เรื่องของบริการหลังการขาย ผมมองแยกจากตัวรถนะครับ
ศูนย์ฟอร์ดห่วยแตก และช่างไม่เก่งแก้ไม่จบ อันนี้ผมยอมรับว่าจริงแท้แน่นอนเลยครับ
แต่ศูนย์บริการมันคือการลงทุนของเจ้าของโชว์รูมนะครับ โตโยต้าเขาไม่ได้มาลงทุนสร้างให้ ดังนั้นจะบอกว่าจุดนี้คือต้นทุนรถคงไม่ใช่ครับ
ผมมองว่าต้นทุนรถ มันก็พอๆกันครับ อยู่ที่ใครจะเอากำไรต่อคันมากกว่า
จุดนี้ผมมองว่า โตโยต้าเอากำไรต่อคันเยอะมากเกินไป เพราะเขามองว่ายังไงเขาก็ขายได้
มองแบบนี้ก็มีส่วนถูก และมีส่วนไม่ถูกครับ
ศูนย์บริการ คือการลงทุนของเจ้าของโชว์รูมก็จริง แต่ในวรรคถัดไปคุณอุบลวรรณ บอกเองกว่า
อยู่ที่ใครจะเอากำไรมากกว่ากัน ดังนั้น ผมจะลองขยายความให้ดูนะครับ
ยกตัวอย่างเช่น (ย้ำอีกทีนะครับ ว่ายกตัวอย่าง)
Altis แทนด้วย รถ A ขาย 1,069,000 กำไรต่อคัน 300,000 บาท แบ่งให้ดีลเลอร์ 10% คือ 30,000 บาท
ดังนั้น ดีลเลอร์จะได้ส่วนแบ่งจากการขายรถ 1 คัน เท่ากับ 30,000 บาท
Focus แทนด้วย รถ B ขาย 1,069,000 กำไรต่อคัน 100,000 บาท แบ่งให้ดีลเลอร์ 10% คือ 10,000 บาท
ดังนั้น ดีลเลอร์จะได้ส่วนแบ่งจากการขายรถ 1 คัน เท่ากับ 10,000 บาท
พอจะเห็นภาพมั้ยครับ ว่าราคาขาย มันไปเกี่ยวกับการลงทุนศูนย์บริการอย่างไร?
ยังไม่จบเพียงเท่านี้ ลองดูยอดขายสิครับ ต่อเดือน รถ A ขายไ้ด้กี่คัน รถ B ขายได้กี่คัน
อ้างอิงจาก ยอดขายบางเดือนที่ผมเก็บข้อมูล
รถ A ขายได้เดือนละ 2,500 คัน มีประมาณ 300 ดีลเลอร์
เฉลี่ยเดือนนึงขายได้ดีลเลอร์ละ 8 คัน x 30,000 เป็นเงิน 240,000 บาท
รถ B ขายได้เดือนละ 250 คัน มีประมาณ 100 ดีลเลอร์
เฉลี่ยเดือนนึงขายได้ดีลเลอร์ละ 2 คัน x 10,000 เป็นเงิน 20,000 บาท
พอจะเห็นภาพชัดขึ้นมั้ยครับ ว่ารายรับของดีลเลอร์มันต่างกัน
นั่นทำให้ศักยภาพในการพัฒนาศูนย์บริการมีผลต่อเนื่องกันไปด้วย
ผมก็ไม่ได้สนับสนุนว่าการให้ option น้อยกว่าแต่ขายแพงกว่าเป็นสิ่งที่ดี
เพียงแต่เห็นความเห็นของคุณอุบลวรรณแล้ว น่าจะเข้าใจไม่ถูกต้อง
ว่าราคาขาย มันไม่เกี่ยวกับการบริการหลังการขาย ซึ่งจริงๆแล้วมันเกี่ยวครับ
ผมก็คิดเหมือนกันว่า ราคา Altis ตัวท๊อป ราคาสูงไป
โตโยต้าสามารถตั้งราคาให้ต่ำกว่านี้ได้