ขับทางไกล จอดพักรถ มันช่วยยึดอายุการใช้งาน หรือ ลดการสึกหรอ ของรถ จริงไหม?

DiKiBoyZ

ตามคำถามเลยครับ

ผมสงสัยมานานมากแล้ว (อาจจะสงสัยแบบโง่ๆ)

ว่า ขับทางไกล จอดพักรถ มันช่วยยึดอายุการใช้งาน หรือ ลดการสึกหรอ ของรถ จริงไหม?

เพราะผมดูข้อมูลอุณภูมิในจอของรถเอง หรือเคยใช้เกจวัด หรือ แม้กระทั้งเสียบ OBD-II ก็ตาม

ตัวเลขมันก็มีขึ้นๆ ลงตามการใช้งาน

เวลาจอดพักแวะปั้ม ค่าต่างๆ มันก็ลงก็จริง แต่พอขับออกจากปั้มแป๊ปเดียว ค่ามันก็ขึ้นมาปกติ

ผมเลยรู้สึกว่า การจอดพัก มันก็แค่เหมือนได้พักแปปนึง แต่สุดท้ายมันก็ขึ้นมาอยู่สถาวะใช้งานอีกเหมือนเดิม

เลยคิดว่า การจอดพัก มันช่วยได้ขนาดนั้นเลยหรือป่าว

ปกติ ผมจะขับจากรุงเทพฯ ออกต่างจังหวัด (อ.ภูเรือ จ.เลย) เดือนละ 2 ครั้ง ระยะทาง 550km (ไป-กลับ 1,000 กว่าโล) แบบเติมน้ำมันจากรุงเทพฯ ถึง ภูเรือ แทบจะไม่ได้จอดเลย ลงรถอีกทีคือถึงภูเรือละ

ผมใช้รถค่อนข้างเยอะ เลยไม่รู้ว่าแวะจอดพัก กับ ไม่พัก มันช่วยอะไรได้ขนาดนั้นจริง หรือป่าว



PaPaMan

ช่วยยืดอายุคนขับและผู้โดยสาร  :D :D



sudlor_gang

ไม่จริงหรอกครับ
พักคนมากกว่า




Pegasus7700

 ผมขออธิบายตามหลักการและข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของรถยนต์เท่าที่ผมเจ้าใจดังนี่:

1. การจอดพักช่วยยืดอายุการใช้งานของรถหรือไม่?
   •   ข้อดีของการจอดพัก:
การจอดพักระหว่างการเดินทางไกลมีผลในบางส่วน โดยเฉพาะต่อ คนขับ มากกว่า ตัวรถ เพราะการพักช่วยลดความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ ซึ่งสำคัญต่อความปลอดภัย
   •   สำหรับรถยนต์ ถ้าขับในสภาพปกติ (รอบเครื่องยนต์และอุณหภูมิอยู่ในเกณฑ์ปกติ) การจอดพักไม่ได้ช่วยลดการสึกหรออย่างมีนัยสำคัญ เพราะเครื่องยนต์ออกแบบมาให้ทำงานต่อเนื่องได้ยาวนาน
   •   แต่การจอดพักมีประโยชน์ในบางสถานการณ์:
   •   ช่วยลดความร้อนสะสมในระบบอื่น ๆ เช่น เบรก ระบบส่งกำลัง ยางรถยนต์ ที่อาจเกิดจากการขับในสภาพถนนที่ลาดชันหรือบรรทุกหนัก
   •   ช่วยให้ตรวจสอบสภาพรถได้ เช่น ดูน้ำหล่อเย็น น้ำมันเครื่อง หรือยาง

2. อุณหภูมิขึ้น-ลง มีผลต่อการสึกหรอหรือไม่?
   •   การใช้งานต่อเนื่อง:
ถ้าขับรถในระยะทางไกลโดยไม่จอด แต่เครื่องยนต์และระบบระบายความร้อนทำงานปกติ (ไม่มีความร้อนสูงเกินหรือ Overheat) จะไม่มีผลกระทบต่อการสึกหรอมากนัก เพราะรถยนต์ออกแบบมาให้ขับได้ต่อเนื่อง
   •   อุณหภูมิขึ้นหลังพัก:
ที่อุณหภูมิในเครื่องยนต์หรือเกจวัดเพิ่มขึ้นหลังจากขับต่อ ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะเครื่องยนต์เข้าสู่สภาพทำงานปกติอีกครั้ง มันไม่ได้หมายถึงการ “ทำงานหนักขึ้น”

3. กรณีของคุณ: ขับกรุงเทพฯ - ภูเรือ
   •   ถ้าคุณขับรถในสภาพถนนปกติ ไม่บรรทุกหนักเกิน และไม่มีการเร่งเครื่องยนต์มากจนเกินไป (รอบเครื่องยนต์ไม่สูงเกิน 3,000-4,000 รอบต่อนาทีต่อเนื่อง) คุณสามารถขับยาวได้โดยไม่ต้องพักรถบ่อย ๆ
   •   น้ำมันเครื่อง น้ำหล่อเย็น และระบบระบายความร้อนของรถที่ออกแบบมาดี จะช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้ต่อเนื่องในระยะไกล

4. ควรพักรถเมื่อใด?

การพักรถจะมีประโยชน์จริงในกรณีเหล่านี้:
   •   ขับทางลาดชันหรือเขาสูงที่ต้องใช้เบรกหรือกำลังเครื่องยนต์มาก
   •   รถบรรทุกหนัก ซึ่งอาจเกิดความร้อนสะสมในระบบส่งกำลังหรือยาง
   •   รถเริ่มมีอาการผิดปกติ เช่น ความร้อนเครื่องยนต์ขึ้นผิดปกติ

สรุป

ถ้ารถของคุณอยู่ในสภาพดี และใช้งานตามปกติ การขับยาวต่อเนื่อง 500-1,000 กิโลเมตรโดยไม่พักรถก็ไม่ได้มีผลเสีย ตราบใดที่คุณตรวจเช็กและ
...ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป...

MERCEDES BENZ W212 '12
FORD FOCUS 2.0 Gdi '13
HONDA Civic RS '20
VOLVO XC60 Hybrid Inscription '19
FORD EVEREST 2.0 Bi Turbo '22



DiKiBoyZ

ช่วยยืดอายุคนขับและผู้โดยสาร  :D :D

แต่ก่อนผมเลิกงานแล้วกลับไปนอนที่คอนโดก่อน ตื่นมาสักเที่ยงคืนแล้วออก จะถึงต่างจังหวัดเช้าพอดี แต่รู้สึกว่าง่วงนอน เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่กำลังนอนหลับดีเลย

ตั้งแต่ 2-3 ปีมานี้ ผมเลิกงานวันพฤหัส หรือ ศุกร์ ผมจะออกกรุงเทพฯ เลยประมาณ 1 ทุ่ม แล้ว ถึงต่างจังหวัดประมาณเที่ยงคืน หรือ ตี1 ซึ่ง เป็นช่วงเวลาที่ผมนอนปกติๆ อยู่แล้ว ตอนอยู่กรุงเทพฯ เลยไม่ค่อยง่วงครับ

ไม่จริงหรอกครับ
พักคนมากกว่า

ผมก็คิดแบบนั้น เพราะรถเวลาเราขับไป เจอไฟแดง เราจอด มันก็เหมือนได้พักเป็นระยะๆ อยู่แล้ว คงไม่ต้องขั้นตอนจอดพักรถก็ได้มั้ง ผมเลยคิดแบบนั้น ว่าจริงหรือป่าว

ผมขออธิบายตามหลักการและข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของรถยนต์เท่าที่ผมเจ้าใจดังนี่:

1. การจอดพักช่วยยืดอายุการใช้งานของรถหรือไม่?
   •   ข้อดีของการจอดพัก:
การจอดพักระหว่างการเดินทางไกลมีผลในบางส่วน โดยเฉพาะต่อ คนขับ มากกว่า ตัวรถ เพราะการพักช่วยลดความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ ซึ่งสำคัญต่อความปลอดภัย
   •   สำหรับรถยนต์ ถ้าขับในสภาพปกติ (รอบเครื่องยนต์และอุณหภูมิอยู่ในเกณฑ์ปกติ) การจอดพักไม่ได้ช่วยลดการสึกหรออย่างมีนัยสำคัญ เพราะเครื่องยนต์ออกแบบมาให้ทำงานต่อเนื่องได้ยาวนาน
   •   แต่การจอดพักมีประโยชน์ในบางสถานการณ์:
   •   ช่วยลดความร้อนสะสมในระบบอื่น ๆ เช่น เบรก ระบบส่งกำลัง ยางรถยนต์ ที่อาจเกิดจากการขับในสภาพถนนที่ลาดชันหรือบรรทุกหนัก
   •   ช่วยให้ตรวจสอบสภาพรถได้ เช่น ดูน้ำหล่อเย็น น้ำมันเครื่อง หรือยาง

2. อุณหภูมิขึ้น-ลง มีผลต่อการสึกหรอหรือไม่?
   •   การใช้งานต่อเนื่อง:
ถ้าขับรถในระยะทางไกลโดยไม่จอด แต่เครื่องยนต์และระบบระบายความร้อนทำงานปกติ (ไม่มีความร้อนสูงเกินหรือ Overheat) จะไม่มีผลกระทบต่อการสึกหรอมากนัก เพราะรถยนต์ออกแบบมาให้ขับได้ต่อเนื่อง
   •   อุณหภูมิขึ้นหลังพัก:
ที่อุณหภูมิในเครื่องยนต์หรือเกจวัดเพิ่มขึ้นหลังจากขับต่อ ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะเครื่องยนต์เข้าสู่สภาพทำงานปกติอีกครั้ง มันไม่ได้หมายถึงการ “ทำงานหนักขึ้น”

3. กรณีของคุณ: ขับกรุงเทพฯ - ภูเรือ
   •   ถ้าคุณขับรถในสภาพถนนปกติ ไม่บรรทุกหนักเกิน และไม่มีการเร่งเครื่องยนต์มากจนเกินไป (รอบเครื่องยนต์ไม่สูงเกิน 3,000-4,000 รอบต่อนาทีต่อเนื่อง) คุณสามารถขับยาวได้โดยไม่ต้องพักรถบ่อย ๆ
   •   น้ำมันเครื่อง น้ำหล่อเย็น และระบบระบายความร้อนของรถที่ออกแบบมาดี จะช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้ต่อเนื่องในระยะไกล

4. ควรพักรถเมื่อใด?

การพักรถจะมีประโยชน์จริงในกรณีเหล่านี้:
   •   ขับทางลาดชันหรือเขาสูงที่ต้องใช้เบรกหรือกำลังเครื่องยนต์มาก
   •   รถบรรทุกหนัก ซึ่งอาจเกิดความร้อนสะสมในระบบส่งกำลังหรือยาง
   •   รถเริ่มมีอาการผิดปกติ เช่น ความร้อนเครื่องยนต์ขึ้นผิดปกติ

สรุป

ถ้ารถของคุณอยู่ในสภาพดี และใช้งานตามปกติ การขับยาวต่อเนื่อง 500-1,000 กิโลเมตรโดยไม่พักรถก็ไม่ได้มีผลเสีย ตราบใดที่คุณตรวจเช็กและ

ขอบคุณครับสำหรับความเห็น

เรื่องพักคน พอเข้าใจครับ ถ้าเราไม่ไหวก็ต้องพัก

แต่ส่วนของรถ ผมว่า จอดพักแปปเดียว ไม่รู้มันช่วยอะไร เพราะพัก 15-30 นาที ทุกอย่างก็กลับมาวิ่งต่อ เข็มความร้อนแทบยังไม่ลงเลย จอดเวลาแค่นี้

เลยคิดว่า มันไม่ค่อยได้ช่วยอะไรเพื่อลดการสึกหรือป่าว แต่ถ้าจอดเพื่อดูลมยาง ดูน้ำ ดูน้ำมันเครื่อง ในรถที่มีอายุๆ หน่อย อาจจะมีรั่วซึม หรือ แตก ตรงไหน อันนี้ก็คงน่าทำอยู่



akewizard

ผมว่าอาจจะมีผลกับชิ้นส่วนบางอย่างคับ  อย่างรถผมใส่โช้คเกรดตัวทดแทนของโรงงาน พอวิ่งไปนานๆความร้อนมันสะสมในกระบอกโช้คแล้วเหมือนมันจะทำงานแย่ลง ถ้าได้จอดพักสัก 10-15 นาทีแล้ววิ่งต่อ มันจะกลับมาทำงานดีอยู่พักใหญ่ๆแล้วถึงจุดนึงพอมันเริ่มร้อนแล้วมันจะเริ่มร่อนๆย้วยๆ วนไปเรื่อยๆ

หรือผ้าเบรคกับคาลิปเปอร์เบรค พอวิ่งรถนานๆแล้วมันเกิดความร้อนสะสมมันก็จะลามไปยังน้ำมันเบรคด้วย ผมคิดว่าการได้พักรถระบายความร้อนเป็นระยะมันก็น่าจะช่วยถนอมให้ part หลายๆส่วนใช้งานได้นานขึ้นนะคับ



DiKiBoyZ

ผมว่าอาจจะมีผลกับชิ้นส่วนบางอย่างคับ  อย่างรถผมใส่โช้คเกรดตัวทดแทนของโรงงาน พอวิ่งไปนานๆความร้อนมันสะสมในกระบอกโช้คแล้วเหมือนมันจะทำงานแย่ลง ถ้าได้จอดพักสัก 10-15 นาทีแล้ววิ่งต่อ มันจะกลับมาทำงานดีอยู่พักใหญ่ๆแล้วถึงจุดนึงพอมันเริ่มร้อนแล้วมันจะเริ่มร่อนๆย้วยๆ วนไปเรื่อยๆ

หรือผ้าเบรคกับคาลิปเปอร์เบรค พอวิ่งรถนานๆแล้วมันเกิดความร้อนสะสมมันก็จะลามไปยังน้ำมันเบรคด้วย ผมคิดว่าการได้พักรถระบายความร้อนเป็นระยะมันก็น่าจะช่วยถนอมให้ part หลายๆส่วนใช้งานได้นานขึ้นนะคับ

เรื่องโช้ค ผมก็ได้ยินมาเหมือนกันครับ

แต่ผมสงสัยว่า โช้คแต่งโช้คซิ่ง ทำไมมันเบาะบางจัง เพราะบอกร้อนแล้ว ความหนืดเสีย (บางรุ่นเลยต้องทำซัพแท้งค์แยก พร้อม คลีบระบายความร้อน) ทั้งๆ ที่โช้คเดิมๆ ไม่มีทั้งซับแท้งค์(บางรุ่นมีแต่อยู่ภายในกระบอกเดียวกัน) น้ำมันโช้ค หรือ ตัวโช้ค ก็เกรดโรงงาน แต่ใช้งานได้โดยที่ไม่มีอาการดังกล่าว (จะมีอาการคือ ไกล้พังแล้ว) ไม่รู้เป็นทุกรุ่นป่าวนะ เพราะตอนผมใช้รถเก๋งก็ใส่โช้ค H.... อยู่ วิ่งออกต่างจังหวัด ก็ไม่มีอาการที่ว่ามานะครับ

ส่วน เบรค ผ้าเบรค น้ำมันเบรค ผมว่า วิ่งๆ ให้ลมตี ระบายความร้อนดีกว่า จอด นะครับ

เพราะหลักการเดียวกับหม้อน้ำ จอดนิ่งๆ ความร้อนค่อยๆ ลง แต่ถ้าวิ่งๆ ให้ลมตี ความร้อนลงเร็วกว่านะ ผมเสียบ OBD-II เลยรู้

เพราะเวลาวิ่งๆ มา ความร้อนอยู่แถว 108-110 องศา แต่พอชะลอ หรือ เบรคติดไฟแพง ความร้อนจะขยับขึ้น 112-115 องศา (ถ้าซัดๆ มาแล้ว จอดติดไฟแดงเลย บางทีขึ้นไป 120 องศาก็มี) แต่พอได้ขับต่อ มันจะกลับมาอยู่แถวๆ 108-110 องศา เช่นเดิม



bravo

คงจะมีผลบ้างแหละ
แต่...คิดเป็น % คงจะต่างกันน้อยมากๆ
การเปิดฝากระโปรง เพื่อระบายความร้อน ก็เช่นกัน ผมก็ว่ามีผลน้อยมาก

ผมไม่เคยให้ความสำคัญกับการจอดพักรถเลยครับ
เดินทางไกล ถ้าไม่ต้องการแวะกินข้าวหรือเข้าห้องน้ำหรือเติมน้ำมัน ผมยิงยาววววเลยครับ



madboy

สำหรับผมแล้ว มันคือการพักคนมากกว่า แวะปั้มจอดฉี่ ก็เปิดฝากระโปรงดูนู่นดูนี่ ตรวจสอบความเรียบร้อยบ้าง รถผมเก่าแล้วก็มีบ้างที่จ๊ะเอ๋กับงานที่ไม่พึงประสงค์บ้าง  ;D ;D ;D ;D



เนื้อน่องไม่หนัง

ผมให้น้ำหนักในมุมของการพักคนมากกว่า แนวโน้มของคนที่ขับรวดเดียวไม่พักเพราะไม่อยากเสียเวลท น่าจะใช้ความเร็วสูงขับดุกว่าคนที่ขับแบบ แวะพักบ่อยๆด้วย
เรื่องของการสึกหรอ คิดว่าไม่ต่างกันมากครับ
ความร้อนสะสมอาจไม่ต่าง นอกจากซัด แช่รอบสูงๆ เมื่อก่อนใช้รถแล้วความร้อนขึ้น เพราะพัดลมหม้อน้ำเสีย รอดึกๆรถหายติด แล้วขับกลับบ้าน พยายามใล้เกียร์สูงเน้นรอบต่ำ ลมที่ผ่านเข้าห้องเครื่องก็เอาอยู่ไม่ฮีต



samaklen

ความเร็วคงที่ ฟิล์มน้ำมันรับภาระจากแรงกระชากน้อยลง
ลมปะทะ ระบายร้อนสม่ำเสมอ
แรงดันชาร์ทกลับแบตค่อนข้างคงที่
จานเบรครับลมปะทะระบายร้อนต่อเนื่อง
ทั้งหมดโอเค
มีแต่คนขับ กับคนนั่งนี่ล่ะครับ
ที่ต้องจอดทำธุระบ้างเป็นช่วงเวลา
ถ้าขับนานเกินไป



Kanarath

ช่วยยืดอายุคนขับและผู้โดยสาร  :D :D
+1 จริง55



Tien.W

รถวิ่ง เครื่องยนต์ร้อนน้อยกว่าจอดอยู่กับที่อีก ถ้ามี OBD2 จะเห็นชัดครับ

เหมือน หลายๆท่านว่าแหละ ผมว่า มันคือ การพักคนมากกว่า .. ผมเคยขับทีเดียวระดับ 1,200 กม. แวะแค่เข้าห้องน้ำ ไม่เกิน 5 นาที ก็ติดเครื่องเดินเบาไว้ มันก็ปกติดีครับ



DiKiBoyZ

คงจะมีผลบ้างแหละ
แต่...คิดเป็น % คงจะต่างกันน้อยมากๆ
การเปิดฝากระโปรง เพื่อระบายความร้อน ก็เช่นกัน ผมก็ว่ามีผลน้อยมาก

ผมไม่เคยให้ความสำคัญกับการจอดพักรถเลยครับ
เดินทางไกล ถ้าไม่ต้องการแวะกินข้าวหรือเข้าห้องน้ำหรือเติมน้ำมัน ผมยิงยาววววเลยครับ

มันไม่ใช่อารมณ์แบบขับไปเที่ยวอะครับ เหมือนเราอยากกลับบ้านมากกว่า ผมเลยไม่ค่อยแวะ นอกจากจะเข้าห้องน้ำ หรือ หิวข้าว ไรงี้ ค่อยแวะ

สำหรับผมแล้ว มันคือการพักคนมากกว่า แวะปั้มจอดฉี่ ก็เปิดฝากระโปรงดูนู่นดูนี่ ตรวจสอบความเรียบร้อยบ้าง รถผมเก่าแล้วก็มีบ้างที่จ๊ะเอ๋กับงานที่ไม่พึงประสงค์บ้าง  ;D ;D ;D ;D

จริงครับ ถ้ารถเก่า ถ้าต้องดูแล ขับรถทางไกล มันจะต้องมีจอดส่องๆ มองๆ มีอะไรรั่วไหม ซึมไหม เหมือนกันนะครับ สมัยผมใช้รถ 90 ขับทางไกล ก็ต้องระแวงๆ ไปตลอดทาง

ความเร็วคงที่ ฟิล์มน้ำมันรับภาระจากแรงกระชากน้อยลง
ลมปะทะ ระบายร้อนสม่ำเสมอ
แรงดันชาร์ทกลับแบตค่อนข้างคงที่
จานเบรครับลมปะทะระบายร้อนต่อเนื่อง
ทั้งหมดโอเค
มีแต่คนขับ กับคนนั่งนี่ล่ะครับ
ที่ต้องจอดทำธุระบ้างเป็นช่วงเวลา
ถ้าขับนานเกินไป

คนขับไหว แต่จะมีปวดตูดบ้าง แต่แบบขับรถกล้บบ้าน ไม่ได้ขับไปเที่ยว เลยไม่ค่อยแวะครับ แต่คนนั่งหลับครับ ตื่นทีคือถึงต่างจังหวัดละ

รถวิ่ง เครื่องยนต์ร้อนน้อยกว่าจอดอยู่กับที่อีก ถ้ามี OBD2 จะเห็นชัดครับ

เหมือน หลายๆท่านว่าแหละ ผมว่า มันคือ การพักคนมากกว่า .. ผมเคยขับทีเดียวระดับ 1,200 กม. แวะแค่เข้าห้องน้ำ ไม่เกิน 5 นาที ก็ติดเครื่องเดินเบาไว้ มันก็ปกติดีครับ

ใช่ครับ อย่างที่ผมเล่าเลย ผมดูจอในรถ และ OBD เราจอดในปั้มสัก 30 นาที ตัวเลขลงมานิดหน่อยเอง แค่สตาร์ท วิ่งจะไม่พ้นปั้มเลย ตัวเลขก็กลับขึ้นมาอยู่ในจุดที่มันอยู่

ผมเลยมองว่า ความคิดที่ว่า จอดพัก(รถ) มันเหมือนไม่ได้ช่วยพักอะไรเลย

ถ้าพักคน อันนี้เข้าใจได้



madboy

รถวิ่ง เครื่องยนต์ร้อนน้อยกว่าจอดอยู่กับที่อีก ถ้ามี OBD2 จะเห็นชัดครับ

เหมือน หลายๆท่านว่าแหละ ผมว่า มันคือ การพักคนมากกว่า .. ผมเคยขับทีเดียวระดับ 1,200 กม. แวะแค่เข้าห้องน้ำ ไม่เกิน 5 นาที ก็ติดเครื่องเดินเบาไว้ มันก็ปกติดีครับ

น้ำหล่อเย็นรถวิ่งร้อนน้อยกว่าครับ แต่น้ำมันเครื่อง ถ้าไม่มี oil cooler จะร้อนกว่าในตอนวิ่ง(โดยเฉพาะเร็วๆ) คร้าบ



punn

การวิ่งทางไกลแล้วพัก เบื้องต้นก็คงสำหรับผู้ขับแน่นอน
แต่สมัยก่อนที่ยังไม่มีเซ็นเซอร์รอบคันยุบยับแบบสมัยนี้ น่าจะมีผลอย่างมีนัยยะสำคัญ
เช่นดูยางรถ ดูน้ำหม้อน้ำรั่ว ดูน้ำมันเครื่อง ถ้ารอให้อาการมันแสดงออกก็จะยิ่งซ่อมยากขึ้นไปอีก
แต่ถ้าเห็นก่อนสามารถจัดการปัญหาในแบบเล็กน้อยดีกว่าการยกเครื่องหรือผ่าเครื่องนะครับ

กับหลายคนไม่ได้เสียบ obd หรือรถอายุเยอะๆแล้ว ก็ต้องคอยหมั่นดูไม่ให้มันเป็นอะไรโดยที่เราไม่ทันได้ระวัง 🧐
เป็นคนโลกปกติธรรมดา :)
ไม่โลกสวย และไม่โลกมืด อยู่กับความเป็นจริงและพลังงานบวก ..

ปราชญ์สอนสิ่งไหน คนก็จะจำสิ่งนั้น
ประสบการณ์เจอแบบไหน คนก็จะคิดทางนั้น
ต่างคนต่างประสบการณ์เรียนรู้สิ่งเดียวกัน ก็จะออกมาแตกต่างกันไปครับ



GT3

ผมไม่แน่ใจว่าขับยาวๆ มีผลกับอุณหภูมิน้ำมันเกียร์ไหมครับ(เกียร์ cvt) ถ้าเป็นเกียร์แบบอื่นคงไม่มีปัญหา
เห็นคนที่ขับเยอะๆชอบเอารถไปติดออยเกียร์



AgentMolder

จริงๆเหมือนคุณวิ่งมาเหนื่อยๆ แล้วพักแป๊บนึง แล้ววิ่งต่อก็กลับไปเหนื่อยเหมือนเดิม แต่ช่วงที่พัก ความร้อนได้ระบาย เหงื่อได้ระเหย ลดความร้อนสะสมในร่างกาย ยังไงมันก็ดีกว่าทำงานต่อเรนื่องนานๆ (ทั้งที่ตามทฤษฎี มันขับยาวๆได้ก็ตาม) แต่ผมก็ไม่เชื่อในการเปิดฝากระโปรงหน้าอยู่ดี 555

สมัยก่อนไม่มี Sensor อะไรแบบนี้ ถ้าขึ้นเตือนคือพังเลย คนสมัยก่อนเลยจอดแวะดูน้ำในหม้อน้ำ ดูหม้อลมเบรค น้ำมันเครื่องพร่องไหม อยู่เสมอ ยังไงก็ดีกว่าไม่เชค สมัยนี้เสียบ ODB ดูได้ก็ไม่ต้องดูเอง แต่คุณก็ยังต้องมอง ODB จริงไหม ก็เหมือนคุณกำลังเชครถแบบ real time โดยไม่ต้องจอดก็แค่นั้น
2005 Toyota Vios 1st Gen
2012 Honda Civic FD
2018 Toyota Camry ACV70
2023 Toyota Yaris Cross
2024 Porsche 718 Cayman Style Edition



เนื้อน่องไม่หนัง

ผมไม่แน่ใจว่าขับยาวๆ มีผลกับอุณหภูมิน้ำมันเกียร์ไหมครับ(เกียร์ cvt) ถ้าเป็นเกียร์แบบอื่นคงไม่มีปัญหา
เห็นคนที่ขับเยอะๆชอบเอารถไปติดออยเกียร์

ถ้าขับแบบคนทั่วๆไป ทางไกลแช่ 100-120
ไม่แช่รอบสูงๆ เค้นเครื่องยนต์มากๆ ผมคิดว่าของเดิมเอาอยุ่  ตราบใดที่เครื่องไม่ร้อนมากเกียร์ ก้น่าจะยังโอเคอยู่
แต่ถ้าขึ้นเขาขึ้นดอยประจำ ทุกสัปดาห์ ลากเกียร์ต่ำรอบสูง แต่ความเร็วไม่มาก มีออยเกียร์ก็อาจดีกว่า
ผมให้น้ำหนักการแยกออยเกียร์ในเรื่องป้องกันความเสี่ยงหม้อน้ำรั่วเข้ามาผสมน้ำมันเกียร์มากกว่าครับ


จริงๆเหมือนคุณวิ่งมาเหนื่อยๆ แล้วพักแป๊บนึง แล้ววิ่งต่อก็กลับไปเหนื่อยเหมือนเดิม แต่ช่วงที่พัก ความร้อนได้ระบาย เหงื่อได้ระเหย ลดความร้อนสะสมในร่างกาย ยังไงมันก็ดีกว่าทำงานต่อเรนื่องนานๆ
ขอแซวหน่อยครับ..
ของพอถ้าวิ่งมาเหนื่อยๆ แล้วหยุดพัก คือจบเลย หมดแรงไม่วิ่งงต่อแล้ววว



DiKiBoyZ

จริงๆเหมือนคุณวิ่งมาเหนื่อยๆ แล้วพักแป๊บนึง แล้ววิ่งต่อก็กลับไปเหนื่อยเหมือนเดิม แต่ช่วงที่พัก ความร้อนได้ระบาย เหงื่อได้ระเหย ลดความร้อนสะสมในร่างกาย ยังไงมันก็ดีกว่าทำงานต่อเรนื่องนานๆ (ทั้งที่ตามทฤษฎี มันขับยาวๆได้ก็ตาม) แต่ผมก็ไม่เชื่อในการเปิดฝากระโปรงหน้าอยู่ดี 555

สมัยก่อนไม่มี Sensor อะไรแบบนี้ ถ้าขึ้นเตือนคือพังเลย คนสมัยก่อนเลยจอดแวะดูน้ำในหม้อน้ำ ดูหม้อลมเบรค น้ำมันเครื่องพร่องไหม อยู่เสมอ ยังไงก็ดีกว่าไม่เชค สมัยนี้เสียบ ODB ดูได้ก็ไม่ต้องดูเอง แต่คุณก็ยังต้องมอง ODB จริงไหม ก็เหมือนคุณกำลังเชครถแบบ real time โดยไม่ต้องจอดก็แค่นั้น

ขับๆ มาแล้ว จอดเลย (ต่อให้เดินเบา) อุณภูมิ ลงช้ากว่า วิ่งแบบคลานๆ ให้ลมตีหน้ารถ นะครับ ผมลองจับ OBD ดูแล้วครับ

แล้วผมก็ไม่ได้เสียบ OBD หรือ มอง OBD หรอกครับ ผมเสียบไว้แค่อยากดูเป็นบางโอเค บางจังหวะเท่านั้น

ปล.กล้องหน้ารถผมมัน link กับ OBD ได้ครับ มันจะดึงค่าจาก เซ็นเซอร์ในรถ มาเก็บไว้ในกล้อง เหมือนทำ Drive log หรือ OBD logging ครับ

ผมไม่แน่ใจว่าขับยาวๆ มีผลกับอุณหภูมิน้ำมันเกียร์ไหมครับ(เกียร์ cvt) ถ้าเป็นเกียร์แบบอื่นคงไม่มีปัญหา
เห็นคนที่ขับเยอะๆชอบเอารถไปติดออยเกียร์

รถผมเกียร์ ZF ติดออยเกียร์เพิ่มแล้ว น้ำมันเกียร์ร้อนจริง จนรู้สึกว่า พอน้ำมันเกียร์ร้อน มันจะมีอาการเย่อๆ ของเกียร์ให้เห็น (ถ้ายิ่ง ใช้ Paddle shift +/- แล้วขับกลางวัน ยิ่งเห็นชัด)

ผมไม่แน่ใจว่าขับยาวๆ มีผลกับอุณหภูมิน้ำมันเกียร์ไหมครับ(เกียร์ cvt) ถ้าเป็นเกียร์แบบอื่นคงไม่มีปัญหา
เห็นคนที่ขับเยอะๆชอบเอารถไปติดออยเกียร์

ถ้าขับแบบคนทั่วๆไป ทางไกลแช่ 100-120
ไม่แช่รอบสูงๆ เค้นเครื่องยนต์มากๆ ผมคิดว่าของเดิมเอาอยุ่  ตราบใดที่เครื่องไม่ร้อนมากเกียร์ ก้น่าจะยังโอเคอยู่
แต่ถ้าขึ้นเขาขึ้นดอยประจำ ทุกสัปดาห์ ลากเกียร์ต่ำรอบสูง แต่ความเร็วไม่มาก มีออยเกียร์ก็อาจดีกว่า
ผมให้น้ำหนักการแยกออยเกียร์ในเรื่องป้องกันความเสี่ยงหม้อน้ำรั่วเข้ามาผสมน้ำมันเกียร์มากกว่าครับ


จริงๆเหมือนคุณวิ่งมาเหนื่อยๆ แล้วพักแป๊บนึง แล้ววิ่งต่อก็กลับไปเหนื่อยเหมือนเดิม แต่ช่วงที่พัก ความร้อนได้ระบาย เหงื่อได้ระเหย ลดความร้อนสะสมในร่างกาย ยังไงมันก็ดีกว่าทำงานต่อเรนื่องนานๆ
ขอแซวหน่อยครับ..
ของพอถ้าวิ่งมาเหนื่อยๆ แล้วหยุดพัก คือจบเลย หมดแรงไม่วิ่งงต่อแล้ววว

ติดแล้วครับ ออยเกียร์ฺ

แต่ ออยน้ำมันเครื่องไม่ได้ติด เพราะเหตุผลว่า น้ำมันเชื้อเพลิงที่เติม มันกัดท่อยางที่เดินไปออย (ถ้ารถบางรุ่นที่มีออยน้ำมันเครื่องโรงงาน เขาจะใช้ท่อโลหะ)



Push in Boost

ผมว่าอาจจะมีผลกับชิ้นส่วนบางอย่างคับ  อย่างรถผมใส่โช้คเกรดตัวทดแทนของโรงงาน พอวิ่งไปนานๆความร้อนมันสะสมในกระบอกโช้คแล้วเหมือนมันจะทำงานแย่ลง ถ้าได้จอดพักสัก 10-15 นาทีแล้ววิ่งต่อ มันจะกลับมาทำงานดีอยู่พักใหญ่ๆแล้วถึงจุดนึงพอมันเริ่มร้อนแล้วมันจะเริ่มร่อนๆย้วยๆ วนไปเรื่อยๆ

หรือผ้าเบรคกับคาลิปเปอร์เบรค พอวิ่งรถนานๆแล้วมันเกิดความร้อนสะสมมันก็จะลามไปยังน้ำมันเบรคด้วย ผมคิดว่าการได้พักรถระบายความร้อนเป็นระยะมันก็น่าจะช่วยถนอมให้ part หลายๆส่วนใช้งานได้นานขึ้นนะคับ

เรื่องโช้ค ผมก็ได้ยินมาเหมือนกันครับ

แต่ผมสงสัยว่า โช้คแต่งโช้คซิ่ง ทำไมมันเบาะบางจัง เพราะบอกร้อนแล้ว ความหนืดเสีย (บางรุ่นเลยต้องทำซัพแท้งค์แยก พร้อม คลีบระบายความร้อน) ทั้งๆ ที่โช้คเดิมๆ ไม่มีทั้งซับแท้งค์(บางรุ่นมีแต่อยู่ภายในกระบอกเดียวกัน) น้ำมันโช้ค หรือ ตัวโช้ค ก็เกรดโรงงาน แต่ใช้งานได้โดยที่ไม่มีอาการดังกล่าว (จะมีอาการคือ ไกล้พังแล้ว) ไม่รู้เป็นทุกรุ่นป่าวนะ เพราะตอนผมใช้รถเก๋งก็ใส่โช้ค H.... อยู่ วิ่งออกต่างจังหวัด ก็ไม่มีอาการที่ว่ามานะครับ

ส่วน เบรค ผ้าเบรค น้ำมันเบรค ผมว่า วิ่งๆ ให้ลมตี ระบายความร้อนดีกว่า จอด นะครับ

เพราะหลักการเดียวกับหม้อน้ำ จอดนิ่งๆ ความร้อนค่อยๆ ลง แต่ถ้าวิ่งๆ ให้ลมตี ความร้อนลงเร็วกว่านะ ผมเสียบ OBD-II เลยรู้

เพราะเวลาวิ่งๆ มา ความร้อนอยู่แถว 108-110 องศา แต่พอชะลอ หรือ เบรคติดไฟแพง ความร้อนจะขยับขึ้น 112-115 องศา (ถ้าซัดๆ มาแล้ว จอดติดไฟแดงเลย บางทีขึ้นไป 120 องศาก็มี) แต่พอได้ขับต่อ มันจะกลับมาอยู่แถวๆ 108-110 องศา เช่นเดิม

เรื่องความร้อน หากเป็นเช่นนั้น การวอร์มเครื่องก่อนดับเครื่อง ให้อุณหภูมิลงมาใกล้เคียงปกติ ไล่ความร้อนสะสม ออกจากเครื่องยนต์ น่าจะช่วยยืดอายุการใช้งาน หรือลดการสึกหรอได้

เพราะผมก็หวดรวดเดียวยาวๆ 700 KM เหมือนกัน เวลาเข้าปั้มดับเครื่องทันทีแวะฉี่ทีไร กลับมาสตาร์ท อุณหภูมิหม้อน้ำอยู่ที่ 88-90กว่า ซึ่งปกติตอนวิ่งจะอยู่ที่ 85-86 เอง



DiKiBoyZ

ผมว่าอาจจะมีผลกับชิ้นส่วนบางอย่างคับ  อย่างรถผมใส่โช้คเกรดตัวทดแทนของโรงงาน พอวิ่งไปนานๆความร้อนมันสะสมในกระบอกโช้คแล้วเหมือนมันจะทำงานแย่ลง ถ้าได้จอดพักสัก 10-15 นาทีแล้ววิ่งต่อ มันจะกลับมาทำงานดีอยู่พักใหญ่ๆแล้วถึงจุดนึงพอมันเริ่มร้อนแล้วมันจะเริ่มร่อนๆย้วยๆ วนไปเรื่อยๆ

หรือผ้าเบรคกับคาลิปเปอร์เบรค พอวิ่งรถนานๆแล้วมันเกิดความร้อนสะสมมันก็จะลามไปยังน้ำมันเบรคด้วย ผมคิดว่าการได้พักรถระบายความร้อนเป็นระยะมันก็น่าจะช่วยถนอมให้ part หลายๆส่วนใช้งานได้นานขึ้นนะคับ

เรื่องโช้ค ผมก็ได้ยินมาเหมือนกันครับ

แต่ผมสงสัยว่า โช้คแต่งโช้คซิ่ง ทำไมมันเบาะบางจัง เพราะบอกร้อนแล้ว ความหนืดเสีย (บางรุ่นเลยต้องทำซัพแท้งค์แยก พร้อม คลีบระบายความร้อน) ทั้งๆ ที่โช้คเดิมๆ ไม่มีทั้งซับแท้งค์(บางรุ่นมีแต่อยู่ภายในกระบอกเดียวกัน) น้ำมันโช้ค หรือ ตัวโช้ค ก็เกรดโรงงาน แต่ใช้งานได้โดยที่ไม่มีอาการดังกล่าว (จะมีอาการคือ ไกล้พังแล้ว) ไม่รู้เป็นทุกรุ่นป่าวนะ เพราะตอนผมใช้รถเก๋งก็ใส่โช้ค H.... อยู่ วิ่งออกต่างจังหวัด ก็ไม่มีอาการที่ว่ามานะครับ

ส่วน เบรค ผ้าเบรค น้ำมันเบรค ผมว่า วิ่งๆ ให้ลมตี ระบายความร้อนดีกว่า จอด นะครับ

เพราะหลักการเดียวกับหม้อน้ำ จอดนิ่งๆ ความร้อนค่อยๆ ลง แต่ถ้าวิ่งๆ ให้ลมตี ความร้อนลงเร็วกว่านะ ผมเสียบ OBD-II เลยรู้

เพราะเวลาวิ่งๆ มา ความร้อนอยู่แถว 108-110 องศา แต่พอชะลอ หรือ เบรคติดไฟแพง ความร้อนจะขยับขึ้น 112-115 องศา (ถ้าซัดๆ มาแล้ว จอดติดไฟแดงเลย บางทีขึ้นไป 120 องศาก็มี) แต่พอได้ขับต่อ มันจะกลับมาอยู่แถวๆ 108-110 องศา เช่นเดิม

เรื่องความร้อน หากเป็นเช่นนั้น การวอร์มเครื่องก่อนดับเครื่อง ให้อุณหภูมิลงมาใกล้เคียงปกติ ไล่ความร้อนสะสม ออกจากเครื่องยนต์ น่าจะช่วยยืดอายุการใช้งาน หรือลดการสึกหรอได้

เพราะผมก็หวดรวดเดียวยาวๆ 700 KM เหมือนกัน เวลาเข้าปั้มดับเครื่องทันทีแวะฉี่ทีไร กลับมาสตาร์ท อุณหภูมิหม้อน้ำอยู่ที่ 88-90กว่า ซึ่งปกติตอนวิ่งจะอยู่ที่ 85-86 เอง

อันนี้เห็นด้วยนะครับ เพราะอย่างที่ผมเล่าเลย คือ ถ้าขับๆ มา ซัดๆ มา แล้ว จอดเลย ความร้อนแทนที่จะลง แต่เหมือนพุ่งขึ้นด้วย(เพราะไม่มีลมตีหน้ารถแล้ว) พอขึั้นไปสักพัก แล้วค่อยลงแบบช้าๆ

อย่างการใช้งานรถผมเองนี่ละ ไม่ว่าจะตอนกลับต่างจังหวัด หรือ ตอนกลับมากรุงเทพฯ ที่ต้องใช้ความเร็ว และ ใช้รถหนัก

ก่อนถึงบ้าน ถ้าต่างจังหวัด คือ ช่วงขับเข้าหมู่บ้าน หรือ ถ้าเป็นที่กรุงเทพฯ คือ ตอนเข้าซอย ประมาณ 1-2 km

ผมจะขับแบบปล่อยไหล เหมือนเป็นการคูลดาวน์ หรือ วอล์มดาวน์ มากกว่า เบรคดังเอี๊ยดที่หน้าบ้าน แล้ว ดับเครื่องเลย



SM.

ถ้าสำหรับตัวรถแล้ว ผมว่าไม่จำเป็นนะครับ เพราะรถแต่ละรุ่นผ่านการทดสอบมาแล้ว ถ้าเราไม่ได้วิ่งไกล วิ่งนานกว่าที่ทำการทดสอบมา ผมว่าไม่เป็นไรนะ