ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการเกษตรพัฒนาไปมาก ล้วนมีเครื่องมือเครื่องจักกลใหม่ๆออกมาให้เกษตรกรซื้อหาไปทำการเกษตรเพื่อให้ได้ผลผลิตที่สูงคุ้มค่าต่อการลงทุน
หากจะกล่าวถึงเฉพาะการทำนาแล้ว ในปัจจุบันการทำนาแตกต่างกับอดีตอย่างมาก เพราะในอดีตนั้นการทำนาจะพึ่งพาน้ำจากธรรมชาติ ทำนาเพียงปีละ 1 ครั้งและเป็นการทำนาเพื่อใช้บริโภคภายในครอบครัวเป็นหลัก
แต่ปัจจุบันเกษตรกรในบางที่ ทำนาปีละ 3 ครั้งเป็นนาปี(น้ำฝน)1ครั้งและนาปรัง(น้ำบาดาล,น้ำบ่อ,หรือน้ำจากการชลประทาน)อีก1-2ครั้ง ชาวนาจึงต้องเร่งรีบในการปรับพื้นที่เพื่อปลูกข้าวใหม่หลังจากเก็บเกี่ยวไปแล้ว
เดิมชาวนาจะใช้รถไถนาขนาดใหญ่(แทรคเตอร์)ไถนากลบฟางข้าวทิ้งไว้ เพื่อเป็นปุ๋ย วิธีนี้ใช้เวลานานและสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากกว่าพื้นที่นั้นจะพร้อมปลูกข้าว ปัจจุบันชาวนาต้องทำนามากกว่าปีละ 2 ครั้งจึงไม่มีเวลารอฟางข้าวย่อยสลาย
ชาวนายกเลิกการไถนา หันมาใช้เครื่องมือที่เรียกว่าจอบหมุน(โรตารี่)เป็นแกนใบมีดหมุนตีดินให้แตกละเอียด(นึกถึงการทำงานของกบไสไม้ไฟฟ้า แต่ความเร็วจอบหมุนต่ำกว่ามาก)
แรกเริ่มทดลองกับรถไถนาขนาดใหญ่ พบว่าทำงานได้ช้า กินน้ำมันมากและติดหล่มบ่อย เนื่องจากรถไถนาขนาดใหญ่ขับเคลื่อนล้อหลังเท่านั้น
จึงมีรถไถนาขนาดเล็กขับเคลื่อน 4 ล้อเข้ามาขาย ทำงานได้รวดเร็วกว่ารถขนาดใหญ่ กินน้ำมันน้อยกว่า แต่ก็แลกมาด้วยราคาค่าตัวรวมอุปกรณ์เสริมที่แพงพอๆกับรถเก๋งป้ายแดง
ยกตัวอย่างรถไถนารุ่นเล็กสุดที่สามารถใช้งานในที่นาหล่มได้ มีกำลัง34-36แรงม้า ปัจจุบันมีขายแต่ 36 แรงม้า ราคาตัวรถ 4.39แสนบาท ไม่สามารถทำงานได้เนื่องจากไม่มีจอบหมุน
ต้องซื้อขอบหมุนอีก ราคา 53000 บาท หากต้องการแบบครบเครื่อง ต้องซื้อใบมีดดันดินด้านหน้ารถ ราคา 45000 บาท เมื่อมีใบมีดแล้วต้องมีผานพรวนอีก เพื่อไถดินช่วยเวลาดันดินและถ่วงล้อหลังให้หนักกันล้อฟรี ราคา 33500 บาท
เมื่อรวมราคาทั้งหมดแล้วเป็นเงิน 5.7 แสนบาท ชาวนาไม่มีเงินมากขนาดนั้น จึงเลือกดาวน์ต่ำๆ ประมาณ1แสนบาทต้นๆ เพื่อเก็บเงินไว้ลงทุนทำนาต่อไป โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงอัตราดอกเบี้ยและรายรับที่ไม่แน่นอนของตัวเอง
การส่งงวดของรถไถนาไม่เหมือนกับรถยนต์ที่ต้องส่งทุกเดือน แต่ชาวนานั้นสามารถเลือกส่งงวดได้ทุกๆ 3,6หรือ12เดือน เรียกว่า งวดใหญ่ แต่ทุกเดือนต้องส่งงวดเล็กประมาณ 2 พันบาทเลี้ยงไว้ตลอด
เมื่อรวมดอกเบี้ยแล้ว มูลค่าเกิน 7 แสนบาทไปไกล หากเลือกส่งทุก 6 เดือน งวดใหญ่ต้องจ่ายครั้งละ 7 หมื่นกว่าบาท เฉลี่ยนเดือนละเกิน 1 หมื่นบาท จะเห็นได้ว่าค่างวดแพงกว่ารถยนต์
ทำให้ชาวนาจำนวนมากหาเงินส่งงวดรถไม่ทันต้องพึ่งพาเงินกู้นอกระบบ เพื่อรักษาเครื่องมือหากินที่มีเอาไว้ ยังไม่คิดกรณีที่นาเกิดปัญหาน้ำท่วม น้ำแห้งหรือโรคในนาข้าว ยิ่งทำให้รายได้ของชาวนาลดลงไปอีก
เมื่อคำนวณแล้วจะพบว่า ชาวนาได้กำไรจากการขายข้าวไม่เกินไร่ละ 5 พันบาทต่อการทำนา 1 ครั้ง(ทำนา 1 ครั้งใช้เวลา 4 เดือน)การจะมีเงิน 7 หมื่นบาทส่งค่างวดรถจะต้องทำนาอย่างน้อย 20ไร่ หากนาที่ลงทุนไว้น้ำท่วมหรือเป็นโรค
เงินที่ลงทุนไว้จะหายไปทั้งหมดทันที ทำให้ชาวนาเป็นหนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ชาวนาเกือบทั้งหมดไม่มีความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ รู้แค่เพียงว่าทั้งหมดต้องจ่ายเท่าไร รู้ว่าแพงมากแต่จำใจต้องจ่าย เพื่อทำนาต่อไปได้ทุกๆปี หน่วยงานเดียวที่คอยช่วยเหลือชาวนาคือ ธกส.แต่ ธกส.ไม่สามารถช่วยเหลือเรื่องสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำได้ทั้งหมด
เพราะชาวนาไม่ได้เริ่มต้นการซื้อรถไถโดยไม่มีหนี้สินเลย ทั้งหมดที่กล่าวมายังไม่นับเครื่องมือการเกษตรอื่นๆที่ไม่ได้ช่วยให้การทำนาได้ผลผลิตมากคุ้มต่อเงินลงทุนซื้อเครื่องมือนั้นๆ
อยากให้ชาวนาคิดคำนึงถึงการลงทุนใดๆที่คุ้มค่า ทุกๆนาทีที่ทำนาคือการลงทุนอยู่แล้ว เคมีเกษตร,ปุ๋ยเคมีต่างๆมีแต่ราคาขึ้นไม่มีราคาลง ดังนั้นคิดจะซื้อเครื่องมือใดๆควรคำนึงถึงความคุ้มค่าให้มากที่สุด ควรเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยในแต่ละสถาบันการเงินให้คุ้มค่า
และยอมเลือกที่จะจ้างแทนการซื้อหากทำนาเป็นจำนวนน้อย ชาวนาควรมีการบันทึกข้อมูล ทำสถิติต่างๆของเงินที่ใช้ลงทุนในการทำนาแต่ละครั้ง เพื่อเปรียบเทียบราบรับ-รายจ่ายก่อนที่จะคิดลงทุนซื้อเครื่องมือทำนาราคาแพง ทั้งนี้เพื่อชาวนาจะสร้างเนื้อสร้างตัวลดภาระหนี้สิน
รับมือกับราคาสินค้าอื้นๆในชีวิตประจำวันที่ปรับราคาสูงขึ้นต่อไป