ผู้เขียน หัวข้อ: คิดว่า ยอดขายและความ BEV ทั่วโลกขึ้นกลับ ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าและราคาน้ำมันหรือไม่  (อ่าน 1397 ครั้ง)

ออฟไลน์ mamaman

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,422
    • อีเมล์
เท่าที่ สังเกต ประเทศที่ดัน EV คือ ยุโรษ และ จีน ที่ มีปัญหาด้านพลังงานจากเชื้อเพลิง
เพราะ สองกลุ่ม ประเทศนี้ มีโรงไฟฟ้า นิวเคียร์ และมีการนำเข้า น้ำมันที่แพงมากและทำให้ขาดดุลการค้า
ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในจีนและ EU นั้นแพงกว่าไทยมากๆ

ไม่แปลกที่ยอด ขาย  BEV ทั่วโลกไปกระจุกที่ จีนและ EU ในดินแดนที่ เร่งก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์

กลับกัน ที่เอเชีย แอฟริกา อเมริกา ที่ ยอดขาย BEV ยังเทียบ อัตราส่วนกับ รถ ICE+Hybrid ยังไม่ได้เลย
อินโด มาเลย์ ไทย บาเรน มีกำลังการผลิต น้ำมัน และก็าชธรรมชาติที่เพียงพอสำหรับใช้กับประชาชน
ไม่รวม อเมริกา และ อาหรับ ที่ น้ำมันสำรองมีมหาศาล

มองโครงสร้าง
แค่หน้าร้อนเปิดแอร์ทั้งวัน ต้นทุนค่าไฟยังมหาโหด

ส่วนตัวผมว่าใน 10 ปี EV จะยังเป็นแค่ อีกกลุ่มพลังงานทางเลือก เพราะเห็น อวยกันมา 10 กว่าปี ก็ยัง เหมือนเดิม

ส่วนผม มีรถ มากกว่า 1 คันก็ยังไม่คิดจะซื้อ  BEV ในตอนนี้ กรณีที่เอามาใช้ทดแทนรถน้ำมัน เว้นแต่ เงินและที่จอดเหลือซื้อมาเล่น

ออฟไลน์ lay

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,265
ข้อมูลของคุณค่อนข้างจะผิดเพี้ยนอยู่บ้างนะครับ...

ออฟไลน์ Zephyrs

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 913
ตอบเฉพาะจากหัวข้อ เพราะผมอ่านในโพสแล้วไม่รู้เรื่องว่าจะสื่ออะไร หรือไปในทิศทางไหน

ราคาน้ำมันกับต้นทุนการผลิตไฟไม่เชิงเกี่ยวข้องกันโดยตรง เหตุผลคือเขาไม่ได้เอาน้ำมันไปปั่นไฟ (ยกเว้นอยู่ไซปรัส) และน้ำมันมี demand ของมันอยู่แล้วนอกจากเอาไปเติมรถยนต์

เรื่องต้นทุนไฟฟ้า :-X ตรงนี้ขึ้นกับแต่ละประเทศว่าจัดหาพลังงานไฟฟ้าอย่างไร อย่างยุโรป แกนหลักเขาคือนิวเคลียร์ แก๊สธรรมชาติ ถ่านหิน น้ำ และลม (ตามลำดับ)
อ้างอิง : https://www.visualcapitalist.com/mapped-europes-biggest-sources-of-electricity-by-country/

ทีนี้มันแก๊สธรรมชาติมันแพงขึ้น เพราะสงครามยูเครน-รัสเซีย (รัสเซียเป็นคนส่งแก๊สให้ทั้งยุโรป พอยุโรปเข้าข้างรัสเซีย + แซงชั่น ก็เลยลดกำลังส่ง ทำให้ขาดแคลน)
พร้อมกับที่หลายประเทศหยุดใช้ไฟฟ้านิวเคลียร์พอดี เลยกลายเป็นคอมโบนรกทำให้ไฟฟ้าแพง (ล่าสุดก็กลับไปใช้ถ่านหินเป็น Stop-Gap ก่อนพวกพลังงานสะอาดอันอื่นจะพร้อม)

ส่วนจีนเกือบ 70% มาจากถ่านหินครับ อีก 20% มาจากน้ำ (เขื่อนนั่นแหละ)

ส่วนราคาถ่านหินพีคไปกลางๆปีที่แล้วที่แถวๆ $460 ต่อตัน (ตอนนี้ $160 ต่อตัน) ลองไปหาดููกันเองได้ ส่วนแก๊สธรรมชาติผมว่าคุณหาได้ไม่ยากหรอก แต่มันเปลี่ยนตามโซนที่คุณจะถาม

ทีนี้คุณต้องเข้าใจว่า รถ BEV หลักๆเลยที่มันขายได้ เป็นเพราะมีการ subsidized จากรัฐบาลให้อย่างมาก ทั้งลดภาษีเก็บ ทั้งคืนเงินให้ (ของอังกฤษมั้ง?)

แต่ถ้าในประเทศที่ไม่มีนโยบายส่งเสริม มันก็จะเป็นของที่โคตรพ่อโคตรแม่แพง อย่างมาเลย์ คุณไปดูช่อง หมุน9 ได้ (ช่องที่เจ้าของเว็บชอบแซะว่าสายเทคฯ แต่มาทำสายรถนั่นแหละ) ค่าเติมไฟฟ้าทีหน้ามืดกว่าไทยอีก คนเขาเลยไปเน้นทางน้ำมันแทน (รัฐบาลเขา subsidize น้ำมันให้ถูกมาก ช่วงนึงคนสิงคโปร์ไปแห่เติม จนทางรัฐบาลเขาต้องออกมาจัดการ)

ในอนาคตที่เขาสามารถจัดหาไฟฟ้าได้มากขึ้น (จะแสงอาทิตย์ ลม น้ำ หรืออะไรก็ตาม) มันก็จะทำให้ราคาไฟฟ้าถูกลงได้ ตราบใดที่มันไม่ไปแตะพวกน้ำมันหรือแก๊สหรือถ่านหิน เพราะพวกนี้มันยังเป็นไปตามกลไกตลาด คือ demand มาก ราคาก็จะมากตาม


ข้อมูลของคุณค่อนข้างจะผิดเพี้ยนอยู่บ้างนะครับ...

คือถ้าคิดว่าข้อมูลตัวเองถูกก็ช่วยแก้ครับ คนอื่นมาอ่านจะได้รู้ว่าที่ถูกหรือที่คุณเข้าใจมันคือแบบไหน ถ้ามาตัดจบดื้อๆแบบนี้ มันก็ไม่ได้ต่อยอดสร้างสรรค์อะไร

ออฟไลน์ U9WS

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,180
  • slower is better
-มีคนบอก Tesla​ จะไม่ official​ ในไทย แต่ก็มาแล้ว
-ฉีดตัวถังเป็นชิ้นใหญ่แบบ Tesla เร็วๆนี้ Xpeng ก็ทำแล้ว ผู้ผลิตเครื่องฉีดจากอิตาลี​ก็เทียวบอกว่ามีผู้ผลิตรถอเมกา ยุโรป เอเชีย สั่งเครื่องจักร​มาจนออเดอร์​ล้น
-10ปีที่แล้วไม่มีตัวเลือก 1ปีมานี้ตัวเลือกมาแล้ว Atto3 ทำยอยขายแซง cross​ ไปแล้วใครจะไปคิด
-วันนี้ Big5 จีนมาตั้งโรงงาน ถยอยลงเสา
-อีกไม่กี่วันเกาหลีและ Big10จีน รอคุยรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง
-Foxconn​+PTT กลายเป็นตัวเล็กไปเลย​
-จุดชาจสาธารณะ​โตวันโตคืน
-เร็วๆนี้รัฐจะขึ้นภาษีรถน้ำมันและhybrid
-และสุดท้ายไฟฟ้าประเทศไทยเราเหลือเยอะ แผนกระตุ้นการลงทุนตั้งโรงงานอุตสาหกรรม​ในไทยทำให้เรามีปริมาณ​ไฟเหลืออีกเยอะมาก ต่อให้มีปริมาณรถBEVได้ 30/30ตามแผน รถBEVก็ใช้ไฟน้อยกว่าภาคอุตสาหกรรม​และภาคท่องเที่ยวที่เผื่อไว้​อีกเยอะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 13, 2023, 19:22:55 โดย U9WS »

ออฟไลน์ mamaman

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,422
    • อีเมล์
ตอบเฉพาะจากหัวข้อ เพราะผมอ่านในโพสแล้วไม่รู้เรื่องว่าจะสื่ออะไร หรือไปในทิศทางไหน

ราคาน้ำมันกับต้นทุนการผลิตไฟไม่เชิงเกี่ยวข้องกันโดยตรง เหตุผลคือเขาไม่ได้เอาน้ำมันไปปั่นไฟ (ยกเว้นอยู่ไซปรัส) และน้ำมันมี demand ของมันอยู่แล้วนอกจากเอาไปเติมรถยนต์



Point ของผมคือ ประเทศที่ สนับสนุนและมียอดขาย BEV สูง แท้จริงแล้ว ต้องการลดการใช้น้ำมัยเชื้อเพลิงครับ
ไม่ได้เกี่ยว พุดถึงเรื่องเอาน้ำมันมาผลิตไฟฟ้าเลยครับ 
หาก มองไปที่ EU และ จีน จะพบว่า 2 กลุ่มนี้ ต้องนำเข้าน้ำมันและมีราคาน้ำมัน ที่สูงมากๆ  และ กลุ่มนี้ มีโรงไฟฟ้นิวเคลียร์ที่กำลังการผลิตสูง สามารถจ่ายไฟในระบบด้วยต้นทุนต่ำไงครับ

ส่วนเรื่องไฟฟ้า ในบ้านเราก็เห็นเริ่มมีการเปลี่ยน Meter เป็รแบบใหม่ที่ รองรับกำลังไฟในการชาร์รถไฟฟ้าได้
แต่ แค่ เจอค่าไฟหลักพันและค่า FT ยังบ่นกันแล้ว เพราะต้นทุนไฟฟ้า เราก็ไม่ได้ถูกนะ

ผมเลยคิดว่า ในแง่ความคุ้มค่า ตอนนี้ BEV มันคุ้มกว่า Hybid  หรือ รถน้ำมันจริงไหม เพราะปัจจัยแต่ละประเทศต่างกัน
การเอา บรรทัดฐาน ของอีก ประเทศนึง มา กำหนดพฤติกรรม การซื้อรถของ คนทั้งโลก อาจไม่ถูกเสมอไป

เพราะกระแส BEV มันมาจะ 10 ปีแล้วไม่ใช่พึ่งมา

ออฟไลน์ apinui

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,896
    • อีเมล์
ขอออกความเห็นในมุมของพลังงานแล้วกันนะครับ ..

หลายคนอาจจะหนีไปรถไฟฟ้า เพราะราคาน้ำมันที่สูงอยู่อย่างในปัจจุบัน แต่หลายคนอาจจะลืมไปว่า วัฏจักรราคาน้ำมันมันมีขึ้นมีลงตลอดในรอบ 3-4 ปี

เดียวแพง เดียวถูก ตามภาวะต่างๆของโลก

ดังนั้น ในวันนึงมันจะมีรอบที่ราคาน้ำมัน มันดิ่งลงถูกมากๆแบบช่วงที่ผ่านมา และนั่นคือประเด็นที่ผมมองรถไฟฟ้าว่า ถ้าพลังงานมันเป็นแบบนี้ยังไงซะ น้ำมันก็ยังเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าอยู่

แต่ในมุมกลับกัน ... ค่าไฟ หน่วยการคิดค่าไฟ ตอนนี้มันถูก ใช่ครับ แต่ราคามันไม่เคยลง มันมีแต่แพงขึ้น และจะแพงขึ้นเรื่อยๆ และวันนึงที่ ค่าไฟมันแพงเกินกว่าที่จะเอามาชาจน์รถ คนก็จะเลิกใช้

และประเทศที่สามารถหาพลังงานอย่างน้ำมันมาใช้ได้ไม่ขาดแคลน ก็จะยังใช้น้ำมันอยู่ เช่นอเมริกา และหลายๆประเทศฝั่งตะวันออกกลางนั่นแหละ

น้ำมันยังมีบนโลกมากมาย และจะยังมีต่อไป โดยส่วนตัวก็อยากให้ EV เกิดเยอะๆ คนใช้เยอะๆจนมีผู้ใช้น้ำมันลดลง และเมื่อนั้น ผู้ผลิตน้ำมันก็จะเทราคาลงมาถูกๆเพื่อสู้ เหมือนตอนโควิทปีแรก นั่นแหละครับ

ส่วนประเทศทางฝั่งยุโรปที่ประกาศว่าจะไม่มีรถน้ำมันวิ่งในอนาคต เอาตอนหน้าหนาวของเค้าที่ผ่านมา ค่าไฟ ค่าแก็สเค้าก็สาหัสกันพอควร ยิ่งหนาวยิ่งขาดแคลน และถ้ามีรถไฟฟ้าไปแย่งพลังงานในจุดนี้อีก จะไหวหรอ ..??

ออฟไลน์ deertesla

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,245
ขอออกความเห็นในมุมของพลังงานแล้วกันนะครับ ..

หลายคนอาจจะหนีไปรถไฟฟ้า เพราะราคาน้ำมันที่สูงอยู่อย่างในปัจจุบัน แต่หลายคนอาจจะลืมไปว่า วัฏจักรราคาน้ำมันมันมีขึ้นมีลงตลอดในรอบ 3-4 ปี

เดียวแพง เดียวถูก ตามภาวะต่างๆของโลก

ดังนั้น ในวันนึงมันจะมีรอบที่ราคาน้ำมัน มันดิ่งลงถูกมากๆแบบช่วงที่ผ่านมา และนั่นคือประเด็นที่ผมมองรถไฟฟ้าว่า ถ้าพลังงานมันเป็นแบบนี้ยังไงซะ น้ำมันก็ยังเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าอยู่

แต่ในมุมกลับกัน ... ค่าไฟ หน่วยการคิดค่าไฟ ตอนนี้มันถูก ใช่ครับ แต่ราคามันไม่เคยลง มันมีแต่แพงขึ้น และจะแพงขึ้นเรื่อยๆ และวันนึงที่ ค่าไฟมันแพงเกินกว่าที่จะเอามาชาจน์รถ คนก็จะเลิกใช้

และประเทศที่สามารถหาพลังงานอย่างน้ำมันมาใช้ได้ไม่ขาดแคลน ก็จะยังใช้น้ำมันอยู่ เช่นอเมริกา และหลายๆประเทศฝั่งตะวันออกกลางนั่นแหละ

น้ำมันยังมีบนโลกมากมาย และจะยังมีต่อไป โดยส่วนตัวก็อยากให้ EV เกิดเยอะๆ คนใช้เยอะๆจนมีผู้ใช้น้ำมันลดลง และเมื่อนั้น ผู้ผลิตน้ำมันก็จะเทราคาลงมาถูกๆเพื่อสู้ เหมือนตอนโควิทปีแรก นั่นแหละครับ

ส่วนประเทศทางฝั่งยุโรปที่ประกาศว่าจะไม่มีรถน้ำมันวิ่งในอนาคต เอาตอนหน้าหนาวของเค้าที่ผ่านมา ค่าไฟ ค่าแก็สเค้าก็สาหัสกันพอควร ยิ่งหนาวยิ่งขาดแคลน และถ้ามีรถไฟฟ้าไปแย่งพลังงานในจุดนี้อีก จะไหวหรอ ..??
จริงทุกส่วนครับ ผมว่านะอยากให้ราคาน้ำมันถูกลง ส่วนนโยบายรัฐบาลที่เอาใจรถถ่านนั่นมันเกินไปครับ  ราคามันไม่ถูกนะครับแถมมันได้กำไรเพิ่มอีกต่างหากเพราะมันขายแพงกว่าที่จีนเยอะมากๆ

ออฟไลน์ Zephyrs

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 913
ตอบเฉพาะจากหัวข้อ เพราะผมอ่านในโพสแล้วไม่รู้เรื่องว่าจะสื่ออะไร หรือไปในทิศทางไหน

ราคาน้ำมันกับต้นทุนการผลิตไฟไม่เชิงเกี่ยวข้องกันโดยตรง เหตุผลคือเขาไม่ได้เอาน้ำมันไปปั่นไฟ (ยกเว้นอยู่ไซปรัส) และน้ำมันมี demand ของมันอยู่แล้วนอกจากเอาไปเติมรถยนต์



Point ของผมคือ ประเทศที่ สนับสนุนและมียอดขาย BEV สูง แท้จริงแล้ว ต้องการลดการใช้น้ำมัยเชื้อเพลิงครับ
ไม่ได้เกี่ยว พุดถึงเรื่องเอาน้ำมันมาผลิตไฟฟ้าเลยครับ 
หาก มองไปที่ EU และ จีน จะพบว่า 2 กลุ่มนี้ ต้องนำเข้าน้ำมันและมีราคาน้ำมัน ที่สูงมากๆ  และ กลุ่มนี้ มีโรงไฟฟ้นิวเคลียร์ที่กำลังการผลิตสูง สามารถจ่ายไฟในระบบด้วยต้นทุนต่ำไงครับ

ส่วนเรื่องไฟฟ้า ในบ้านเราก็เห็นเริ่มมีการเปลี่ยน Meter เป็รแบบใหม่ที่ รองรับกำลังไฟในการชาร์รถไฟฟ้าได้
แต่ แค่ เจอค่าไฟหลักพันและค่า FT ยังบ่นกันแล้ว เพราะต้นทุนไฟฟ้า เราก็ไม่ได้ถูกนะ

ผมเลยคิดว่า ในแง่ความคุ้มค่า ตอนนี้ BEV มันคุ้มกว่า Hybid  หรือ รถน้ำมันจริงไหม เพราะปัจจัยแต่ละประเทศต่างกัน
การเอา บรรทัดฐาน ของอีก ประเทศนึง มา กำหนดพฤติกรรม การซื้อรถของ คนทั้งโลก อาจไม่ถูกเสมอไป

เพราะกระแส BEV มันมาจะ 10 ปีแล้วไม่ใช่พึ่งมา

จริงๆถ้าท่านเขียนแบบนี้ตั้งแต่หัวโพส ผมว่าจะมีคนเข้าใจเยอะกว่านี้มากเลยครับ เพราะผมอ่านยังไงก็อ่านไม่รู้เรื่อง นึกว่าท่านกำลังพูดถึงเรื่องราคาน้ำมันกับค่าไฟ

คือจริงๆแล้วเรื่องการลดพึ่งพาน้ำมันมีนานมากแล้วครับ ก่อนจะมี Hybrid ก็เป็นเชื้อเพลิงทางเลือก ทั้ง NGV, LPG รวมถึงโซฮอลล์และ Biodiesel
รถไฟฟ้าจริงๆก็มีนานแล้ว เพียงแต่ว่าเทคโนโลยีมันยังไปไม่ถึง (ทั้งตัวแบตและการชาร์จ) มันเลยไม่เกิด ทีนี้พอแบตกับระบบชาร์จพัฒนามาถึงขั้นนึงมันก็ไปต่อง่ายแล้ว
ของยุโรปจริงๆผมเชื่อว่าเขาพยายามลดแบบกึ่งๆมัดมือชกด้วยสภา EU ออกกฎ ถ้าไม่มีสภา EU ผมมองว่าอาจจะยืดกันไปจนถึง 2050 นู่นเลยถึงจะไม่ให้ผลิตรถ ICE

ส่วนของจีนผมมองตรงกันข้าม ผมมองว่า ตัวผู้ผลิตไม่ได้มี Know-How ในการทำรถ ICE แต่แรกแล้ว (ถ้าไม่เน่าแบบมั่วซั่ว ก็คือซื้อพิมพ์เขียวเครื่องเก่าๆต่างชาติมาทำ)
เขาก็เลยมองข้ามช็อต ในเมื่อรัฐบาลมี Know-how ในการผลิตแบตเตอรี่และเทคโนโลยีชาร์จอยู่แล้ว (จีนได้ตรงนี้มา เพราะจีนบังคับให้ต่างชาติที่มาเปิดโรงงานต้องแชร์ความรู้ให้กับทางจีนด้วย)
เขาก็แค่โยนให้เอกชนไปวิจัยแล้วทำต่อเป็นของตัวเอง เราก็เลยเห็นกระแสรถ BEV จีนแรงกว่าเจ้าอื่นๆเขา

แต่จริงๆก็ไม่ใช่ว่าทั้งประเทศจีนจะพร้อมเปลี่ยนเป็น BEV นะครับ เขาก็เหมือนหลายๆประเทศ ที่เมืองใหญ่พร้อม แต่รอบนอกชนบทนี่ ขับรถไฟฟ้าไป หาปลั๊กเสียบที่ไหนแล้วจะรองรับบ้าง?

สุดท้ายแล้ว เรื่อง BEV จะคุ้มไม่คุ้ม ผมเห็นด้วยกับท่าน ว่าไม่ควรเอาบรรทัดฐานประเทศอื่นมาใช้ บ้านเราจริงๆแล้วต่อให้ไฟฟ้ากลับมาราคาปกติ (แก้ปัญหาสัญญาที่ทำให้ราคาแพงออกไปน่ะนะ)
ก็ต้องพึ่งพาปริมาณแก๊สธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าอยู่ดี จะใช้จากอ่าวไทยอย่างเดียวยังไงก็ไม่พอ (มันมีเกรดเข้าอุตสาหกรรม กับเอามาเผาต้มปั่นไฟ)
ฉะนั้นแล้วสุดท้ายถ้า Demand มันมากเกิน ยังไงค่าไฟก็พุ่ง ยกเว้นว่าเราแก้ปัญหาตรงนี้ได้ด้วยพลังงาน "ฟรี" อื่นๆ (ใช้คำนี้ละกัน มองภาพง่ายดี) เช่น น้ำ ลม แสงแดด เป็นต้น

ปล. จริงๆผมพูดตั้งแต่ตอนสมัยนู๊นที่เริ่มมีข่าวว่ารถไฟฟ้ากำลังจะเข้าไทย (ช่วงมีนโยบาย BEV นั่นแหละ) ว่าสุดท้ายแล้วมันไม่ยั่งยืน
ไอที่ลดปริมาณควันไรงี้ได้ ก็แค่โยนปัญหาฝุ่นควันไปที่แถวโรงไฟฟ้า แล้วเดี๋ยวก็จะมีการทะเลาะกันเรื่องแย่งปลั๊กไฟอีก (แล้วก็มีจริง)
ท้ายที่สุด ปัญหาเรื่องแบตเตอรี่ก็ยังแก้กันไม่ได้อยู่ดีว่าจะทำยังไงให้มันไม่เป็น Waste หนัก รีไซเคิลได้ออกมาก็ Eff ต่ำ ไอประเทศที่มีเหมืองก็ขึ้นราคาจะหน้ามืดกันไปหมด

ปล2. ประเทศหรือกลุ่มที่ชอบพูดปาวๆว่าพยายามลดมลภาวะ ลดการปล่อยคาร์บอน อะไรนั่นทั้งหลายน่ะ ปัจจุบันก็ยังเป็นตัวการหลักๆที่ปล่อยคาร์บอนออกมาอยู่ดี
ผมเลยรู้สึกว่าไอ BEV เพื่อพลังงานสะอาดอะไรนี่ ตอแหลที่สุดในชีวิตละ

ออฟไลน์ deertesla

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,245
ตอบเฉพาะจากหัวข้อ เพราะผมอ่านในโพสแล้วไม่รู้เรื่องว่าจะสื่ออะไร หรือไปในทิศทางไหน

ราคาน้ำมันกับต้นทุนการผลิตไฟไม่เชิงเกี่ยวข้องกันโดยตรง เหตุผลคือเขาไม่ได้เอาน้ำมันไปปั่นไฟ (ยกเว้นอยู่ไซปรัส) และน้ำมันมี demand ของมันอยู่แล้วนอกจากเอาไปเติมรถยนต์


ข้ออ้ารการกีดกันทางกรค้าแหละครับ

Point ของผมคือ ประเทศที่ สนับสนุนและมียอดขาย BEV สูง แท้จริงแล้ว ต้องการลดการใช้น้ำมัยเชื้อเพลิงครับ
ไม่ได้เกี่ยว พุดถึงเรื่องเอาน้ำมันมาผลิตไฟฟ้าเลยครับ 
หาก มองไปที่ EU และ จีน จะพบว่า 2 กลุ่มนี้ ต้องนำเข้าน้ำมันและมีราคาน้ำมัน ที่สูงมากๆ  และ กลุ่มนี้ มีโรงไฟฟ้นิวเคลียร์ที่กำลังการผลิตสูง สามารถจ่ายไฟในระบบด้วยต้นทุนต่ำไงครับ

ส่วนเรื่องไฟฟ้า ในบ้านเราก็เห็นเริ่มมีการเปลี่ยน Meter เป็รแบบใหม่ที่ รองรับกำลังไฟในการชาร์รถไฟฟ้าได้
แต่ แค่ เจอค่าไฟหลักพันและค่า FT ยังบ่นกันแล้ว เพราะต้นทุนไฟฟ้า เราก็ไม่ได้ถูกนะ

ผมเลยคิดว่า ในแง่ความคุ้มค่า ตอนนี้ BEV มันคุ้มกว่า Hybid  หรือ รถน้ำมันจริงไหม เพราะปัจจัยแต่ละประเทศต่างกัน
การเอา บรรทัดฐาน ของอีก ประเทศนึง มา กำหนดพฤติกรรม การซื้อรถของ คนทั้งโลก อาจไม่ถูกเสมอไป

เพราะกระแส BEV มันมาจะ 10 ปีแล้วไม่ใช่พึ่งมา

จริงๆถ้าท่านเขียนแบบนี้ตั้งแต่หัวโพส ผมว่าจะมีคนเข้าใจเยอะกว่านี้มากเลยครับ เพราะผมอ่านยังไงก็อ่านไม่รู้เรื่อง นึกว่าท่านกำลังพูดถึงเรื่องราคาน้ำมันกับค่าไฟ

คือจริงๆแล้วเรื่องการลดพึ่งพาน้ำมันมีนานมากแล้วครับ ก่อนจะมี Hybrid ก็เป็นเชื้อเพลิงทางเลือก ทั้ง NGV, LPG รวมถึงโซฮอลล์และ Biodiesel
รถไฟฟ้าจริงๆก็มีนานแล้ว เพียงแต่ว่าเทคโนโลยีมันยังไปไม่ถึง (ทั้งตัวแบตและการชาร์จ) มันเลยไม่เกิด ทีนี้พอแบตกับระบบชาร์จพัฒนามาถึงขั้นนึงมันก็ไปต่อง่ายแล้ว
ของยุโรปจริงๆผมเชื่อว่าเขาพยายามลดแบบกึ่งๆมัดมือชกด้วยสภา EU ออกกฎ ถ้าไม่มีสภา EU ผมมองว่าอาจจะยืดกันไปจนถึง 2050 นู่นเลยถึงจะไม่ให้ผลิตรถ ICE

ส่วนของจีนผมมองตรงกันข้าม ผมมองว่า ตัวผู้ผลิตไม่ได้มี Know-How ในการทำรถ ICE แต่แรกแล้ว (ถ้าไม่เน่าแบบมั่วซั่ว ก็คือซื้อพิมพ์เขียวเครื่องเก่าๆต่างชาติมาทำ)
เขาก็เลยมองข้ามช็อต ในเมื่อรัฐบาลมี Know-how ในการผลิตแบตเตอรี่และเทคโนโลยีชาร์จอยู่แล้ว (จีนได้ตรงนี้มา เพราะจีนบังคับให้ต่างชาติที่มาเปิดโรงงานต้องแชร์ความรู้ให้กับทางจีนด้วย)
เขาก็แค่โยนให้เอกชนไปวิจัยแล้วทำต่อเป็นของตัวเอง เราก็เลยเห็นกระแสรถ BEV จีนแรงกว่าเจ้าอื่นๆเขา

แต่จริงๆก็ไม่ใช่ว่าทั้งประเทศจีนจะพร้อมเปลี่ยนเป็น BEV นะครับ เขาก็เหมือนหลายๆประเทศ ที่เมืองใหญ่พร้อม แต่รอบนอกชนบทนี่ ขับรถไฟฟ้าไป หาปลั๊กเสียบที่ไหนแล้วจะรองรับบ้าง?

สุดท้ายแล้ว เรื่อง BEV จะคุ้มไม่คุ้ม ผมเห็นด้วยกับท่าน ว่าไม่ควรเอาบรรทัดฐานประเทศอื่นมาใช้ บ้านเราจริงๆแล้วต่อให้ไฟฟ้ากลับมาราคาปกติ (แก้ปัญหาสัญญาที่ทำให้ราคาแพงออกไปน่ะนะ)
ก็ต้องพึ่งพาปริมาณแก๊สธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าอยู่ดี จะใช้จากอ่าวไทยอย่างเดียวยังไงก็ไม่พอ (มันมีเกรดเข้าอุตสาหกรรม กับเอามาเผาต้มปั่นไฟ)
ฉะนั้นแล้วสุดท้ายถ้า Demand มันมากเกิน ยังไงค่าไฟก็พุ่ง ยกเว้นว่าเราแก้ปัญหาตรงนี้ได้ด้วยพลังงาน "ฟรี" อื่นๆ (ใช้คำนี้ละกัน มองภาพง่ายดี) เช่น น้ำ ลม แสงแดด เป็นต้น

ปล. จริงๆผมพูดตั้งแต่ตอนสมัยนู๊นที่เริ่มมีข่าวว่ารถไฟฟ้ากำลังจะเข้าไทย (ช่วงมีนโยบาย BEV นั่นแหละ) ว่าสุดท้ายแล้วมันไม่ยั่งยืน
ไอที่ลดปริมาณควันไรงี้ได้ ก็แค่โยนปัญหาฝุ่นควันไปที่แถวโรงไฟฟ้า แล้วเดี๋ยวก็จะมีการทะเลาะกันเรื่องแย่งปลั๊กไฟอีก (แล้วก็มีจริง)
ท้ายที่สุด ปัญหาเรื่องแบตเตอรี่ก็ยังแก้กันไม่ได้อยู่ดีว่าจะทำยังไงให้มันไม่เป็น Waste หนัก รีไซเคิลได้ออกมาก็ Eff ต่ำ ไอประเทศที่มีเหมืองก็ขึ้นราคาจะหน้ามืดกันไปหมด

ปล2. ประเทศหรือกลุ่มที่ชอบพูดปาวๆว่าพยายามลดมลภาวะ ลดการปล่อยคาร์บอน อะไรนั่นทั้งหลายน่ะ ปัจจุบันก็ยังเป็นตัวการหลักๆที่ปล่อยคาร์บอนออกมาอยู่ดี
ผมเลยรู้สึกว่าไอ BEV เพื่อพลังงานสะอาดอะไรนี่ ตอแหลที่สุดในชีวิตละ

ออฟไลน์ dht_tubes

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,636
    • อีเมล์
-มีคนบอก Tesla​ จะไม่ official​ ในไทย แต่ก็มาแล้ว
-ฉีดตัวถังเป็นชิ้นใหญ่แบบ Tesla เร็วๆนี้ Xpeng ก็ทำแล้ว ผู้ผลิตเครื่องฉีดจากอิตาลี​ก็เทียวบอกว่ามีผู้ผลิตรถอเมกา ยุโรป เอเชีย สั่งเครื่องจักร​มาจนออเดอร์​ล้น
-10ปีที่แล้วไม่มีตัวเลือก 1ปีมานี้ตัวเลือกมาแล้ว Atto3 ทำยอยขายแซง cross​ ไปแล้วใครจะไปคิด
-วันนี้ Big5 จีนมาตั้งโรงงาน ถยอยลงเสา
-อีกไม่กี่วันเกาหลีและ Big10จีน รอคุยรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง
-Foxconn​+PTT กลายเป็นตัวเล็กไปเลย​
-จุดชาจสาธารณะ​โตวันโตคืน
-เร็วๆนี้รัฐจะขึ้นภาษีรถน้ำมันและhybrid
-และสุดท้ายไฟฟ้าประเทศไทยเราเหลือเยอะ แผนกระตุ้นการลงทุนตั้งโรงงานอุตสาหกรรม​ในไทยทำให้เรามีปริมาณ​ไฟเหลืออีกเยอะมาก ต่อให้มีปริมาณรถBEVได้ 30/30ตามแผน รถBEVก็ใช้ไฟน้อยกว่าภาคอุตสาหกรรม​และภาคท่องเที่ยวที่เผื่อไว้​อีกเยอะครับ

ขอบคุณสำหรับข้อมูลเชิงลึกครับ เป็นอีกมุมที่น่าคิดมากๆ

ออฟไลน์ mamaman

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,422
    • อีเมล์


ปล. จริงๆผมพูดตั้งแต่ตอนสมัยนู๊นที่เริ่มมีข่าวว่ารถไฟฟ้ากำลังจะเข้าไทย (ช่วงมีนโยบาย BEV นั่นแหละ) ว่าสุดท้ายแล้วมันไม่ยั่งยืน
ไอที่ลดปริมาณควันไรงี้ได้ ก็แค่โยนปัญหาฝุ่นควันไปที่แถวโรงไฟฟ้า แล้วเดี๋ยวก็จะมีการทะเลาะกันเรื่องแย่งปลั๊กไฟอีก (แล้วก็มีจริง)
ท้ายที่สุด ปัญหาเรื่องแบตเตอรี่ก็ยังแก้กันไม่ได้อยู่ดีว่าจะทำยังไงให้มันไม่เป็น Waste หนัก รีไซเคิลได้ออกมาก็ Eff ต่ำ ไอประเทศที่มีเหมืองก็ขึ้นราคาจะหน้ามืดกันไปหมด

ปล2. ประเทศหรือกลุ่มที่ชอบพูดปาวๆว่าพยายามลดมลภาวะ ลดการปล่อยคาร์บอน อะไรนั่นทั้งหลายน่ะ ปัจจุบันก็ยังเป็นตัวการหลักๆที่ปล่อยคาร์บอนออกมาอยู่ดี
ผมเลยรู้สึกว่าไอ BEV เพื่อพลังงานสะอาดอะไรนี่ ตอแหลที่สุดในชีวิตละ

เอาจริงๆ ตัวที่ทำให้ ต้องนำเข้าน้ำมันและก็าชธรรมชาติ หลักๆ คือ กลุ่มอุตสหกรรมครับ ประชาชน มีผลบ้าง แต่ไม่ใช่ตัวหลักที่ ทำให้มีการนำเข้า
น้ำมัน อ้างเกรด ต่ำ ส่งออก
แต่ ปตท มีโรงกลั่นน้ำมันนำเข้า ได้
ก็าซธรรมชาติ เอามาปั่นไฟ และ ใช้ในโรงงาน อุตสกรรมเป็นหลักครับ NGV ส่งท่อเข้าโรงงาน อุตสกรรมหนักตรงๆเลยครับ ประชาชนไม่เกี่ยวเลย รอปลายทางสินค้า

ส่วนตัว ผมมองว่าสร้าง ระบบรถราง ขนส่ง มวลชน ให้ลดการใช้รถแบบ สเปะสปะ จะทำให้ เราไม่ต้องนำเข้าน้ำมัน
และ น้ำมันจะราคา ลดลงได้อีก เกือบ 10 บาท เมื่อน้ำมันไทยราคาปกติ  เผลอ รถไฟฟ้า นี่ละ ค่าใช้จ่ายจะแพงกว่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 14, 2023, 11:57:40 โดย mamaman »

ออฟไลน์ REX

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,015
ที่ท่านบอกว่า .....
ส่วนตัว ผมมองว่าสร้าง ระบบรถราง ขนส่ง มวลชน ให้ลดการใช้รถแบบ สเปะสปะ จะทำให้ เราไม่ต้องนำเข้าน้ำมัน
...นั่นหละครับมันคือทางที่ต้องเป็น  แต่พวกนี้มันจะ fix เวลาตายตัวแน่นอน
และมันจะมีระบบ flexible ควบคู่กันไปในอนาคตคือ  sharing car ที่สามารถปรับตามความสะดวกของแต่ละบุคคลได้

ในเรื่องรถไฟฟ้า สุดท้ายมันก็ต้องยอมเปลี่ยน ICE ไปใช้ BEV. Hybrid  อยู่ดี
การมีชีวิตอยู่รอดหนีโลกร้อน ของสรรพสัตว์บนโลก มันคือสิ่งที่หลีกไม่ได้ 
เพียงแต่ที่ จีนและยุโรป มันเปลี่ยนก่อนใคร เพราะรัฐสนับสนุน ภูมิรัฐศาสตร์ เขาเอื้ออำนวยและรวยพอ
การที่ประเทศอื่นไม่พร้อม ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำ หนะดีแล้ว
เทคโนโลยี่รถ BEV ปัจจุบัน มันเหมาะสำหรับ life style บางครอบครัว
รอให้มันพัฒนากว่านี้ หลายๆอย่างก็จะดีขึ้น
แต่เมื่อทุกอย่างของ BEV ดีขึ้น
ตอนที่พากันแห่มาใช้  demand มากขึ้น supply พลังงานมันก็มีอยู่แค่นี้
ตอนนั้น ค่าไฟก็แพงกว่านี้อีก   





ออฟไลน์ axister

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,173
อ่านแล้วไม่เข้าใจ แต่ข้อมูลน่าจะผิดนะครับ อันนี้ source มาหรือว่าคิดเอง

มันเป็นอีกเทคโนโลยีของพลังงานครับ ที่เค้าสนับสนุนเพราะมันไม่ปล่อยมลพิษ

เครื่องพลังงานการผลิตต่างๆ ไม่ได้ต่างกันครับ ค่าไฟ ยุโรปจีนก็ไม่ได้ถูกนะ เทียบค่าครองชีพแล้ว น้ำมันไทยแพงกว่ามากครับ
เทียบค่าแอร์ก็งงมากๆ อีกจุด ประเทศเมืองหนาวเค้าไม่ได้ใช้ air-con แบบเราอะครับ เพราะมันแพงมากๆ แพงกว่าไทยเปิดแอร์หน้าร้อนเยอะครับ เค้าเลยนิยมใช้ gas ซึ่งก็ไม่ได้ถูกนะ แต่ถ้าจะให้เปิด heater แบบเปิดแอร์บ้านเรา ค่าไฟหน้าร้อนในไทยคือสิวๆครับ

ตอนนี้ราคารถแบตมันแพงเพราะ เทคโนโลยีของแบตมันกำลังพัฒนา ประเทศที่ยกตัวอย่างมาส่วนใหญ่เป็นโลกที่ 3 ไม่แปลกใจว่าทำไม mass car มันจะขายดีกว่า
ไม่ชอบใจไม่ต้องใช้ครับ เดี๋ยวกาลเวลาจะบีบให้ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆเอง แบบทุกวันนั้นถ้ามีลุงต่อต้านเครื่องยนต์จะใช้รถม้าอยู่เค้าก็ไม่ติดนะครับ แต่เค้าไม่ใช้กันเอง

ในโลกที่ 3 ecocar ถึงขายดีไงครับ ไม่ใช่เพราะน้ำมันถูก แต่น้ำมันแพงเลยต้องเอาเครื่องจิ๋วๆ ประหยัดน้ำมันเป็นหลัก ละมันจำเป็นต้องใช้
ไม่นับญี่ปุ่นที่มี k-car เพราะพื้นที่จำกัดนะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 15, 2023, 11:49:01 โดย axister »

ออฟไลน์ mamaman

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,422
    • อีเมล์
อ่านแล้วไม่เข้าใจ แต่ข้อมูลน่าจะผิดนะครับ อันนี้ source มาหรือว่าคิดเอง

มันเป็นอีกเทคโนโลยีของพลังงานครับ ที่เค้าสนับสนุนเพราะมันไม่ปล่อยมลพิษ

เครื่องพลังงานการผลิตต่างๆ ไม่ได้ต่างกันครับ ค่าไฟ ยุโรปจีนก็ไม่ได้ถูกนะ เทียบค่าครองชีพแล้ว น้ำมันไทยแพงกว่ามากครับ
เทียบค่าแอร์ก็งงมากๆ อีกจุด ประเทศเมืองหนาวเค้าไม่ได้ใช้ air-con แบบเราอะครับ เพราะมันแพงมากๆ แพงกว่าไทยเปิดแอร์หน้าร้อนเยอะครับ เค้าเลยนิยมใช้ gas ซึ่งก็ไม่ได้ถูกนะ แต่ถ้าจะให้เปิด heater แบบเปิดแอร์บ้านเรา ค่าไฟหน้าร้อนในไทยคือสิวๆครับ

ตอนนี้ราคารถแบตมันแพงเพราะ เทคโนโลยีของแบตมันกำลังพัฒนา ประเทศที่ยกตัวอย่างมาส่วนใหญ่เป็นโลกที่ 3 ไม่แปลกใจว่าทำไม mass car มันจะขายดีกว่า
ไม่ชอบใจไม่ต้องใช้ครับ เดี๋ยวกาลเวลาจะบีบให้ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆเอง แบบทุกวันนั้นถ้ามีลุงต่อต้านเครื่องยนต์จะใช้รถม้าอยู่เค้าก็ไม่ติดนะครับ แต่เค้าไม่ใช้กันเอง

ในโลกที่ 3 ecocar ถึงขายดีไงครับ ไม่ใช่เพราะน้ำมันถูก แต่น้ำมันแพงเลยต้องเอาเครื่องจิ๋วๆ ประหยัดน้ำมันเป็นหลัก ละมันจำเป็นต้องใช้
ไม่นับญี่ปุ่นที่มี k-car เพราะพื้นที่จำกัดนะ

แปลกดีนะครับ คุยเรื่อง พลังงาน ความเหมาะสม
สามารถ แดกดันไป ที่ รถม้า และ เหยียด ประเทศชาติ จัดอันดับโลก 3 ให้ด้วย
แถม งง ตรรกะ  บอกประเทศเมืองหนาวเค้าไม่ได้ใช้ air-con แบบเราอะครับ เพราะมันแพงมากๆ แต่ใช้แก็ส มันคนละเรื่องกันไหม ตลกจัง

air-con แบบบ้านเรา หน้าหลักเอาไว้ทำความเย็น นะครับ ไม่ได้เอาไว้ทำความร้อน  อย่า ตลกครับ

ออฟไลน์ lay

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,265
-มีคนบอก Tesla​ จะไม่ official​ ในไทย แต่ก็มาแล้ว
-ฉีดตัวถังเป็นชิ้นใหญ่แบบ Tesla เร็วๆนี้ Xpeng ก็ทำแล้ว ผู้ผลิตเครื่องฉีดจากอิตาลี​ก็เทียวบอกว่ามีผู้ผลิตรถอเมกา ยุโรป เอเชีย สั่งเครื่องจักร​มาจนออเดอร์​ล้น
-10ปีที่แล้วไม่มีตัวเลือก 1ปีมานี้ตัวเลือกมาแล้ว Atto3 ทำยอยขายแซง cross​ ไปแล้วใครจะไปคิด
-วันนี้ Big5 จีนมาตั้งโรงงาน ถยอยลงเสา
-อีกไม่กี่วันเกาหลีและ Big10จีน รอคุยรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง
-Foxconn​+PTT กลายเป็นตัวเล็กไปเลย​
-จุดชาจสาธารณะ​โตวันโตคืน
-เร็วๆนี้รัฐจะขึ้นภาษีรถน้ำมันและhybrid
-และสุดท้ายไฟฟ้าประเทศไทยเราเหลือเยอะ แผนกระตุ้นการลงทุนตั้งโรงงานอุตสาหกรรม​ในไทยทำให้เรามีปริมาณ​ไฟเหลืออีกเยอะมาก ต่อให้มีปริมาณรถBEVได้ 30/30ตามแผน รถBEVก็ใช้ไฟน้อยกว่าภาคอุตสาหกรรม​และภาคท่องเที่ยวที่เผื่อไว้​อีกเยอะครับ
+++ตามนี้เลยครับ