เทียบรถยนต์ กับ ระบบขนส่งสาธารณะของไทยและต่างประเทศ แม้กระทั่งการใช้จักรยาน ท่าน

nobody123

อดีต
1.   ญี่ปุ่น ผมออกจากบ้านเช่า เดิน 300 เมตร ถึงสถานีรถไฟ ซึ่งมาตรงเวลามาก หลังจากนั้น เปลี่ยนสามสาย ถึงที่เรียนหนังสือ ระหว่างการเปลี่ยนระหว่างสายก็มีเดินน้อยมากบ้าง ดังท่านที่เคยไปคงทราบว่าในกรุงโตเกียวรถไฟมีระยะทางเดินเปลี่ยนแตกต่างกันมาก
2.   ไทย ผมออกจากบ้าน เดิน 400 เมตร ถึงสถานีรถเมล ซึ่งบางครั้งรอ 20-25 นาที และบางครั้ง บางคันไม่จอด แค่สายเดียวเองก็จะถึงที่ทำงาน แล้วเดินเข้าไปในที่ออฟฟิศจากลดพุงอีก 12 นาที
ปัจจุบัน
1.   ญี่ปุ่น ผมไปญี่ปุ่นอีกเป็นระยะ แฟนทักให้ขับรถเที่ยว ซึ่งเราก็ขับเที่ยวอเมริกาเหนือกัน ผมก็ยังไม่เห็นว่า ในญี่ปุ่นจะขับรถเที่ยวเองสนุกกว่านั่งรถไฟแต่อย่างใด
2.   ไทย ผมแทบเลิกใช้บริการขนส่งสาธารณะแล้ว การเดินออกมา 400 เมตร แล้วต้องให้รอ 20-25 นาที และ บางครั้ง บางคันไม่จอด ผมยอมรับว่าขับรถเองเร็วกว่าในการเข้างานให้ตรงเวลา
ปล. หากใช้ Zero emission ของจริงอย่าง ‘จักรยาน ‘
1.   ญี่ปุ่น ผมใช้จากห้องพักในไปทำวิจัย หรือ ทำงานพิเศษ ระยะเกือบกิโล / เป็นกิโล / เกินห้ากิโล ได้ ผมมีความสุขกับสุขภาพที่ได้รับและเงินที่ประหยัดค่ารถไฟ
2.   ไทย ผมใช้จากบ้านไปที่ทำงาน คือ มันจะมีร่องบนถนนที่ล้อจักรยานเล็กตกลงไปแล้วอาจเกิดอุบัติเหตุได้ ซึ่ง มีคนเตือนผมว่า อย่าขี่มาเลย
ร่องเช่นนี้ ในกรุงโตเกียว ที่ผมขี่จากขอบซ้ายนอกเมือง (ชั้นนอกสาย Yamanote)     เข้าไปถึง Roppongi Hills กลางโตเกียวได้ โดย *ไม่รู้สึกไม่ปลอดภัยระหว่างขับขี่เลย* (ต่างกับไทยพอสมควร)

ท่านเองล่ะครับ มีประสบการณ์ หรือ ข้อคิดเห็น อย่างไรบ้าง ?



GOBBS

ผมไม่มีประสบการณ์ต่างประเทศนะ
จักรยาน..ผมขี่ไปทำงานตลอดตั้งแต่สมัยเริ่มทำงาน จนเลิกทำ office มาทำร้านของตัวเองก็เหลือแค่ขี่ไปส่งของครับ
ขี่ไปทำงานใน กทม. 20กว่าปี โชคดีที่ทำงานสามารถอาบน้ำเปลื่ยนเสื้อผ้าได้
เคยใช้ทั้งรถพับ ลง MRT จากคลองเตยไปบางซื่อ ขี่จากราชบูรณะไปพระราม3 จากคลองเตยผ่านอโศกไปพระราม9 ไปทองหล่อ รัชดา ลาดพร้าว
หลังๆบางครั้งไปส่งของ หรือขี่จักรยานไปซ้อมที่สุวรรณภูมิ ก็ขี่บางนา ตราด อ่อนนุช ลาดกระบังบ้าง
ถามว่าขี่ยากไหม ถ้าไม่เคยขี่ก็ยากพอควรครับ(งานรองของผมคือขี่จักรยานแข่ง) แต่ถ้าค่อยๆเริ่ม มันก็ไปได้ไม่ยาก จนวันนี้มันเป็นกิจวัตรประจำวัน ขี่ไปก็ไม่รู้สึกอะไร
ปัญหาใหญ่ที่สุดของการขี่จักรยานใน กทม. ไม่ใช่สภาพถนนครับ สภาพ"คน" ปริมาณรถและนิสัยการขับขี่คนไทย แย่มาก...ผมว่าคุณเคยอยู่ญี่ปุ่นน่าจะเทียบได้นะ
เคยไปเที่ยวญี่ปุ่นเห็น คนขับรถเขาให้ความสำคัญกับคนเดินเท้า คนใช้ถนนอื่นๆ มากกว่าไทยมากๆเลยครับ
ถนน กทม.ถ้าช่วงวันหยุดยาว จะมีทริปจักรยานเสือหมอบล้อเล็กๆ เข้าไปขี่เที่ยวถ่ายรูปสวยๆประจำ....มันก็พอตอบได้ครับว่า ถนน กทม. ถ้าเอารถออกไป มันขี่ได้ไม่ยากเลย
........................
ส่วนเรื่อง รถสาธารณะ ปัญหาคือมันแย่มานานแล้ว จนคนฝังใจ และเป็นสิ่งที่ทำให้คนไทยต้องคิดว่า ถ้ามีเงิน ต้องซื้อรถแล้วจะสบาย...ต่อให้รถเมล์ดีขึ้น แต่พอเสพติดความสบายไปแล้วก็ยากจะถอนครับ แล้วทุกคนก็ซื้อรถ แล้วรถสาธารณะก็กลายเป็นที่สำหรับคนไม่มีทางเลือก เพราะงั้นบริการสาธารณะทำแพงไม่ได้เลย พอแพงไม่ได้ การบริการก็ตามสภาพ รถที่ตรงเวลาก็จะมีแต่รถแพงเช่นรถไฟฟ้า
และอีกอย่างนึงคือ...คุณเคยขึ้นรถเมล์เวลาที่รถไม่ติดไหมครับ...มาตรงเวลานะ ถึงรถจะน้อยก็เหอะ
ส่วนนึงที่รถเมล์มาไม่ตรงเวลา ก็เพราะรถติดไงครับ รถติดทำให้แต่ละคันเริ่มมาเลทขึ้น พอเลทเรื่อยๆ มันก็กลายเป็นทิ้งช่วง พอรถเข้าอู่บางคันแทบไม่ได้พักก็ต้องออกเพื่อชดเชยเวลา ถ้าจะบอกว่าก็เพิ่มรถสิ...เพิ่มรถ เพิ่มต้นทุน ขสมก.ถึงขาดทุนขนาดนี้ไงครับ ส่วนรถร่วมก็ไปลดต้นทุนที่คนขับ แล้วเราก็จะเจอข่าวเมล์ยกล้อกันนั่นละ
ถ้าจะให้รถสาธารณะดีขึ้น ต้องเริ่มไปด้วยกันครับ ทั้งคนขึ้น ใครไหว ใครขึ้นได้ ขึ้นเถอะ และองค์กรถ้าเห็นว่าคุ้มทุน คุ้มค่า เดี๋ยวเขาก็เพิ่มมาเองครับ
.....2006 honda jazz idsi
.....2015 mazda2 skyD
..ใช้รถเท่าที่จำเป็นกันเถอะครับ...รถมันติด



kiwiwi

ส่วนตัวก็พาลูกๆไปเที่ยวญี่ปุ่นปีนึงก็ 3-4 ครั้ง

ก่อนอื่น ใดๆก็แล้วแต่ เราต้องยอมรับสิ่งหนึ่งก่อนว่าบ้านเรารวมทั้งรอบๆบ้านเราอยู่ในเขตร้อนครับ เรื่องราวต่างๆหลายๆเรื่องจึงเทียบกันไม่ได้อย่างเป็นรูปธรรม

ญี่ปุ่น สามารถเดินเท้าได้ไกลกว่าโดยเหงื่อไม่ตกเว้นแต่หน้าร้อน ซึ่งไม่ยาวมาก

ไทย สิงคโปร์​ มาเลเซีย ไม่สามารถเดินเท้าได้ไกลเท่าญี่ปุ่น ไม่งั้นเหงื่อออก เหนียว เหนอะหนะ

การใช้ชีวิตประจำวัน เช่นการไปทำงานหรือต่างๆนานา จึงแตกต่างกันค่อนข้างมาก รุ่นสู่รุ่น

ช่วงหลังเอง ผมเริ่มมองหาการเที่ยวตามสถานที่ใหม่ๆของญี่ปุ่น เช่นชานเมือง หรือบ้านนอก หลายๆสถานที่ก็ต้องอาศัยรถขับไปเองครับถึงจะเข้าถึงได้

จุดเริ่มต้นของคมนาคมญี่ปุ่นในอดีต คือรถไฟเข้าถึงก่อน จึงโตเป็นเมือง และรัฐบาลญี่ปุ่นอยากให้เมืองโตเป็นแนวสูง ดังนั้นชัมชนจะเกาะกันโดยเริ่มจากสถานีรถไฟ

แต่ของไทย ไม่ได้วางแผนมาตั้งแต่ต้น การขยายเมืองจึงออกไปทางกว้าง ทำให้การขนส่งสาธารณะ​ออกแบบได้ยาก

พูดมาถึงตรงนี้
ผมนึกถึงตอนไปเที่ยวดิสนี่ย์ที่ ca เลยครับ ถ้าให้นั่งรถไฟจากตัวเมืองไป เรียกว่าลำเค็ญเลยกว่าได้ เมืองของเขาขยายในแนวกว้าง แะมโรงแรมถูกๆรอบๆดิสนี่ย์ ถ้าให้เดิน เรียกว่าเดินเป็นกิโลเลย ต้ิงอาศัยรถเมล์เอา แต่ก็ต้องเลือกโรงแรมให้ดี ไม่งั้นไม่มีรถเมล์ตรงไปดิสนี่ย์ เพราะผังเมืองของเขาก็คล้ายไทย คือขยายตัวตามแนวกว้าง เน้นรถยนต์เป็นหลัก

ส่วนเรื่องการขี่จย. จริงๆ ประเทศแถบเราก็โตมาจากการขี่จย.นะครับ แต่ตามสภาพอากาศ ร้อนเหนียวเหนอะหนะ จะขี่ไปทำงานก็ลำบาก จะขี่ไปทำธุระก็ลำบาก ประเทศเราจึงใช้ จยย.แทน
จนทำให้ละเลยถนนสำหรับจย.

เคยมีคนบอกว่า เมืองไทยมีซอยเล็กและซอยตันมากเกินไป... จึงทำให้ระบบคมนาคมมีจุดอ่อน
ช่วงโควิด ผมไปนอนกลางเมืองในกวงโจวและเสิ่นเจิ้นถึง 15 คืน ซัพพลายเออร์​ผมจองโรงแรมจิดรถไฟฟ้าให้ผม แต่เขาก็มารับผมทุกวันในวันที่ต้องทำงาา

ภาพที่ผมเห็นทั้ง 2 เมืองเลยคือ บ้านเขาก็มีมอไซค์รับจ้างด้วยนะ  แต่เขาต้องแอบบริการ
ถ้าใครมองว่าแปลกตา ผมก็จะบอกว่า นั่นแหละครับ มันเกิดจากการไม่ได้วางแผนตั้งแต่ต้น
รถไฟฟ้ามาหลังเมือง สภาพมันก็จะทุลักทุเลหน่อยๆ

ส่วนตัวไม่เคยคิดที่จะเทียบเรื่องราวแบบนี้เลยครับ ความเป็นมามันแตกต่างกัน

แต่สิ่งหนึ่งที่อยากตำหนิแรงๆต่อสมองของของรมต.ก.คมนาคม​ของไทยคือ
สถานีรถไฟที่เป็นจุดตัด 2 สาย มันจะทำให้ดีกว่านี้ไม่ได้เลยเหรอ สถานีบางหว้าคือ ได้สัมปทาน​มาใกล้ๆกัน สร้างพร้อม​ๆกัน เสร็จพร้อม​ๆกัน จะทำเป็น interchange แบบ less walk ไม่ได้เลยเหรอ

อย่างว่า สมองสุนัขปัญญากระบือ มันคิดอะไรไม่ได้ขนาดนั้นมั๊ง




apinui

ถ้าย้อนเรื่องขนส่งบ้านเรา ผมคิดว่า สมัยก่อน ช่วงปี 90 รถเมล์ไทยดีกว่าตอนนี้ที่มีรถไฟฟ้าทั่วเมืองอีกนะ

ตอนนั้นถ้าผมไปโรงเรียนสาย และต้องการทำเวลา ผมก็นั่งวินมอไซด์จากบ้าน ออกมาปากทางลำลูกกา และก็นั่งรถเมล์เล็ก สาย 34,39 พี่เค้าวิ่งแข่งกันแป็บเดียวถึงทันเวลาตลอด และรถเมล์มีมาก ปากทางลำลูกกามีแต่รถเมล์เป็น 10 สาย

สมัยนี้ รถเมล์น้อยลงมาก ใครมายืนรอทำใจได้เลย มันเลยทำให้คนที่รอรถเมล์นานๆ ทำเวลาชีวิตไม่ได้ เค้าก็ไปซื้อมอไซด์ขี่ไปทำงานกัน ทำให้รถมอไซด์เต็มเมืองไปหมดอย่างทุกวันนี้ ...

ส่วนเรื่องปั่นจักรยาน ผมคิดว่า แค่มายืนรอรถเมล์เฉยๆ เหงื่อก็ท่วมหลังแล้ว จะเอาอะไรมาปั่นจักรยาน เคสแบบนี้เราเทียบกับญี่ปุ่นที่เค้าหนาวกันทั้งปีไม่ได้หรอก

ตอนนี้คนไทยส่วนใหญ่รวมถึงผมด้วย ยินดีที่จะนั่งรถติดเป็นชั่วโมงอยู่บนถนน ดีกว่าไปนั่งรถติดบนรถเมล์ .... เพราะอย่าลืมว่า รถเมล์และรถยนต์ใช้ถนนเดียวกัน ถ้ารถยนต์ติดมีหรอรถเมล์จะไม่ติด ..ดังนั้นถ้ามันเป็นแบบนี้ มานั่งติดบนรถส่วนตัวเอร์เย็นๆเพลงเพราะๆไม่ดีหรอ



sk-non

แล้วแต่สถานที่ไหมครับ
ปีนึงลองนั่ง JR hokkaido
ลำบากชีวิตมาก แค่ CTS > kutchan
ล่อไปครึ่งวัน ขึ้นครั้งแรกอะไรก็ดีก็ชอบ
พอวันที่ 2 จะไปเที่ยวต้องคอยเช็คตาราง
ต่อรถบัสหอบกระเป๋า
เข้าเมืองหอบเครื่องดื่ม อาหารทะเล
กว่าจะกลับถึงที่พักอีก 3 ชม
บางช่วงเหมา taxi อีก

เอามาเทียบเช่ารถ + etc + ทางด่วนเหมา
+ น้ำมันแดง + ค่าที่จอด
ถูกกว่า (ผมไป4คน)
แถมแวะ lawson seigomart เข้าห้องน้ำ
หาของกินได้ตลอดทาง
(ผมเน้นนอนสกีรีสอร์ทบนเขา ยังไงก็ต้องใช้รถ)



helloweentz

ไทย ใช้ จักรยาน ไม่ได้ อันตรายมากๆ
BRV 2016
Mileage :  173,583
รายการซ่อม :
เกียร์
แอร์
โช๊คหลัง
ลูกยางยึดท่อ
เพลาขับ



Weetting

จากนักปั่นคนนึงเลย​สายทัวร์ริ่ง​ 

ถนนประเทศไทยเอื้อให้ทำความเร็วได้มากเกินไปครับ
 ถนนค่อนข้างดี​ กว้าง​  ทำให้รถไปได้ไว​  แต่กลับกัน​พื้นที่ปลอดภัยของถนนไม่ค่อยมีอะ​(อาทิไหล่ทาง​รึฟุตบาทกว้างๆ)​  คนขี่จักรยานแบบผมก็กลัวนะครับ

กลับกัน​ ที่อินเดีย​ การจราจร​วุ่นวายกว่าบ้านเราเยอะการการทำความเร็วไม่มาก​ แม้ถนนกว้างใหญ่แต่การขับรถเค้าไม่เร็วมาก​ ดูน่ากลัวน้อยกว่าไปซะเลย​ 

อึกประการเลย  บ้านเราไม่ค่อยให้ความสำคัญกับที่จอดจักรยาน​   ​แถวๆห้วยขวาง​ mrt​ มีที่จอดจักรยานค่อนข้างดี​ คนก็ปั่นพอสมควร

พอมาย้ายมาอยู่​แนวรถไฟฟ้าสีชมพูที่จอดดันหายาก​เลยไม่อยากปั่นมาจอดเพราะคันที่ปั่นแม้จะเก่าแต่ก็หลายพันอยู่

ผมปั่นทัวร์ริ่ง​ ผมไม่เคยคิดจะปั่นบนถนนพระราม๒ รึ​ บรมราชชนนีเลย​  2 เส้นนี้น่ากลัวกว่า​มิตรภาพเสียอีก​ เวลาจะไปสายใต้ผมจะเอาจักรยานขึ้นรถไฟไปลง​ จังหวัดเพชรบุรีแล้วค่อยปั่นไปต่อ


ส่วนเรื่องเหงื่อท่วม​ ต่อให้ไปปั่นเมืองหนาวๆ​อย่าง​ แม่ฮ่องสอน​ ถ้าต้องไปธุระต่อ​ มันก็ไม่ต่างกับกรุงเทพ​ รึ​ไทเป​ ก็ไม่ต่างกัน​ คือเอาเสื้อกับผ้าขนหนูติดไปดีกว่า​ อากาศ​ส่งผลค่อนข้างน้อย​ (ทั้งนี้ผมไม่เคยไปปั่นญี่ปุ่น)​
THE Manual Gearbox Preservation Society
Drive diesel until last day



IS2000

เคยไปญี่ปุ่นแบบเช่ารถขับทั้งทริปผมว่าได้อีกฟิลลิ่งนึงครับ แต่ค่าจอด+ค่าทางด่วนกินไปเยอะ แต่สิ่งนึงที่ชอบคือเช่ารถสปอร์ตไม่ยากครับเทียบกับอเมริกา ที่ญี่ปุ่นเช่า R35 กับ LC500 ขับไม่ต้องวางมัดจำด้วย ตอนผมอยู่อเมริกาอยากเช่า Porsche 911 ค่ามัดจำหลายพันดอลล่าร์ครับ แต่เวลาไปญี่ปุ่นแบบไม่เช่ารถก็ไม่ลำบากอะไรครับแต่เดินเยอะขึ้นและต้องเตรียมเวลาดีขึ้น

เคยใช้ชีวิตอยู่ในแอลเอสิบปีครับ ไม่มีรถนี่หนักยิ่งกว่าในกรุงเทพ ถ้าอยู่ชานเมืองรถเมล์รอนานมาก รถไฟใต้ดินก็ไม่ครอบคลุม ข้อดีคือรถเช่าที่เป็นรถตลาดถูกครับ บางทีจ่ายเรทรถคันเล็กได้อัพเกรดเป็นรถ d segment หรือใหญ่กว่านั้นตลอด ที่จอดหาไม่ยากแต่เดี๋ยวนี้แพงขึ้นเยอะครับ

ปล แต่ถนนทั้งที่ญี่ปุ่นและอเมริกาสภาพดีกว่าไทยมากครับ ช่วงล่างเดิมๆขับในอเมริกาอยู่ได้เป็นแสนๆ กม. โดยไม่ต้องซ่อม
1 3 5
├┼┼╕
2 4 6 R



เนื้อน่องไม่หนัง

ต้องเทียบเป็นที่ๆครับ เคยอยู่ CA GA WA ระยะสั้นแต่พอได้สัมผัสวิธีเขา รู้สึกได้เลยว่า US ต้องมีรถครับ
นอกจาก อยู๋ NYC หรือเมืองใหญ่มากๆ อาจใช้ Uber ขนส่งระบบรางแทนได้บ้าง รถเมล์ถ้าเมืองขนาดกลางๆก็มี แต่รอนาน ไม่ได้สะดวกเท่าไร่

กรุงเทพเอง ผมรู้สึกว่าเมื่อก่อน รอเมล์ครอบคลุมกว่านี้ครับ อาจเพราะเมืองขยาย ทำให้คนไปอยู่ชานเมืองมากขึ้นแต่ แต่ระบบขนส่งโตตามไปไม่ทัน
และการมาของ BTS MRT ทำให้จุดที่เคยเป็น Hub รอรถเมล์มันเปลี่ยนไป เมื่อก่อนจะมีป้ายใหญ่ที่รถหลายๆสายจะมาจอด ฝั้งธนเมืองก่อนจะมีพาต้า สนามหลวง หลังๆก็เงียบลงไป และรถไฟฟ้าที่สร้างมาก็ไม่ได้ไปจอดตามจุดนั้นๆ

ฝังเมืองเองก็มีส่วนมากๆ และน่าจะแก้ได้ยากมาก กรุงเทพ ชอบมีซอยลึก ถนนสองเลนสวนกัน บางทีเป็นซอยตันทะลุถนนอื่นไมไ่ด้ รถเมล์ก็วิ่งเข้ามาไม่ได้และข้างในเป็นชุมชนขนาดใหญ่ ยังไงก็รถติด  เช่นจรัญ 35 ที่มีราชพฤษก์ตัดผ่านมาระบายรถ บางกรวย-ไทรน้อย
กว่าจะออกไปทำงานต้องขึ้น มอไซ ต่อสองแถว ต่อรถเมล์ ต่อรถไฟฟ้า ต่อมอไซต์อีกที มั้งเวลาและ คชจ กลายเปนว่าซื้อรถแล้วขับฝ้ารถติดไป สบายกว่า
ตัวเมืองชั้นไหน ก็หนาแน่นขึ้น ตึก office / condo กระจุกกันแต่ถนนขนาดเท่าเดิม เลยติดขึ้นเรื่อยๆ
อย่าง US จะวางผังเมืองเป็น Block เลยมีเส้นทางให้เลือกใช้ได้เยอะขึ้น

ผมเองชอบขี่จักรยาน แต่ไม่กล้าขี่บนถนนเลยครับ รุ้สึกเอาชีวิตไปเสี่ยง
คนใช้ถนนขาดวินัยค่อนข้างเยอะ มอไซวิ่งสวน รถขับเร็วในจุดที่ควรช้า ช้าในจุดที่ควรเร็ว ขับขี้จนไม่เห็นว่าทางข้างหน้าเป็นยังไง ทางม้าลายที่ไม่เคยมีใครสนใจ
ผู้คุมกฏหมายก็คุมไม่อยู่

ตัวผมชอบความรู้สึกการขับรถต่างประเทศมากกว่าเยอะครับ วิ่งตาม Speed Limit + นิดหน่อย ไม่ค่อยมีกลุ่มที่ใช้ความเร็วสูงๆ
พอเกือบทุกคนใช้ความเร็วใกล้ๆกัน มันเลยไหลไปเรื่อยๆ ไม่ต้องพยายามแซงกัน กลายเป็นว่าขับแบบไหล ชิลๆ
เมื่อช่วง 5 ปีก่อน ถ.นครอิน ก็จะขับแล้วรู้สึกแบบนี้ เพราะมีกล้องดัก จับรถวิ่งเกิน 80

คิดว่าถนนเมืองไทย ทำมาไม่เหมาะกับการใช้ความเร็วครับ หลายๆเส้นที่ limit 120 มันไม่สามารถแช่ 120 ได้อย่างปลอดภัยเท่าไหร่ สภาพถนน ทั้งคอสะพาน หลุม จุดตัดทางเข้าออก
ป้ายจราจรก็ไม่ชัดเจน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 27, 2025, 13:03:28 โดย เนื้อน่องไม่หนัง »



DiKiBoyZ

ผมตอบแบบนี้ คุณอาจจะไม่ชอบ

เงื่อนไขแบบนี้ คุณเอาจากญี่ปุ่น มาใช้กับไทย ไม่ได้หรอกครับ

หรือ ต่อให้เอาญี่ปุ่น ไปเทียบกับอีกประเทศนึง ก็ไม่ได้เช่นกัน มันคนละสภาพแวดล้อม มันคนละบริบท กันเลย

ขนาดในประเทศเดียวกัน คนละเมือง ยังต่างกันเลย

ผมยกตัวอย่างนะ

ผมไปอยู่จีน ปักกิ่ง(หลายเดือน) และ เซี่ยงไฮ้(2 เดือน)

จากที่ผอยู่ ปักกิ่ง ผมว่า มันเป็นเมืองที่เขาปั่นจักรยานกันเยอะ (เยอะสุดในโลก) และ เป็นเมืองที่ปั่นจักรยานได้อย่างสบายใจมากๆ

เพราะ มีเลนจักรยาน แยกออกจากเลนรถยนต์ ไม่ใช่แยกเลนนะ แต่เป็น แยกถนน คนละเส้นเลย คล้ายๆ ถนนเลียบด่วน คู่ขนาน บ้านเราเลย ดังนั้น ไม่มีหรอก รถยนต์จะมีชนอะ

ขนาด รถมอเตอร์ไซต์ ยังไม่มีเลย อาจจะมีแค่สกูตเตอร์ไฟฟ้า บ้าง แต่ก็ไม่ได้เยอะ เพราะจักรยานที่นั้นมันมีทั้งแบบปั่นเอง แบบไฮบริด(ปั่นได้และไฟฟ้าได้) และ ไฟฟ้าล้วน อยู่แล้ว)

เพื่อนผม คนจีน มาอยู่ไทย ตอนนี้ซื้อ บิกไบต์ ขับ เขาดีใจมากและชอบมาก เพราะในจีน ขับไม่ได้

แต่...ถ้าคุณไป เซี่ยงไฮ้ มันจะไม่มีบรรยากาศแบบนี้เลย เพราะที่นี่ เขาจะใช้รถไฟฟ้าใต้ดินกันแทบทั้งนั้น อยู่ในหมู่บ้าน ในซอย ก็ต้องเดินมาขึ้นรถไฟฟ้ากันแทบทั้งนั้น มันไปได้ทั่วเมืองเซี่ยงไฮ้ชั้นในเลย

รถส่วนตัวก็มีบ้าง แต่ไม่อยากใช้กันหรอก หาที่จอดยาก ไปไหนมา ไม่ได้จอดได้เหมือนเรา

อีกตัวอย่าง ผมไปอยู่ อิตาลี มา 5 ปี ที่นั้น เขาใช้ขนส่งมวลชน เป็นหลักเลย

ในโรมเอง เขามีทั้งรถไฟฟ้าใต้ดิน(เรียกว่า เมโตร) ในไฟฟ้าบนดิน(เรียกว่า เทรโน่) รถไฟรางวิ่งในกรุงโรม(เรียกว่า ตรัม หรือ แทรม นั้นละ) และ รถเมล์ (ที่มีเวลา ถึงป้าย เป๊ะๆ มาก +/- ไม่เกิน 3 นาที)

จักรยาน มีบ้าง แต่จะเป็นนักท่องเที่ยวเช่าปั่นเป็นหลัก คนในพื้นที่เขาไม่ปั่นกันหรอก

รถยนต์ส่วนตัว จะขับไปไหน จอดรถ ต้องหยอดที่จอดรถ คนเขาก็เลยไม่ขับเข้าในเมือง แถมในเมือง ขับรถเร็วก็ไม่ได้ แค่ 20-40km/h ก็หรูแล้ว

รถมอเตอร์ไซต์ ก็น้อย จะมีก็พวก Vespa หรือ มินิไบท์ หรือ บ้านเราเรียกรถป๊อป มั้ง แบบ ไม่ถึง 100cc แบบว่า ขี่ ดีกว่า เดิน อะ

ถนนก็ไม่ได้เรียบ มันจะเป็นถนนที่พื้นผิวเป็นหมุด 6 เหลี่ยว (คล้ายๆ ตัวหนอนบ้านเรา) ทำให้พื้นมันไม่เรียบ มันจะสะเทือนๆ ตลอด

ถ้าไปต่างจังหวัด อย่าง ฟิเรนเซ่ (หรือ ฟอเร้นซ์ นั้นละ) หรือ มิลาน หรือ นาโปลี ก็นั่งรถไฟฟ้าความเร็วสูง ไปได้ สบายมาก ไปได้ทั่วประเทศเลย

ในเมือง แทบทุกเมือง เขาชอบเดิน ในระยะ 4-5 km เขาเดินเอาหมดครับ

ใครไปเที่ยว แล้ว เช่ารถขับ ถือว่า คิดผิดมากๆ ที่อิตาลี อะ

ดังนั้น ที่ผมเล่ามา บรรยากาศแบบนี้ มันก็ใช่ว่าจะใช้กับประเทศไทยได้นะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 29, 2025, 09:57:33 โดย DiKiBoyZ »



Devil13

เคยไปทำงานที่ญี่ปุ่น (เมืองรอง) ครับ
กับประเทศจีน
จีนไม่พูดแล้วกันเพระานั่งรถยนต์ตลอด ตั่งแต่หน้า รร. ถึงโรงงาน
ส่วนญี่ปุ่นปั่นจักรยานเป็นหลัก เพราะว่าไปอยู่นาน
ที่ญีุ่ปุ่น ปั่นจักรยานกันเป็นเรื่องปกติ นั่นแหละวิธีการเดินทางของผม ถนนดีมาก การจารจรไม่แออัด (เพราะเป็นเมืองรอง) และการจัดการผังเมืองเค้าดี ทุกคนไม่ต้องมารวมที่ถนนเส้นเดียว
ถนนแต่ละเส้นถูกวางเป็นบล็อกๆเหมือนฝรั่ง ผู้คนเคารพในกฏจารจรมาก บ้านเราขับ 120 บ่นช้า ที่โน้นกำหนดให้ 80 เอง ในเมืองให้ 60
เป็นประเทศที่ปั่นจักรยานแล้วรู้สึกสนุกนะ ด้วยความที่รถขับไม่เร็วเลยไม่รู้สึกถึงอันตรายด้วยมั้ง ที่จอดมีให้อย่างพอเพียง และสะดวกมากๆไกล้ประตู ทางเข้าสุดๆ เหมือนส่งเสริมทางอ้อม



pladaek

เห็นบ่อยครั้งมาหลายปีแล้ว กับการเอาประเทศไทยไปเปรียบเทียบกับต่างประเทศ
ที่เป็นประเทศที่โครงสร้างของประเทศมีการพัฒนาไปมากกว่าไทย
ผลที่ออกมามันก็เลยทำให้เมืองไทยดูแย่ไปเลย
ไม่ว่าจะญี่ปุ่นหรืออาเซียนใกล้เราอย่างสิงคโปร์

แต่ถ้าเราเทียบประเทศที่มีโครงสร้างที่ด้อยกว่าเรา
อย่างลาว เวียดนาม กัมพูชา ผมมีเพื่อนที่เป็นลาว กัมพูชา
เขาก็ว่าไทยเราดีกว่าประเทศเขาเยอะมากเช่นกัน..
ไม่ได้ขับรถเพื่อทำเวลาที่ดีที่สุด.. แต่ขับรถเพื่อเจอช่วงเวลาที่ดีที่สุด..



nobody123

ผมจขกท.นะครับ
ผมไม่ได้แค่พำนักระยะยาวที่ญี่ปุ่น แต่มีไปประมาณ 7-21 วัน หลายประเทศ บางประเทศไปหลายครั้ง ซึ่งบางที่ก็ขับรถ บางที่ก็ใช้ระบบขนส่งมวลชน และ มีโอกาสแลดูเมืองใหญ่/หลวง/ชนบท
ถ้าเราเทียบใกล้บ้านเรา ซึ่ง ผมไปมานาน คือ เวียดนาม
ผมพบจากแหล่งข้อมูลหนึ่งว่า อัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน เวียดนาม น้อยกว่าไทย ‘10 เท่าตัว‘ ครับ ซึ่งเป็นเรื่อง(ไม่)น่าแปลก ที่อัตราการมีมอเตอร์ไซค์ต่อครัวเรือน = ไทย
แต่ *คนนั่งมอเตอร์โซค์ทุกคนในโฮจิมิน ใส่หมวกกันน็อก และ ผมไม่เคยเห็นมอเตอร์ไซค์สวนเลนในเวียดนามเลยครับ*
นอกจากนี้ ถนนที่นั่น ก็ Chaotic ไม่แพ้กทม.เลย อันนี้วัดไม่ได้ แต่รู้สึก เช่น รถเมล์ก็ใหญ่ ขับก็ไม่ได้เชื่องช้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 27, 2025, 19:26:13 โดย nobody123 »



Symphonic

เคยอยู่ญี่ปุ่นมานาน จริงๆ คงรู้แหละว่ามีดีมีเสียเมื่อเทียบกับไทย
แต่บางอย่างก็แกล้งๆ ลืมใช่มั้ยครับ

อย่างอากาศ จริงอยู่แหละว่าไทยมันร้อนทั้งปี ฝนตกก็ท่วม
แต่ญี่ปุ่นมันก็มีทั้งร้อนสุดๆ หนาวสุดๆ ไม่ใช่เหรอ
แถมฝนตกเรื่อยๆ ทั้งปี ใน 1 สัปดาห์ต้องมีฝนอย่างน้อย 2 วัน
และมันตกทั้งวันด้วย ขี่จักรยานในวันฝนตกมันไม่สนุกนักหรอกครับ

อีกอย่างสำหรับคนขี่จักรยานประจำวัน เส้นทางที่ไปมันต้องมี
เนินนรกบ้างหรอกน่า บ้านเมืองเขาเป็นภูเขา ไม่ได้เป็นที่ราบ
แบบบ้านเรา อันนี้คนไม่เคยอยู่จะนึกไม่ออก

รถไฟล่ะ ที่ว่าสะดวก เอาจริงคือเครือข่ายในเมืองมันสะดวกนะ
แต่ต้องแลกกับความแน่นเป็นปลากระป๋องกับระยะทางเดิน
ในสถานีที่ยาวไกล
ส่วนถ้าต่างจังหวัดก็จะเจอกับตารางรถไฟที่ไม่ถี่นักเหมือนกัน
ก็ใช่ว่าจะสะดวกไปซะทั้งหมด

จริงๆ แล้วคนญี่ปุ่นที่อยู่ในไทยมันก็ชอบนะที่บ้านเรามีวินมอเตอร์ไซค์
มีรถกระป้อวิ่งเข้าซอย ไม่ต้องเดิน

คือมันมีดี มีด้อยแหละครับ แม้ว่าโดยภาพรวมจะดีกว่าบ้านเรา

แต่ที่เด็ดคือ ทางระหว่างจังหวัด บ้านเราขับรถจากกรุงเทพไปเชียงใหม่
เจ็ดร้อยกว่า กม. นี่ วิ่งฟรีนะครับ ส่วนที่ญี่ปุ่นนั่นค่าผ่านทางต้องมี
14,000 เยน สำหรับ 700 กม. นั่นแหละครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 28, 2025, 19:02:56 โดย Symphonic »



WASADM

ระบบขนส่งแพงมากกกกก เพราะรัฐไม่ควบคุม
ยกตัวอย่าง ผมไปทำงาน เมืองทองธณี - รถไฟฟ้าเพลินจิต

ขับรถไปเอง
ทางด่วน ไป-กลับ 120
ค่าน้ำมัน 100
ค่าเสื่อมรถยนต์ 60
>> 120+100+60 = 280

นั่งรถไฟฟ้าไปเอง
ค่าวินมอไซต์ไปสถาณีเมืองทอง ไป-กลับ 60
ค่ารถไฟฟ้า ไป-กลับ 196
>> 196+60 = 256

ส่วนต่าง 20 บาท แลกกับความสบาย คุ้มมากอ่ะ



nobody123

ผมจขกท.นะครับ
พึ่งขึ้นรถเมล น่าจะครั้งแรกในรอบปี* ไปรับ BM ที่เข้าศูนย์ นั่งฟรีด้วยสัปดาห์นี้
(BM เก่าเกิน 10 ปี Performance motor ลดค่าอะไหล่ 15% นะครับ และตอนนี้ได้ Easy e-receipt ด้วย)
รู้สึกอย่างแรงตรงวัยกลางคนนี่ว่า รถเมล์ขับ-เร่ง-จอด 'เกินคนวัยเกษียณรับได้' ไปมากกกกกกกกกก ครับ
ไม่ต้องสายแปด ก็ เรียกว่าโหดสำหรับผู้สูงอายุแล้ว
ผมขึ้นรถโดยสารสารธารณะต่างประเทศ (รถเมล์ญี่ปุ่น) *บ่อย* ไม่รู้สึกอย่างนี้เลย
คือ ขับดีมากกกกกกกกกกก
อย่าง แม่ผม และ หลายคน ล้ม เพราะ รถเมล์ เร่ง บางคน แท้งลูกนะครับ (แม่ผมด้วย)
บางคนโดนทับออกข่าว นี่ ไม่ไหวนะ
ส่วนตัว หมดหวังกับรถเมล์ จริงจังครับ จากคนใช้ประจำสัปดาห์ละครั้ง เป็น ไม่ใช้เลย
(อยากให้ขสมก.ไปดูงานญี่ปุ่น เป็นต้น)
ผมว่า เงินเดือนคนขับรถ ขสมก. ไม่น้อยนะครับ ถ้า Enjoy งานนี่ เป็นงานที่หารายได้ได้ดีเลย แต่ ...
คือ ตอนนี้ถ้าเข้าโหมดรักษ์โลกนี่ ผม
1. ขับ PHEV เข้าเมือง (ผมไม่มี BEV โดย กำลังลองบางเจ้าอยู่ เผื่อรถที่มีอยู่เสีย แต่ดีสุดคือได้ BEV Solid-state bat ที่คลีนตั้งแต่ผลิต)
2. ใช้รถไฟไฟฟ้า เข้าเมือง
ปล. อย่าปรามาส รถยนต์ PHEV ว่า ไฟหมดปล่อยมลพิษนะครับ ในจีน BEV:PHEV ประมาณ 50:50 เขาก็อากาศสะอาดขึ้นได้ ชัดเจน โดยกริดเขา ใช้ Renewable energy มากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ครับ
(จะว่ากันตามตรง ว่าด้วยความคลีน ทั้ง บ้านเขา บ้านเรา เรียกว่า กริดไม่คลีน ครับ)