ผมมองว่าเรื่องนี้คือความไม่ได้เรื่องของพนักงานครับ สนามบินมีกฏก็จริงแต่คนที่ทำหน้าที่นี้มีสิทธิตัดสินใจได้ว่าจะให้เอาขึ้นหรือไม่เอาขึ้นเครื่องถ้ารักการบริการหน่อยก็จะใช้สมองพิจารณาว่ากุญแจที่เป็นปัญหานี่ผิดกฏยังไง ลายดอกของมันมีขอบหยักแหลมคมพอที่จะกดบนผิวหนังแล้วปาดออกสร้างบาดแผลลึกให้ได้ไหม (กุญแจสมัยนี้หลายยอย่างมันเป็นแท่งสี่เหลี่ยมมนๆกัดลายนิดหน่อยปาดให้ตายก็ไม่มีแผลถ้าเห้นไอ้นี่แล้วยึดมันก็บ้าแล้ว)
ยิ่งถ้าผู้โดยสารบอกว่านี่เป็นกุญแจบ้านก็ควรจะมีสมองสำเหนียกบ้างว่าไม่มีแล้วจะเข้าบ้านยังไง? วิธีแก้ไขง่ายๆก้คือบอกกับผู้โดยสารอย่างยิ้มแย้มว่ามันเป็นกฏของสนามบินแต่คุณสามารถโหลดลงใต้เครื่องได้หรือไม่ก็ให้พนักงานบนเครื่องบินเป้นผู้เก็บรักษาให้และคืนเมื่อเครื่องถึงที่หมายยังไงก็ว่ากันไป ตราบใดที่ดอกมันไม่ได้บางคมเป็นใบมีดนี่ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไรเลย แต่ด้วยความที่พนักงานขี้เกียจไม่อยากทำงานมากมายก็เลยจบที่กรูยึดเอาไว้นี่แหละจบๆเรื่องไป
แม้ว่าจะมีหัวหน้ากะที่เข้ามงวดห้ามคือห้ามจริงๆ แต่พนักงานสามารถพูดจาให้ผู้โดยสารเข้าใจไม่มีอาการโกรธมาโวยวายทีหลังเป็นกระทู้แบบนี้ได้ครับ วิธีมีเยอะแยะมากกกก มากกกกเป็นล้านๆวิธีและคนพวกนี้ก็ได้รับการอบรมมาแล้วด้วยไม่อย่างนั้นมาทำงานนี้ไม่ได้ครับ เพราะนี่คืออยู่ในข่ายของการบริการเหมือนกัน ไม่ได้หมายความว่าให้พะเน้าพะนอว่าผู้โดยสารคือพระเจ้าแต่ก็แค่พูดจาดีๆในระดับที่คนเรากระทำกันอย่างเสมอภาคปัญหาจะไม่เกิด การบริการที่ประทับใจมันสร้างได้ไม่ยากอะไรเลยขึ้นอยู่กับว่าจะทำหรือเปล่าเท่านั้นแหละ
ผมเคยอยู่ในสนามบินมาก่อนครับ การทำงานของพวกเจ้าหน้าตรวจก่อนขึ้นเครื่องหรือพนักงานประจำสายการบินเนี่ยเห็นมาก็เยอะ บอกได้เลยว่าขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่ามันตั้งใจจะทำงานหรือเปล่าเท่านั้นเอง ยกตัวอย่างผมเจอพาสปอร์ตของคนต่างชาติยุโรปมาซื้อของในดูตี้ฟรีแล้วลืมเอาไว้เลยเอาไปให้เจ้าหน้าที่การบินไทยในเล้าจน์ด้านล่างชั้นดูตี้ฟรี พนักงานรู้นะครับคนๆนี้จะไปเที่ยวบินไหนประตูอะไรเครื่องออกกี่โมงและมีเวลาเป็นชั่วโมงก่อนเครื่องจะออก แต่เค้าไม่เอาไปคืนผู้โดยสารหรอก วางแหมะแม่มอยู่บนโต๊ะนั่นแหละไม่ทำอะไรเลย ซึ่งถ้ามันมีจิตใจรักการบริการจริงทำไมไม่เอาไปคืนให้เขา? จะบอกว่าเอ็งทำหน้าที่ในเลาจน์ไม่มีหน้าที่ไปยุ่งเกี่ยวกับพวกตรวจตั่วก่อนขึ้นเครื่อง งั้นก็แปลได้ว่าไอ้ที่พูดรักคุณเท่าฟ้าก็ตอแหลคำโต ขนาดเอาพาสปอร์ตไปคืนง่ายๆมันยังไม่ทำเลย
มีอีกทีนึงมีฝรั่งอายุคราวป้าคนนึงเข็นประเป๋าในรถเข็นมาคันโตๆเลยนะ ป้าแกก็ตัวนิดเดียวเอง คอยถามไล่มาเรื่อยๆแต่ไกลว่าประตู F ไปทางไหน แต่ร.ป.ภ.เฝ้าตามจุดต่างๆตามหน้าดูตี้ฟรีพูดภาษาอังกฤษกันไม่ค่อยได้ครับ ก็ได้แต่ชี้ๆๆๆกันส่งมาตามทางจนสุดท้ายแกพูดปนโวยวายนิดๆขึ้นมาในทำนองที่ว่าทำไมประตูมันไลกขนาดนี้ slide walk ก็ไม่มีอยากให้มีคนมาช่วยเข็นให้หน่อยทำไมไม่มีใครเข้าใจเลย ผมก็เลยเดินไปช่วยเข็นรถป้าแกไปส่งที่ประตู F ให้ รถเข็นก็หนักชิบหายป้าแกก้คงมีปัญหาที่หลังเห้นที่สายรัดแบบพยุงสำหรับคนที่ชอบปวดหลังใส่อยู่แกเข็นมาได้ไกลขนาดนี้ไงวะเนี่ยถึงว่าเก็บอาการไม่อยู่บ่นออกมาเชียว ถามโน่นถามนี่ไประหว่างทางแกก็ว่าเป็นคนออสเตรเลียมาเยียมญาติที่นี่ (มิน่าถึงได้เข็นมาคนเดียว)
ทีนี้พอไปถึงประตูปุ๊บผมก็เข้าไปหลัวเขตตรวจโลหะไม่ได้แล้วครับบัตรการท่าของผมเข้าไม่ได้ก็บอกว่าป้าแกมาคนเดียวไม่ค่อยมีแรงช่วยรับป้าแกไปส่งขึ้นเครื่องตอ่จากผมที ไอ้พวกหน้าเครื่องตรวจโลหะก็มองหน้ากันเฉยๆไม่เงียบไม่ทำอะไร มีตั้ง 5 คนไม่ทำห่าอะไรกันเลยยืนเฉยๆคอยเบ่งใส่ผุ้โดยสารที่ทำผิดกฏอย่างเดียว(ถ้ายึดพวกเหล้าหรือบุหรี่ที่เกินจำนวนได้มันก็เอาไปกินไปใช้กันเองครับ คงอยากได้เหล้ามาก ฝรั่งนี่ถ้ารู้ว่าเอาขึ้นเครื่องไม่ได้เค้าเปิดกินกันเลยหรือเททิ้งใส่ถังขยะดีกว่าจะให้ไอ้พวกนี้) ผมก็ว่าถ้าไม่ส่งผมขอเข็นไปส่งแกเองได้ไหมลงไปชั้นเดียวเอง มันก็ว่ากันไม่ได้ๆๆๆๆ ทั้งๆที่ถ้าหากว่าการซื้อขายในดูตี้ฟรีมีปัญหาเช่นลูกค้าลืมพาสปอร์ตหรือลืมใบรับประกันสินค้าพวกนี้สามารถอนุญาติให้คนในดูตี้ฟรีไปพบลูกค้าข้างหลังเขตตรวจโลหะได้ครับ เอาไปให้ถึงที่นั่งบนเครื่องบินยังได้เลย แต่ผมไม่ใช่เซลสาวๆมันไม่ไห้มันไม่ช่วยไม่ให้ผมช่วยแล้วป้าแกจะเอากระเป่าไปยังไงวะ? ยังดีที่มีหัวหน้าที่พอจะเป็นคนดีอยู่คนนึงคงเห็นผมแต่ไกลแล้วล่ะ เค้าเลยเดินมาบอกว่าจะดูแลคุณป้าให้เองพร้อมเข็นรถเข็นหนักอึ้งพร้อมบอกให้ป้าแกตามไปตรงทางเข้าได้เลย.......อัตราส่วนเลว 5 ดี 1 แล้วสนามบินมันจะได้ชื่อว่ามีการบริการคุณภาพระดับโลกได้ยังไง?