Mini Review : ORA GoodCat 500 Ultra กับคนที่ไม่เคยขับรถไฟฟ้าเลย

ToRToNGPaT

Mini Review : ORA GoodCat 500 Ultra กับคนที่ไม่เคยขับรถไฟฟ้าเลย




กราบสวัสดีพี่ๆและเพื่อนๆ สมาชิก Headlightmag Web board ทุกท่านครับ พอดีมีโอกาส ได้ เจ้าเหมียวไฟฟ้า มาขับใช้งานใน 7 วัน เลยตั้งใจจะ Share ประสบการณ์การลองใช้รถไฟฟ้าของคนที่ไม่เคยขับรถไฟฟ้ามาก่อน เขียนลง Facebook ส่วนตัว คิดไปคิดมา ไหนๆก็เขียนแล้ว เอา Post ลงที่นี่ด้วยเลยละกัน

สำหรับต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นในคืนนึงของช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ระหว่างที่ผมกำลังขับรถ Honda HR-V e:HEV  A.K.A น้องหมูแดง คันที่เคย Review เพื่อกลับบ้านหลังเลิกงานดึก แล้วก็มีฝนโปรยปรายลงมา จู่ๆก็มีคุณพี่ Vios มาชนท้าย เต็มๆ จนผมแอบเซ็งว่า รถพังเยอะแน่ๆ

พอลงไปดูสภาพด้วยตาเปล่าแล้ว มันก็ดูไม่เป็นอะไรมากนะ หนักหน่อยคือ หน้าจอขึ้นเตือนว่า ระบบ Smart Key ใช้ไม่ได้ (แต่พอจอดซ่อมเท่านั้นแหละ รู้เรื่อง)  ส่วนคุณพี่ Vios ไฟหน้าแตก กันชนเกือบหลุด ฝากระโปรงหน้าบุบ หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องของการเรียกประกัน ซึ่งพี่คู่กรณีของเราน่ารักกับเรามากๆ ทั้งขอโทษขอโพย ตลอดเวลา แล้วก็ยอมรับผิดกับประกันแบบไม่มีอิดออดหรือเล่นแง่แต่อย่างใด ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนิดๆ ก็แยกย้ายกัน

Step ต่อไป ผมเอาไปประเมินความเสียหายที่ศูนย์ แล้วก็รอ Process ประกันอนุมัติงานซ่อมและจัดเตรียมอะไหล่ จากนั้นศูนย์ฯก็แจ้งนัดจอดรถซ่อม ช่วงหลังสงกรานต์ ประเมินระยะเวลาซ่อมไว้เบื้องต้นที่ 7 วัน 

ทีนี้แหละ ปัญหาเกิด ผมกับแม่ไม่มีรถขับไปทำงาน ซึ่ง ช่วงนี้ เดินทางไป – กลับ เกือบ 70 กิโล/วัน  แถมรถพ่อกับรถญาติที่พอจะยืมได้ ดันมีคนใช้หมด เอาหละสิ ทำไงดีหละ

แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า เราเป็นฝ่ายถูก และคู่กรณีมีประกัน เราสามารถเรียกค่าขาดประโยชน์โดยเอามาเป็นค่าเช่ารถใช้ระหว่างซ่อมได้ ก็เลยโทรไปสอบถามประกันของคู่กรณีเกี่ยวกับจนได้ข้อมูลตามที่ต้องการมาเรียบร้อย ก็เริ่มหารถเช่า แล้วก็เกิดปิ๊ง idea ขึ้นมาพอดีว่า “ลองเช่ารถไฟฟ้ามาขับก็ดีนะ” ก็เลยหาข้อมูล หาบริษัท และดู Rate ราคาตามเงื่อนไขที่ประกันแจ้งข้อมูลไว้ แล้วก็ตกลงปลงใจกับเจ้าเหมียวไฟฟ้าคันนี้ นั่นเอง




เจ้าเหมียวไฟฟ้าคันนี้ก็คือ ORA GoodCat 500 Ultra สี Hazel Wood Beige (ผมเรียกสีครีมหลังคาน้ำตาล) รถไฟฟ้ารุ่นแรกจากค่าย GWM ที่มาเปิดตัวในไทยนั่นเอง

สำหรับการเช่ารถยนต์คันนี้ ผมเช่ากับ EV Me ในรูปแบบที่เป็น Short term Package ซึ่งเป็นแบบมีกำหนดระยะเวลาในการเช่าแบบ Fixed เลย (3 วัน / 1 สัปดาห์ / 1 เดือน เป็นต้น) โดยผมเช่า 1 สัปดาห์ (7 วัน) สนนราคาหลังหักส่วนลดแล้วอยู่ที่ 10,101 บาท ซึ่งการเช่าเป็น Package นั้น จะมีข้อดีตรงที่ ราคานี้จะรวมประกันภัยชั้น 1 แบบไม่มีค่าเสียหายส่วนแรก และรวมบริการส่งรถ – รับรถให้ตามเวลาและสถานที่ๆ เราต้องการด้วย แถมในรถบางรุ่น อย่าง ORA คันนี้ สามารถเลือกสีของรถที่จะเช่าได้ ถ้าสีนั้นมีคิวว่างในช่วงที่เราเช่านะ หากเป็นเช่าแบบยืดหยุ่น แล้วต้องการประกันภัยชั้น 1 กับบริการส่งรถ เพิ่มนั้น ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มซึ่งรวมแล้วราคาสูงกว่า และไม่มีสีให้เลือก




มาถึงวันรถรับ ผมให้เอารถมาส่งให้ที่ศูนย์ Honda ในวันที่ผมเอารถมาจอดซ่อมสีเลย จะได้มีรถขับต่อทันนี้ โดยหลังตรวจสภาพรถกับเจ้าหน้าที่แล้ว เจ้าเหมียวสีครีมคันนี้ เลขไมล์อยู่ที่ 61,500 นิดๆ กับอายุประมาณ 3 ปีกว่าๆได้มั้งนะ (อนุมานจากหมวดทะเบียน 3ขก) ซึ่งสภาพรถโดยรวมถือว่าดีทีเดียว

พอรับรถเสร็จ ก็ขับออกมาเลย เริ่มจากค่อยๆขับช้าๆ ไหลๆไปตามการจราจรก่อน เพื่อให้ตัวเองชินกับรถก่อน ทั้งคันเร่ง เบรก และการกะระยะรอบรถ ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็เริ่มเข้ามือแล้ว หลังจากนั้นก็เริ่มตะลุยทำธุระต่างๆ และเนื่องจากเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ก็เลยได้มีโอกาสลองทั้ง ขับไปห้าง ขับไปกินข้าว วนไปในเส้นทางและการจราจรหลายๆรูปแบบ แถมวันนั้น เจอครบเลยทั้ง ฝนตก แดดออก มีน้ำรอระบาย พอหมดช่วงสุดสัปดาห์ ก็เข้าสู่วงเวียนการขับรถ จากบ้าน - ที่ทำงาน - บ้าน วนลูปไปอีก 5 วัน จนวันสุดท้ายที่ส่งรถคืน

ตลอด 7 วันกับระยะทาง 400 K.M. นิดๆ ในเจ้าเหมียวไฟฟ้าคันนี้ มันก็มีทั้งจุดที่ผมประทับใจและไม่ประทับใจอยู่หลายอย่าง




เริ่มจากภายนอกคันนี้ ผมรู้สึกว่า รถคันนี้ ไม่ว่าจะมองมุมไหน มันดูน่ารักปุ๊กปิ๊กมากๆ ชอบความกลมๆ มนๆ ของตัวถัง ยิ่งคันที่เลือกมา เป็นสี Hazel Wood Beige ตัวถังสีครีมตัดหลังคาที่น้ำตาล ผมรู้สึกว่ารถมันเหมือนก้อนไอศกรีมวานิลลา ที่ราดคาราเมลไว้ด้านบน 

อีกจุดที่ประทับใจมากๆคือ ประตูรถมันกว้างและเปิดได้กว้างมาก ทำให้มันขึ้นรถสะดวก ซึ่งจุดนี้แม่ผมซึ่งเป็นผู้โดยสารในทุกๆวัน ชมทุกวันเลย




ต่อด้วยภายใน ตอนเข้าไปครั้งแรก ผมสะดุดตากับโทนสีน้ำตาลที่ใช้ตกแต่งบนคอนโซลด้านบนกับวงพวงมาลัย มันโทนที่เข้มและอมแดงแบบพอดีๆ เหมาะที่จะตัดกับ สีผ้าหลังคา สีเบาะ และจุดอื่นๆที่เป็นสีขาวครีมๆ ที่ตกแต่งมา ยอมรับเลยว่า จากคนที่ขับรถภายในโทนดำมาตลอด พอมาเจอคันนี้ ผมชอบสีภายในมากๆ เสียดายที่คันนี้ เบาะนั่งมันดูมอมๆนิดนึง คงเพราะเป็นรถเช่าที่ผ่านการใช้งานหลายมือ ถ้าดูแลดีๆ คงสวยขึ้นไปอีก

จุดสำคัญอีกที่อย่าง ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ ความโอ่อ่า กว้างข้างของภายในรถ ซึ่งผม Surprise มาก เพราะเวลาเห็น GoodCat บนถนน รถมันดูคันเล็ก แถมตอนที่บอกว่าจะเช่าคันนี้ แม่ผมยังบ่นเลยว่า มนุษย์ Size 6XL อย่างผม จะนั่งสบายหรอ พอได้เข้ามานั่งและขับจริงๆ เฮ้ย รถโคตรกว้าง นั่งแล้ว ไหล่ไม่ชน คอนโซลกลางไม่เบียดขา พื้นที่วางขามีพอสำหรับทุกที่นั่ง ขนาดผมกับแม่ถอยเบาะเยอะ แล้วมีน้องที่ทำงานมานั่งเบาะหลังติดรถกลับบ้านด้วยทุกวัน ชั่วโมงๆ ก็ไม่อึดอัดเลย แถมหลังคาก็สูงโปร่งตามทรงของรถ และยิ่งตอนกลางคืน ผมเปิดม่านบังแสงตลอด ยิ่งดูโล่ง โปร่ง สบายขึ้นไปอีก




สำหรับเรื่องการขับขี่นั้น ผมได้ลองทั้งขับในเมืองรถติดๆหนัก เลี้ยวเข้าตรอกซอกซอย และใช้ความเร็วบนทางด่วน สิ่งที่ผมประทับใจมากๆคือ การคล่องตัวในการขับขี่ รถมันขับได้คล่องมากๆ รถมันกะง่ายและคล่องตัวดี น้ำหนักพวงมาลัยก็ดี (มีเลือก 3 ระดับ เบา / สบาย / สปอร์ต ผมใช้ สบาย) รวมถึง Handling โดยรวมของรถ ผมว่าขับช้าก็ OK ขับเร็วสัก 120 – 130 ก็ยังมั่นใจได้อยู่ อาจจะเป็นเพราะแบตเตอรี่ถ่วงรถไว้ด้วย ทำให้รู้สึกว่าขับเร็วแล้วรถไม่ลอย

เรื่องพละกำลัง เจ้าเหมียวคันนี้พกม้ามา 143 ตัว ขับเคลื่อนล้อหน้า อัตราเร่งสำหรับผม ผมว่าพอแบบสบายๆ ได้ลองกดคันเร่งสุดตอนเร่งขึ้นทางด่วน รถมีแรงดึงแบบรู้สึกได้เลยว่าหลังติดเบาะ แต่ไม่ได้กระโจนออกแบบรถไฟฟ้าแรงม้าสูงๆ ซึ่งผมว่า แค่นี้ก็พอสำหรับรถใช้งานบ้านๆทั่วไปแล้วแหละ

 สำหรับ ช่วงล่าง ส่วนตัวจะคุ้นเคยกับ Feeling ตึงตังๆ ใน HR-V พอมาขับนี้ ผมว่าไม่ค่อยต่างกันมาก ทั้งขับในเมืองและบนทางด่วน เพียงแต่บางจังหวะที่ขับบนถนนที่ไม่เรียบ โดยเฉพาะที่เป็นถนนพื้นคอนกรีต รถมันมีอาการสะเทือนขึ้นมาชัดเจน จนพ่อกับแม่ผมบ่นว่ารถมันแข็งเกินไป ทั้งนี้ บริษัท เขา Set ลมยางคันนี้มาให้ที่ 38p psi ไม่แน่ใจเป็นค่า Standard ของ GoodCat หรือเปล่า ซึ่งผมว่าจุดนี้แหละน่าจะมีผลให้รู้สึกว่ารถมันสะเทือน ถ้าปรับลงเหลือสัก 33 – 34 น่าจะดีขึ้น

มาต่อกันที่ ระบบต่างๆและ Option ของตัวรถที่ให้มา ซึ่งรถคันนี้เป็น ORA GoodCat 500 Ultra ที่ประกอบและนำเข้าจากจีน โดยตอนที่เปิดตัวมันคือรุ่น Top สุด ก่อนที่ GoodCat GT จากตามเข้ามา และพอเปลี่ยนมาประกอบไทที่ยังขายอยู่ ก็มีปรับรุ่นย่อยและ Option อีก รวมถึงพอมันเป็นรถเช่า บาง Option เช่นการเชื่อม App ก็ไม่ได้มีให้ใช้ ดังนั้น ผมจะขอเล่าเฉพาะที่ได้ลองใช้นะครับ




1.   หน้าจอมาตรวัดขนาด 7 นิ้ว
ผมค่อนข้างชอบเลย โดยเฉพาะการที่ใช้พื้นหลังเป็นโทนดำ มันช่วยให้มองแล้วไม่แสบตา ส่วนตัวหนังสือ ลูกเล่น และ Graphic  ต่างๆ ผมว่ามันก็แสดงข้อมูลได้ชัดเจนและอ่านง่ายดี จะมีแค่ Logic การทำงานบางอย่างที่แปลกๆ งงๆ อยู่นิดหน่อย แต่ไม่ได้เป็นประเด็นสำคัญ



2.   หน้าจอ Infotainment ขนาด 10.25 นิ้ว แบบ Widescreen
มันคือศูนย์รวมของการปรับตั้งค่าทุกอย่าง ศูนย์รวมความบันเทิง และศูนย์รวมการแสดงต่างๆ ของรถคันนี้ จอมันชัดพอสมควรและมองเห็นง่ายนะ เพียงแต่ Software บางอย่างยังมีความเอ๋อๆ งงๆ อยู่ โชคดีที่ตลอด 7 วันที่ใช้งาน ผมไม่เจอปัญหาถึงขั้นต้องกดปุ่มตัดไฟรถแล้ว Lock – Unlock รถเพื่อ Reset ใหม่ หลักที่เจอจะเป็นเวลาที่ต่อกล่อง CarPlay แล้วสักพัก จอเด้งกลับไปหน้า Home เองบ้าน หรือบางที่ผมเปิดหน้าจอดู % แบต ค้างไว้ สักพักก็เปลี่ยนไปจออื่นๆเอง เป็นต้น แล้ว User Interface กับ Logic งานใช้งานก็แปลกๆ งงๆ แอบใช้งานยากอยู่ โดยเฉพาะการปรับแอร์ ที่วุ่นวายมากๆ จนบางทีผมใช้การสั่งการด้วยเสียงแทน ซึ่งระบบมันก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง



3.   กล้อง 360 องศา และ Sensor รอบคัน
GoodCat 500 Ultra ให้กล้องมา 4 ตัว กับ  Sensor 12 จุด ซึ่งผมว่ามันก็ทำงานได้ Ok นะ แต่ภาพที่แสดงเป็นกล้องรอบคันแอบมองยากนิดนึง มุมมันดูหลอกๆตาไปหน่อย แล้วยิ่งมีแถบ Sensor มาแสดงผลทับกัน ยิ่งมองยากขึ้นไปอีก แต่มีจุดนึงที่เป็น Gimmic และผมชอบคือ Sensor มันจับระยะและแสดงระยะห่างบนจอเป็นจำนวนเซนติเมตรได้เลย แล้วพอใกล้มากๆ มันขึ้นคำว่า “หยุดเถอะ” แปลกแต่ตลกดี

4.   ระบบปรับอากาศ
“ GoodCat แอร์เย็นมาก”  นี่คือคำพูดที่เจ้าหน้าที่ส่งรถบอกผม ตอนที่ผมเรื่องฟิล์มติดรถ เพราะผมกลัวว่ากันความร้อนไม่ได้แล้วรถจะร้อน ซึ่งผมกับแม่ขี้ร้อนกันทั้งคู่ พอมาใช้จริง เออ แอร์เย็นสะใจจริงหวะ ขนาดขับตอนกลางวัน อุณหภูมิภายนอกขึ้นบนจอ 40 องศา ผมเปิดแอร์ 23 Auto นั่งกัน 3 คนในรถ แอร์เย็นฉ่ำสะใจมากๆ ผมว่าสู้แอร์ของ Toyota Honda ได้สบายๆ

5.   ระบบเบาะนวดฝั่งคนขับ
ตอนแรกไม่ได้คาดหวังว่ามันจะ Work เพราะเคยนั่งรถที่มีเบาะนวดแบบลมแล้วมันรู้สึกเฉยๆ แถมเบาะนั่ง GoodCat มันก็ออกแนว แบนๆเรียบๆ ไม่โอบตัวเท่าไหร่ แต่พอได้ลองใช้ เฮ้ย มันนวดใช้ได้เลยนะ เข้าใจว่าน่าจะป็นลูกกลิ้งแบบเก้าอี้นวด ช่วยให้ความสบายตอนขับรถได้ Ok อยู่นะ แต่ระบบตัดเร็วไปหน่อย ต้องคอยกดเปิด ซึ่งจอก็ใช้ยากเย็นอยู่ ถ้าเปิดได้ครั้งละนานๆก็ดี

6.   Wireless Charger
ติดตั้งมาตรงคอนโซลกลาง ขนาดช่องพอสำหรับวาง iPhone 15 Pro Max ได้ แต่พอลองใช้งานจริง ไม่ Work สำหรับผม ไฟเข้าแบบติดๆดับๆ  ทำให้เสียงเตือนเวลาที่ระบบทำงานมันเดี๋ยวดัง เดี๋ยวดัง ยังดีที่มันปิดระบบผ่านหน้าจอได้ ผมเลยปิดไว้แล้วเอาโทรศัพท์วางเฉยๆแทน



7.   Adaptive Cruise Control
เป็นอีก 1 จุดที่ผม Surprise มากๆ ไม่มีโอกาสลองบนทางด่วน ผมรู้สึกว่า การเร่ง เบรก และลดความเร็ว ตอนใช้ ACC นั้น มัน Smooth มากๆ โดยเวลาที่มีรถเข้ามาแทรก รถค่อยๆเบรกแบบนิ่มๆ แล้วพอข้างหน้าโล่ง รถก็เร่งแบบเนียนๆ เลย เอาจริงๆ ผมว่า ถ้านับเฉพาะ ACC อย่างเดียว ไม่รับ LKAS นะ GoodCat ทำได้เนียนนุ่มว่า HR-V ผมอีก ซึ่งผมเองไม่แน่ใจว่า GoodCat ใช้แค่ ADAS Cam เหมือน HR-V หรือมี Radar ด้วย

8.   ระบบเตือนและรักษารถให้อยู่ในเลน Lane Departure Warning / Lane Keeping Assist 
เราเลือกตั้งได้ว่าจะให้เตือนอย่างเดียว หรือ ให้ช่วยคุมรถอยู่ในเลน แถมตั้งได้ว่าให้เตือนด้วย เสียง หรือการสั่นที่พวงมาลัย หรือ ทั้ง 2 อย่าง ซึ่งเท่าที่ลองใช้ ผม Ok ระบบเตือนออกนอกเลน มันจับได้แม่นอยู่แต่จะไวไปนิดนึง ทำให้เตือนบ่อย ซึ่งแนะนำว่าเปิดเฉพาะการสั่นไว้ดีกว่า ส่วนระบบรักษารถในอยู่ในเลน ผมว่ามันมีอาการดิ้นซ้าย-ขวาอยู่นิดๆ แล้วจับเข้าโค้งไม่เนียนเท่าใน HR-V ที่ใข้ประจำ ผมเลยไม่ค่อยจะใช้เท่าไหร่

9.   Blind Spot / RCTA / RCTB
Blind Spot ของคันนี้ ผมว่ามันจับรถแม่นนะ แต่ระยะมันจะไกลและกว้างไปหน่อย บางจังหวะผมเปิดไฟเลี้ยวเพื่อเปลี่ยนเลน ก็มีไฟเตือนกับเสียงเตือนดัง แต่จริงๆ รถอยู่ไกลแบบที่ปลอดภัยชัวร์ แล้วเวลาเสียงเตือนดังมรถมันตัดเลี้ยวไฟเลี้ยวออกด้วย ส่วน RCTA กับ RCTB นั้นก็ทำงานได้ดี ผมได้ลองใช้ RCTB ไป 1 ครั้ง เพราะรถมันจับ รปภ. ที่โบกรถให้ตอนผมถอบ แล้วรถก็เบรกเอง

10.   ระบบช่วยถอยจอดอัตโนมัติ
ได้ลองใช้ครั้งนึง เป็นแบบถอยเข้าซอง ซึ่งจริงๆรถมันก็ถอยจอดได้นะ อยู่ในช่องด้วย แต่มันเอียงนิดๆ แล้วตอนที่มันถอย ผมว่ามันน่ากลัวอะ มันค่อนข้างเร็วและเข้าใกล้พวกเสาหรือรถข้างๆ แบบที่เรามองกล้องและแถบวัดระยะ Sensor คือมันจะชนแล้ว ผมเลยใช้คันเดียวพอ ไม่เอาแล้ว



มาถึงจุดที่ผมไม่ประทับใจในรถคันนี้บ้าง เอาจริงๆ หลายๆอย่างก็บ่นไปข้างบนแล้ว แต่ก็มีบางเรื่องที่อยากจะบ่นเพิ่มเติม และรู้สึกขัดจริงก็จะมี ประมาณ 6 เรื่อง มีดังนี้

การเก็บเสียงลมในความเร็วสูง
นี่คือจุดที่ผมเกลียดที่สุดในรถคันนี้ เวลาขับในเมืองช้าๆอะไม่รู้สึกว่าเท่าไหร่ พอขึ้นทางด่วนเท่านั้นและ ช่วงที่ความเร็วต่ำกว่า 100 K.M./H ยังพอรับได้ แต่พอเกิน 100 ปุ๊ป เสียงกระหึ่มพอๆกับเวลาเอาลมมาเป่าไล่น้ำหลังล้างรถ พยายามเปิดวิทยุ เปิดเพลงกลบแล้ว เอาไม่อยู่จริงๆ บางช่วงเริ่มทนไม่ไหว ยอมลดความเร็วลงมาต่ำกว่า 100 เอา

รถไม่จำค่าที่ตั้งไว้ในบางเรื่อง
   ตอนได้รถมาผมก็ตั้งค่านู่น นั่น นี่ ให้เหมาะสมกับการใช้งานนะ แต่บางค่ามัน Reset ทุกครั้งที่ขึ้นมาขับใหม่ ที่กวนใจผมสุดของ ระดับการหน่วงเพื่อ Regen พลังงานคืน ซึ่งจะเด้งกลับไปที่ สูง ทุกครั้ง ส่วนตัวผมชอบให้มันอยู่ในระดับปกติ เหมือนรถทั่วๆไป ทให้เวลาจะขับทีก็ต้องตั้งที แถมบางทีลืมตั้ง ก็ต้องขับแบบ Regen สูง แล้วมันมีอาการหัวทิ่มเวลาขับรถ แล้วถ้าจะตั้งตอนขับอยู่ก็กดยากพอสมควร

สวิตซ์เกียร์แบบหมุน
   จริงๆมันใช้งานง่ายนะ แต่บางทีเวลาที่จะเปลี่ยนจาก R  D หรือ D  R เร็วๆ เช่นเวลาจะถอยจอดหรือ กลับรถไม่พ้นแล้วจะถอย ผมหมุนแล้วเกียร์ไม่เปลี่ยน เลยมีจังหวะตกใจบ้างเวลาแตะคันเร่งออกแล้วเป็นคนละเกียร์ ส่วนนึงอาจจะเพราะเหยียบเบรกยังไม่สุดก็เป็นได้ อีกประเด็นคือ ปุ่มมันหมุนแบบ Infinity ผมว่าถ้าทำให้มันหมุนได้แค่ตาม Step เกียร์ น่าจะ Work กว่า แต่ตอนนี้เข้าใจ่วา GoodCat ที่ประกอบไทย เปลี่ยนไปใช้การเข้าเกียร์ที่คอพวงมาลัยแบบเดียวกับ Benz แล้ว

แป้นเบรกอยู่สูงมาก
   ตอนขับครั้งแรก ผมแอบกลัวนะเพราะเวลาจะเบรก ต้องยกเท้าขึ้นมาเยอะมาก เพราะแป้นเบรกมาขึ้นมาสูงเกิน แบบที่ผมลองเอาเท้าถอดไปหลังแป้นได้เลย อันนี้ควรปรับปรุง

รถขับง่ายนะ แต่ถอยจอดยากมาก
   อย่างที่เล่าไปข้างบนว่า รถขับง่ายขับได้คล่องตัว แต่ผมดันมีปัญหากับการถอยจอดเข้าซอง แล้วดันเป็นช่องทุกที่ ทั้งที่ตามปกติขับ HR-V ถอยอย่างมาก 2 รอบก็ได้แล้ว มาคันนี้แต่ละต้องมีอย่างน้อยๆ 3 – 4 ครั้ง แถมคันนี้มีทั้งกล้องมองหลัง กล้อง 360 และ Sensor แล้วก็มองกระจกข้างประกอบด้วยแล้ว ก็ยังต้องถอยหลายรอบ รู้สึกว่ามุมมองมันแปลกๆยังไงไม่รู้ ที่สำคัญ ตอนแรกนึกว่าเป็นคนเดียว เลยลองให้เพื่อนๆพี่ๆมาลองถอย ทุกคนบ่นเหมือนกันหมดว่า รถขับง่าย แต่ถอยจอดยากจริง

ห้องสัมภาระท้ายรถเล็ก
   ท้ายรถของ GoodCat ให้พื้นที่มาค่อนข้างน้อย น่าจะเก็บของไม่ได้เยอะเท่าไหร่



มาถึงประเด็นสุดท้ายก่อนจะสรุป และเป็นประเด็นที่จะขาดไม่ได้เลย ถ้าพูดถึงเมื่อใช้รถยนต์ไฟฟ้า นั่นก็คือ ประเด็นเรื่อง การชาร์จแบตเตอรี่

บอกก่อนว่าตัวผมเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์การชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์เลย ที่บ้านไม่มี Home Charge และทางบริษัทที่เช่ารถก็ไม่แนะนำให้ชาร์จด้วยสายชาร์จฉุกเฉินที่ติดรถมา ดังนั้น ตู้ชาร์จคือที่พึ่งอันประเสริฐของเรา แต่ด้วยการเสพสื่อ Social มากมาย ก็แอบกังวลว่ามันจะยุ่งยากหรือต้องไปแย่ง ตบตีกับใครมั้ย

ตลอดการใช้งาน เจ้าเหมียวไฟฟ้าคันนี้นั้น ผมมีการชาร์จไฟรถยนต์ ทั้งหมด 2 ครั้ง โดยตู้ชาร์จที่ผมบริการใช้นั้น ทั้ง 2 ครั้ง เป็นตู้แบบ DC Charger ปล่อยไฟสูงสุด 120kw ของ Charge + (Ora GoodCat รับได้ที่ 60kw) ที่เลือกตู้นี้ก็เพราะมันอยู่ใกล้ Office

วิธีการชาร์จ เอาเข้าจริงก็ไม่ยากนะ เพียงแต่ควร Download App ของผู้ให้บริการเจ้าของตู้ที่จะชาร์จ และ Register ทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน พอมาถึงตู้ ก็ เปิด App > Scan QR Code ที่ตู้ > เสียบหัวชาร์จที่รถ > กด Lock รถ > กดเริ่มชาร์จใน App รอแป๊ปนึง ก็จะเริ่มชาร์จ แล้ว App ก็จะ Update ข้อมูลเราตลอด / พอจะเลิกชาร์จ ก็กดหยุดใน App > ปลดล็อครถ > ถอดสายแล้วเอาไปเก็บที่ตู้ เป็นอันเสร็จสิ้น





สำหรับอัตราค่าบริการนั้น ตู้นี้ อยู่ 7.5บาท/KW ไม่รวม VAT และไม่มีค่าจอดรถเพิ่มเติม โดยการชาร์จครั้งแรก หลังจากขับเจ้าเหมียวไฟฟ้ามาเกือบ 4 วัน กับระยะทางเกือบ 200km ผมชาร์จไป 22.3Kw จ่ายไป 178.96 บาท ส่วนครั้งที่ 2 ชาร์จในคืนสุดท้ายที่ใช้รถ กับระยะทางที่ใช้ไปอีกเกือบ 300km ผมชาร์จไป 36.72Kw จ่ายไป 294.68 บาท รวม 2 ครั้ง 473.64 บาท ถือว่ารับได้นะ เฉลี่ย 1 บาท / กม.


ส่วนวิธีจ่ายเงินนั้น สำหรับ App Charge + เราสามารถผูก Credit Card กับ App ได้ แต่จะไม่ตัดตามยอดตรงๆ จะต้องใช้แบบเติมเงินเข้าไปเป็น Credit พอชาร์จเสร็จ ยอดเท่าไหร่ก็ตัดจ่ายเท่านั้น มันจะคล้ายๆกับ True Wallet และยอดเติมขั้นต่ำ 250 บาท/ครั้ง (เป็นตัวเลือก ใส่จำนวนเองไม่ได้)

โดยรวมแล้ว สำหรับการชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าตามสถานที่ชาร์จนั้น ส่วนตัวคิดว่า ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมาก เพียงแต่อาจจะต้องหาจังหวะตู้ที่ว่างให้ดีๆนิดนึง หรือหาแผนสำรองตู้บริเวณรอบข้างไว้ด้วย แต่สำหรับผมถ้าคิดจะใช้รถไฟฟ้า คงจะหา Home Charger มาติดแล้วพึ่งมันเป็นหลักมากกว่าครับ




สรุป

   ตลอด 7 วัน กับเจ้าเหมียวไฟฟ้า ORA GoodCat 500 Ultra และคนที่ไม่เคยขับรถไฟฟ้ามาก่อนเลยอย่างผมนั้น ถ้าว่ากันเฉพาะตัวรถ ORA GoodCat เป็นรถที่ผมค่อนข้าง Happy และ Ok กับการใช้งานนะ รถ Design สวย น่ารัก วัสดุต่างๆ Ok ภายในกว้างขว้างสะดวกสบาย มี Option ระบบความบันเทิง ระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือต่างๆเยอะและใช้ได้จริงพอสมควร การขับขี่ก็ดีใช้ได้เลยที่เดียว แม้ว่าบางเรื่องจะไม่ประทับใจเท่าไหร่ตาม

   แต่ถ้ามองภาพรวมแล้ว ผมรู้สึกว่าการให้ลองใช้รถคันนี้ มันเปิดประสบการณ์การเอารถยนต์ไฟฟ้ามาทดลองใช้ในชีวิตประจำวัน ตามกิจวัตรที่เราต้องทำ เพื่อที่จะได้เรียนรู้และพิจารณาดูว่า รถยนต์ไฟฟ้ามันเหมาะสมและตอบโจทย์เราจริงๆหรือไม่ รวมถึงได้พิสูจน์ประเด็นต่างๆที่หลายๆคนตั้งข้อสงสัยหรือข้อควรระวังของการใช้รถไฟฟ้าไว้ เช่น ประเด็นการชาร์จไฟ หรือปริมาณสถานีชาร์จที่มีอยู่ในปัจจุบัน มันเพียงพอหรือเปล่า

ส่วนตัวผมมองว่า การจะใช้รถไฟฟ้าในปี 2025 นี้ ไม่ได้ยุ่งยากและน่ากังวลเมื่อ 2-3 ปีก่อนหน้านี้ และรถไฟฟ้าก็เริ่มจะตอบโจทย์การใช้งานของผม ได้เยอะมากขึ้น ข้อจำกัดต่างๆที่เคยรู้สึกว่าจำเป็นต้องพิจารณานั้น มันลดลงไปเยอะพอสมควรเลย เมื่อเทียบกับตอนที่ผมตัดสินใจซื้อรถใหม่เมื่อกลางปี 2023

นอกจากนี้ พอได้มีโอกาสลองใช้จริงๆ ที่บ้านผม ก็เลยมี Topic คุยกันว่า หลังจากนี้ ถ้าจะซื้อรถยนต์ใหม่เข้าบ้าน จะเป็นรถไฟฟ้า BEV มั้ย ซึ่งทุกคนเห็นด้วยว่าคันต่อไปคงเป็น BEV แน่นอน แต่จะไม่ใช่รถคันเดียวในบ้าน ทุกคนยังอยากให้มีรถที่ใช้น้ำมันในรูปแบบใดก็ได้ อยู่ในบ้านอย่างน้อยๆ 1 คัน

แล้วถ้าจะซื้อรถไฟฟ้าคันใหม่ จะเลือก เจ้าเหมียวไฟฟ้าคันนี้มั้ย บอกตรงๆว่า ด้วยราคาตอนนี้ เริ่มต้นที่ 599,000 สำหรับ รุ่น Pro และ 699,000 สำหรับ Ultra มันก็ดูน่าสนใจมากๆนะ แต่เอาตรงๆว่า คู่แข่งอย่าง BYD Dolphin / MG4 ที่เป็นคู่แข่งโดยตรง แล้วก็รถไฟฟ้าที่ราคาในย่าน 7-8 แสนนั้น มีหลายตัวเลือกมากๆ คิดว่าคงต้องไปลองรุ่นอื่นๆก่อน ถึงจะตอบได้ แต่ GoodCat ก็คงจะเป็น 1 ในตัวเลือกอันดับต้นนั่นแหละ

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะครับ
My Car = My Friend

2023 Honda HR-V 1.5 e:HEV RS E-CVT Ignite Red Metallic / Black Roof (น้องหมูแดง)
2023 Honda WR-V 1.5 RS CVT Ignite Red Metallic / Black Roof (น้องถุงแดง)


Review ของกินอร่อยๆ เรียนเชิญที่ Wongnai : ติดตามต้อง