ตอบเฉพาะจากหัวข้อ เพราะผมอ่านในโพสแล้วไม่รู้เรื่องว่าจะสื่ออะไร หรือไปในทิศทางไหน
ราคาน้ำมันกับต้นทุนการผลิตไฟไม่เชิงเกี่ยวข้องกันโดยตรง เหตุผลคือเขาไม่ได้เอาน้ำมันไปปั่นไฟ (ยกเว้นอยู่ไซปรัส) และน้ำมันมี demand ของมันอยู่แล้วนอกจากเอาไปเติมรถยนต์
Point ของผมคือ ประเทศที่ สนับสนุนและมียอดขาย BEV สูง แท้จริงแล้ว ต้องการลดการใช้น้ำมัยเชื้อเพลิงครับ
ไม่ได้เกี่ยว พุดถึงเรื่องเอาน้ำมันมาผลิตไฟฟ้าเลยครับ
หาก มองไปที่ EU และ จีน จะพบว่า 2 กลุ่มนี้ ต้องนำเข้าน้ำมันและมีราคาน้ำมัน ที่สูงมากๆ และ กลุ่มนี้ มีโรงไฟฟ้นิวเคลียร์ที่กำลังการผลิตสูง สามารถจ่ายไฟในระบบด้วยต้นทุนต่ำไงครับ
ส่วนเรื่องไฟฟ้า ในบ้านเราก็เห็นเริ่มมีการเปลี่ยน Meter เป็รแบบใหม่ที่ รองรับกำลังไฟในการชาร์รถไฟฟ้าได้
แต่ แค่ เจอค่าไฟหลักพันและค่า FT ยังบ่นกันแล้ว เพราะต้นทุนไฟฟ้า เราก็ไม่ได้ถูกนะ
ผมเลยคิดว่า ในแง่ความคุ้มค่า ตอนนี้ BEV มันคุ้มกว่า Hybid หรือ รถน้ำมันจริงไหม เพราะปัจจัยแต่ละประเทศต่างกัน
การเอา บรรทัดฐาน ของอีก ประเทศนึง มา กำหนดพฤติกรรม การซื้อรถของ คนทั้งโลก อาจไม่ถูกเสมอไป
เพราะกระแส BEV มันมาจะ 10 ปีแล้วไม่ใช่พึ่งมา
จริงๆถ้าท่านเขียนแบบนี้ตั้งแต่หัวโพส ผมว่าจะมีคนเข้าใจเยอะกว่านี้มากเลยครับ เพราะผมอ่านยังไงก็อ่านไม่รู้เรื่อง นึกว่าท่านกำลังพูดถึงเรื่องราคาน้ำมันกับค่าไฟ
คือจริงๆแล้วเรื่องการลดพึ่งพาน้ำมันมีนานมากแล้วครับ ก่อนจะมี Hybrid ก็เป็นเชื้อเพลิงทางเลือก ทั้ง NGV, LPG รวมถึงโซฮอลล์และ Biodiesel
รถไฟฟ้าจริงๆก็มีนานแล้ว เพียงแต่ว่าเทคโนโลยีมันยังไปไม่ถึง (ทั้งตัวแบตและการชาร์จ) มันเลยไม่เกิด ทีนี้พอแบตกับระบบชาร์จพัฒนามาถึงขั้นนึงมันก็ไปต่อง่ายแล้ว
ของยุโรปจริงๆผมเชื่อว่าเขาพยายามลดแบบกึ่งๆมัดมือชกด้วยสภา EU ออกกฎ ถ้าไม่มีสภา EU ผมมองว่าอาจจะยืดกันไปจนถึง 2050 นู่นเลยถึงจะไม่ให้ผลิตรถ ICE
ส่วนของจีนผมมองตรงกันข้าม ผมมองว่า ตัวผู้ผลิตไม่ได้มี Know-How ในการทำรถ ICE แต่แรกแล้ว (ถ้าไม่เน่าแบบมั่วซั่ว ก็คือซื้อพิมพ์เขียวเครื่องเก่าๆต่างชาติมาทำ)
เขาก็เลยมองข้ามช็อต ในเมื่อรัฐบาลมี Know-how ในการผลิตแบตเตอรี่และเทคโนโลยีชาร์จอยู่แล้ว (จีนได้ตรงนี้มา เพราะจีนบังคับให้ต่างชาติที่มาเปิดโรงงานต้องแชร์ความรู้ให้กับทางจีนด้วย)
เขาก็แค่โยนให้เอกชนไปวิจัยแล้วทำต่อเป็นของตัวเอง เราก็เลยเห็นกระแสรถ BEV จีนแรงกว่าเจ้าอื่นๆเขา
แต่จริงๆก็ไม่ใช่ว่าทั้งประเทศจีนจะพร้อมเปลี่ยนเป็น BEV นะครับ เขาก็เหมือนหลายๆประเทศ ที่เมืองใหญ่พร้อม แต่รอบนอกชนบทนี่ ขับรถไฟฟ้าไป หาปลั๊กเสียบที่ไหนแล้วจะรองรับบ้าง?
สุดท้ายแล้ว เรื่อง BEV จะคุ้มไม่คุ้ม ผมเห็นด้วยกับท่าน ว่าไม่ควรเอาบรรทัดฐานประเทศอื่นมาใช้ บ้านเราจริงๆแล้วต่อให้ไฟฟ้ากลับมาราคาปกติ (แก้ปัญหาสัญญาที่ทำให้ราคาแพงออกไปน่ะนะ)
ก็ต้องพึ่งพาปริมาณแก๊สธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าอยู่ดี จะใช้จากอ่าวไทยอย่างเดียวยังไงก็ไม่พอ (มันมีเกรดเข้าอุตสาหกรรม กับเอามาเผาต้มปั่นไฟ)
ฉะนั้นแล้วสุดท้ายถ้า Demand มันมากเกิน ยังไงค่าไฟก็พุ่ง ยกเว้นว่าเราแก้ปัญหาตรงนี้ได้ด้วยพลังงาน "ฟรี" อื่นๆ (ใช้คำนี้ละกัน มองภาพง่ายดี) เช่น น้ำ ลม แสงแดด เป็นต้น
ปล. จริงๆผมพูดตั้งแต่ตอนสมัยนู๊นที่เริ่มมีข่าวว่ารถไฟฟ้ากำลังจะเข้าไทย (ช่วงมีนโยบาย BEV นั่นแหละ) ว่าสุดท้ายแล้วมันไม่ยั่งยืน
ไอที่ลดปริมาณควันไรงี้ได้ ก็แค่โยนปัญหาฝุ่นควันไปที่แถวโรงไฟฟ้า แล้วเดี๋ยวก็จะมีการทะเลาะกันเรื่องแย่งปลั๊กไฟอีก (แล้วก็มีจริง)
ท้ายที่สุด ปัญหาเรื่องแบตเตอรี่ก็ยังแก้กันไม่ได้อยู่ดีว่าจะทำยังไงให้มันไม่เป็น Waste หนัก รีไซเคิลได้ออกมาก็ Eff ต่ำ ไอประเทศที่มีเหมืองก็ขึ้นราคาจะหน้ามืดกันไปหมด
ปล2. ประเทศหรือกลุ่มที่ชอบพูดปาวๆว่าพยายามลดมลภาวะ ลดการปล่อยคาร์บอน อะไรนั่นทั้งหลายน่ะ ปัจจุบันก็ยังเป็นตัวการหลักๆที่ปล่อยคาร์บอนออกมาอยู่ดี
ผมเลยรู้สึกว่าไอ BEV เพื่อพลังงานสะอาดอะไรนี่ ตอแหลที่สุดในชีวิตละ