมีน้ำหล่อเย็น  น้ำมันเบรค

น้ำมันเกียร์ไม่ชัวร์ เพราะเห็นว่ามีทั้งแบบมีเกียร์ทด และแบบ Direct Drive

แต่ที่แฝงและมีโอกาสที่อายุการใช้งานสั้นกว่ารถ iCE คือ ยางรถ ผ้าเบรค ลูกปืนล้อ ระบบลูกยางช่วงล่าง Shock-up
Isuzu SLX, Accord G4, Colorado, Hilux Tiger, Lancer I, Triton, D-Max Cab4, TiiDA, Mazda2 I, Mazda2 II, D-Max, Fortuner, Sunny B14, Jazz GK, Accord G9, Mazda2 Sky, GLA200, Yaris, Alphard30, Lancer II, Lander III, Ranger, XL7, Forester SK, Swift, Stargazer, Aion V



Sutad

MG 4 ภาษีรายปี 260 บาท

ใช้งานมาได้ 6 เดือน ซื้อให้ภรรยารับส่งลูก ค่าน้ำมันจากเดือนละ 3,200 บาท (เติมสัปดาห์ละ 800 บาท) เหลือค่าไฟฟ้า 500 กว่าบาท




เนื้อน่องไม่หนัง

มันไม่มีเครื่องยนต์ครับ เลยไม่ต้องถ่ายน้ำมันเครื่อง
ซึ่งเวลาเอารถ ICE เข้าไป service มันก็จะเปนการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง/กรองน้ำมันเครื่อง นี้แหละ
จะเหลือก็ น้ำมันเกียร์ ถ้ามี
กับน้ำมันเบรค ซึ่งไม่แน่ใจว่าระยะเดียวกับ ICE ไหม



SM.

ชิ้นส่วนน้อยกว่า การดูแลก็น้อยกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าจะถูกกว่านะครับ




nimnim_thailand

ถ้าได้ใช้รถคุณภาพดีๆ  ไม่ว่ารถน้ำมัน หรือ ev มันก็แทบไม่ต้องดูแลอะไรเลย  เรียกได้ว่า 6 เดือน หรือ 1 ปี จะมีเช็คมีเข้าศูนย์สักครั้ง  อย่างผมใช้รถน้ำมัน ผมก็เข้าศูนย์เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องแค่ปีละครั้ง ไม่ต้องดูแลอะไร เติมน้ำมันขับอย่างเดียว

ในขณะที่เห็นคนไปออก ev จีนราคาถูกๆไม่ถึงล้าน  วิ่งเข้าศูนย์บ้าง วิ่งหาอู่นอกบ้าง แก้ปัญหาแอร์ไม่เย็น  เบรคมีปัญหา  ช่วงล่างไม่นิ่ง  หน้าจอไม่ทำงานติดๆดับๆ  หรือรถน้ำมันบางยี่ห้อ ที่มีปัญหาเดี๋ยวความร้อนขึ้น เดี๋ยวเกียร์พัง ซ่อมไม่จบ


สรุปคืออยู่ที่คุณภาพของรถ ถ้าได้รถดี ไม่จุกจิก  ก็แทบไม่ต้องดูแลอะไรเลย



Sommer C350e W205

ถ้าเปรียบเทียบกับรถน้ำมัน

รถน้ำมัน เข้าศูนย์ทุกๆ 10,000km/6 เดือน โดยเฉลี่ย
รถ EV เข้าศูนย์ทุกๆ 20,000km/1 ปี โดยเฉลี่ย (ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง/น้ำมันเกียร์ แต่อย่างใด)
2016 Mercedes-Benz C350e AMG Dynamic W205



solo

มันไม่significantเลย OK ในแง่คณิตศาสตร์มันเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปีละ สองครั้งเหลือปีละหนึ่งครั้ง คุณประหยัดเวลาไปปีละหนึ่งครั้งมันไม่ได้มรรคผลอะไร



helloweentz

รถไฟฟ้า ในตลาด เก่าสุดยังไม่กี่ปี

ต้องรอเวลา เป็นตัวพิสูจน์  :-X
BRV 2016
Mileage :  173,583
รายการซ่อม :
เกียร์
แอร์
โช๊คหลัง
ลูกยางยึดท่อ
เพลาขับ



shando

ถ้าเปรียบเทียบกับรถน้ำมัน

รถน้ำมัน เข้าศูนย์ทุกๆ 10,000km/6 เดือน โดยเฉลี่ย
รถ EV เข้าศูนย์ทุกๆ 20,000km/1 ปี โดยเฉลี่ย (ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง/น้ำมันเกียร์ แต่อย่างใด)

ไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์อันนี้ผิดละครับ

-Neta V เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ทุก20,000โล๖เปลี่ยนครั้งแรกที่10,000โล)

-BYD dolphin เปลี่ยนทุก40,000โล

(สองรุ่นนี้เปลี่ยนถี่กว่ารถน้ำมันอีก เพระารถน้ำมันส่วนใหญ่เปลี่ยนที่80,000-1แสนโล)

-MG4เปลี่ยนทุก80,000โล

-โดยรวมถูกกว่ารถน้ำมันก็จริง แต่ก็แค่น้ำมันเครื่อง+กรองแค่นั้น ค่าใช้จ่ายส่วนอื่นก็ยังมีอยู่ไม่ต่างกัน



nobody123

คนไทยที่ไม่ใช่วิศวกร เข้าใจผิดเยอะครับ ดังนั้น ผู้บริหารที่ฟังนักการตลาดมา ก็เข้าใจผิด

ยอมรับว่า ตอนแรก รถไฟฟ้า BEV จะค่าบำรุงถูกมาก
ต่อมา เสียส่วนช่วงล่าง พวงมาลัย คันเร่ง คอนเวิร์ตเตอร์ เป็นต้น
สุดท้ายประมาณปีที่ 10 ค่าบำรุง เท่า PHEV ถ้าไม่เปลี่ยนแบต

พอเปลี่ยนแบตปีที่ประมาณ 10 ปุ๊บ
PHEV ถูกว่า BEV ทันที
ปล. PHEV ปล่อย CO2 น้อยกว่า ทั้งก่อนเปลี่ยนแบต
ส่วนหลังเปลี่ยนแบตนี่ PHEV 11 kWh ปล่อย CO2 น้อยกว่า BEV 80kWh อย่างมีนัยยะสำคัญ

องค์กรอิสระสหรัฐสำรวจแล้ว สำรวจไปสิบปีข้างหน้า ที่สหรัฐจะใช้พลังงานสะอากมากขึ้น 35%
*BEV ไม่มีทางปล่อย CO2 น้อยกว่า PHEV เลย ทั้งที่ยังไม่เปลี่ยนแบต*
*เปลี่ยนแบตปี่ที่ประมาณสิบปุ๊บ PHEV 11 kWh รักษ์โลกมากกว่า BEV 80 kWh แบบมีนัยยะสำคัญ*