ปัญหาที่ทำให้รถไฟฟ้าในไทยไม่ได้และสิ่งที่อาจทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ในไทยล่มสลาย มีสาม อย่างครับ
1. ภาษีแบตเตอรี่ ที่แพงมาก คิดเป็น 28% ของราคาแบต อ้างอีงจาก
https://eit.or.th/paperseminar/EV-1.pdf ซึ่งแบตเตอรี่รถBEV ใช้ลูกใหญ่ ราคาแบตคิดเป็นเกือบ 50% ของราคารถ ทำให้เมื่อเทียบรุ่นใกล้เคียงกันแล้ว ราคารถ BEV จึงสูงมากๆ ลองดูตัวอย่างนิสสันลีฟ หรือ benz ที่ยกเลิกการผลิต BEV ในไทยเค้าก็คงเห็นภาระตรงนี้
2. การชาร์จไฟทำไม่ได้จริง ภาษี demand charge สำหรับภาคเอกชน ที่คิด 200บาท/kw; demand charge คือ การเอาต้นทุนค่าสร้างโรงไฟฟ้า การเดินสายส่ง มารวมเป็นค่าไฟด้วย ซึ่งจะคิดเฉพาะแท่นชาร์จรถไฟฟ้าเท่านั้น เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ไม่คิด ดังนั้นแท่นชาร์จของเอกชนจึงไม่เกิด เพราะเปิดไปก็ไม่คุ้ม แท่นชาร์จที่ตอนโดผมคิด 50 บาท/ชม ซึ่งเป็นปัญหาที่เห็นได้จากคลิป ขับ MG ไปเชียงใหม่ว่าแท่นชาร์จหาได้ยากมากเลย
นอกจากภาษีแบตที่แพงแล้ว ทางรัฐ คิดค่าทำลายแบตเตอรี่ บวกเข้าไปตั้งแต่ตอนซื้อเลย ซึ่งจะคิดตามความจุแบต รถEV ที่ใช้แบตใหญ่เสียตรงนี้แพงเหมือนกัน ดังนั้นคนที่กลัวว่าแบตจะทำลายไม่ถูกต้องก็สบายใจได้เลย เพราะเค้าคิดค่าทำลายแบตมาแต่แรกอยู่แล้ว
3. ภาษีนำเข้ารถไฟฟ้าจากจีนถูกมาก ลองนึกถึงราคาMG EV ล้านสอง กับ nissan leaf สองล้าน นะครับ
ทีนี้กลับมาที่คำถาม จขกท ครับ
จะทำอย่างไรถ้า ถูกรถไฟฟ้าเข้ามาแทนที่ ?
คำตอบก็คงต้องกลับไปดูในอดีตเทคโนโลยี่ที่ถูก dusrupt มาก่อนครับ
- รถม้า--> รถไฟ มีคนขี่รถม้าต่อต้านมากมาย แต่สุดท้ายการสร้างรถไฟก็มีการจ้างงานมากขึ้น
- เทียนไข มาเป็นไฟฟ้า ก็มีคนต่อต้านว่ามันอันตราย ไฟดูดตายได้ แต่สุดท้ายเทียนไขก็ตายไป
- กล้องฟิลม์ มาเป็นกล้อง ดิจิตอล อันนี้ kodak ตายไปเลย แต่ fuji อยู่ได้เพราะเค้าปรับตัว ทุกวันนี้มาทำกล้อง digital แล้วอยู่ได้
- nokia มาเป็น iphone อันนี้ nokia ไม่ปรับตัวเลย ตายสนิท
ดังนั้น สิ่งสำคัญคือ
ปรับตัวให้เร็วครับ รถยนต์ ไฟฟ้า กับเครื่องยนต์ เทรนด์โลกปัจจุบัน ไม่ว่ายุโรป หรือ จีน ก็เน้นเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ดังนั้น ก็คงเป็นอย่างที่ จขกท ว่า ยังไงก็ถูก disrupt
ดังนั้นต้องรีบปรับตัว
โดยภาครัฐ
-ส่งเสริมการผลิตแบตเตอรี่รถไฟฟ้า ให้เกิดขึ้นในไทย ด้วยการลดภาษีลง
-ลดค่าdemand charge
-แก้ไขปัญหาเรื่องภาษีรถไฟฟ้าจากจีนที่นำเข้ามา ปัจจุบันแทบไม่เสียภาษีเลย
ภาคเอกชน
- บริษัทรถยนต์ที่ลงทุนในไทย ควรกลับมามองความเป็นจริง และควรเร่งพัฒนารถไฟฟ้า ให้มากกว่านี้ หากไม่รีบพัฒนาก็คงเหมือนบริษัทต่างๆที่ถูกdisrupt ไป ซึ่งตอนนี้ ก็ต้องเผชิญความท้าทายกับ tesla และ รถไฟฟ้าจากจึนอยุ่
- ถ้าบริษัทเหล่านี้ค่อยๆ พัฒนาและถ่ายทอด มาเมืองไทย ธุรกิจรถยนต์ก็อยู้ได้
ตอนนี้รูปแบบ ผมคาดการณ์ ว่าน่าจะเป็นสองแบบ
1. ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป คือคิดภาษีแท่นชาร์จกับแบตเตอรี่เยอะๆ บริษัทรถยนต์หน้าเดิมๆ อยู่ได้ในระยะสั้น ถึงระยะกลาง ไทยก็กลายเป็นที่ระบายเทคโนโลยีเก่าๆ พร้อมกับมลพิษทางอากาศ แต่ในระยะยาวเมื่อเทรนด์โลกเลิกใช้รถน้ำมัน ผลิตไปก็ไม่คุ้ม เมื่อนั้นจะลำบากเพราะ รถไฟฟ้าจากจีนที่แทบไม่ต้องเสียภาษีก็ยึดตลาดเมืองไทยไว้เรียบร้อยแล้ว อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ตั้งแต่ ต้นจนปลายทางsupply chainต่างๆ จะตายสนิทไปเลย
2. รัฐสนับสนุนรถไฟฟ้าเต็มที่ ออกกฏให้ บริษัทต่างๆ ได้ประโยชน์ สนับสนุนการสร้างแท่นชาร์จ ลดภาษีแบต และพยายามให้ไทยเราเป็นศูนย์กลางในการผลิตรถไฟฟ้าให้ได้ หาทางป้องกันการไหลเข้ามาของรถไฟฟ้าจีน ค่อยๆทำไป อาจจะลำบากช่วงต้น ช่วงกลาง แต่ระยะยาวแล้ว ไทยจะยังสามารถเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ ของภูมิภาคนี้ได้และยังมีเงินทุนหมุนเวียนในอุตสาหกรรมรถยนต์ แต่ในส่วนของเหลวต่างๆ แรงงานและการผลิตอาจshift มาในรูปแบบของแบตเตอรี่ครับ