กระทู้แรกเลยครับ เพิ่งเป็นสมาชิกได้ไม่นาน มาแชร์ประสบการณ์การขอเปลี่ยนรถครับ ออกรถใหม่ปลายเดือนพฤศจิกาฯ ที่ผ่านมา วิ่งได้สี่วัน ระยะร้อยกว่าโล มีปัญหาเรื่องเกียร์ (ขอไม่ระบุยี่ห้อนะครับ เพราะเรื่องจบด้วยดี) รถเกียร์ออโต้ เร่งไม่ขึ้น รอบสูง ความเร็วไม่มา มาแต่เสียง เข้าเกียร์ R รถกระตุกแรง ผมไม่กล้าขับต่อ เรียกช่างจากศูนย์ที่ออกรถมาดู แล้วให้ช่างขับไปที่ศูนย์ (ผมนั่งไปด้วย) ไปถึงก็ยังไม่ให้ทำอะไรกับรถ คุยกับเซล ฝ่ายบริการ และผู้บริหารศูนย์ ขอเปลี่ยนรถคันใหม่ ใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมงได้ข้อสรุปให้เปลี่ยนคันใหม่ได้ รอรถคันใหม่หกวัน ได้รับคันใหม่มาเรียบร้อยแล้วครับขอแชร์แนวทางที่ผมใช้คุยกับศูนย์เพื่อขอเปลี่ยนรถดังนี้ครับ 1. ผมไม่ฝืนขับต่อ และไม่ขับไปศูนย์เอง เจอปัญหาแล้วโทรแจ้งศูนย์ บอกว่าไม่กล้าขับ (ซึ่งไม่กล้าขับจริงๆ) ให้ส่งช่างหรือรถยกมาเอารถไปเข้าศูนย์ ผมว่าถ้าเราขับไปศูนย์เองปัญหาอาจดูไม่ค่อยซีเรียส ของผมนี่ผมแจ้งผู้จัดการฝ่ายขายไปว่าไม่กล้าขับ ปัญหาซีเรียสขึ้นมาอีกระดับ อีกอย่างบางทีถ้าขับต่อไปเรื่อยๆ ปัญหาอาจหายไปชั่วคราว พอเข้าศูนย์ทีนี้ก็เช็คไม่เจอแล้ว เห็นกันบ่อยๆ ว่าพอเราขับมีอาการ พอไปเจอช่างกลับไม่มีอาการซะงั้น2. ตอนช่างมาเช็ครถ ใช้โน๊ตบุ๊กต่อกับรถเพื่อเช็ค ผมถ่ายรูปหน้าจอแสดงผลไว้ด้วย เผื่อไว้ใช้เป็นหลักฐาน ของผมผลออกมาว่าพบความผิดปกติตรงระบบส่งกำลัง 3. ระหว่างที่ช่างขับไปศูนย์ไม่พบปัญหาอะไรเลย (ซึ่งอันนี้แหละที่กลัว แต่ผมมีหลักฐานแล้วเป็นรูปถ่ายหน้าจอโน๊ตบุ๊กช่างที่บอกชัดเจนว่าเจอปัญหา ดังนั้นหากศูนย์จะบอกว่าเช็คแล้วไม่เจอปัญหาก็สามารถใช้แย้งได้ (ใครมีปัญหาถ้าเป็นไปได้ก็เก็บหลักฐานไว้เยอะๆ นะครับ) พอไปถึงช่างบอกจะทำเคลมอะไหล่ชิ้นหนึ่งให้ แล้วปัญหาจะหมดไป แต่ผมยังไม่ให้ทำอะไรทั้งนั้น (เพราะตอนนี้ในใจไม่อยากได้คันนี้แล้ว หมดความมั่นใจไปเลย) 4. ผมได้คุยกับเซลและผู้จัดการฝ่ายบริการ ผู้จัดการฝ่ายบริการอธิบายถึงสาเหตุของปัญหาและวิธีแก้ (คือทำเคลมอะไหล่ให้) พร้อมเสนอผลประโยชน์เรื่องวารันตีและอื่นๆ เพิ่มเติม ผมรีบปฎิเสธทันที และบอกว่าหมดความมั่นใจกับรถคันนี้แล้ว ถึงจะซ่อมและรับประกันว่าจะไม่มีปัญหา แต่ผมยังมีความกังวล จะให้มาขับป้ายแดงพร้อมความกังวลคงจะรับไม่ได้ และก็ได้บอกไปว่ายอมรับทางแก้ปัญหาได้สองทาง คือ หนึ่งขอเปลี่ยนคันใหม่ หรือ สองขอคืนรถและขอเงินดาวน์คืน 5. จากที่ได้ยินได้ฟังมา ผมก็รู้ว่าทางเลือกแรกเป็นไปได้ยาก แต่ทางเลือกที่สองยิ่งเป็นไปได้ยากกว่า นั่นทำให้ทางเลือกแรกดู soft ลงทันที และคิดว่ามีโอกาสเป็นไปได้มากขึ้น6. เซลและผู้จัดการฝ่ายบริการแจ้งผมว่าเป็นไปไม่ได้ทั้งสองทาง ซึ่งผมก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ในระดับนี้ เพราะเค้าไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องใหญ่ขนาดนี้อยู่แล้ว จึงขอให้เค้าส่งเรื่องให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจของศูนย์ (กรณีของผมเป็น GM) และขอคุย 7. ระหว่างรอคุยกับ GM ผู้จัดการฝ่ายบริการเข้ามาแจ้งว่าการเปลี่ยนรถต้องให้บริษัทรถเป็นผู้อนุมัติไม่ใช่ศูนย์ (เข้าใจว่าเหมือนกันทุกยี่ห้อ) และใช้เวลาหลายวัน แต่ผมยืนยันว่าต้องได้รับคำตอบภายในวัน ถ้ายังไม่สามารถสรุปภายในวันจะขอเงินดาวน์คืนเท่านั้น (คือถ้ายืดเยื้อก็คงไม่อยากใช้ยี่ห้อนี้แล้ว) และจะขอคุยกับ GM เท่านั้น8. ผมรอซักพักก็ได้คุยกับ GM ผมก็บอกไปถึงความกังวลถ้าต้องขับคันเดิมอีก โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย 9. ทางศูนย์เลยประสานไปยังบริษัทรถอีกที หลังจากนั่งรอเกือบชั่วโมง ผมก็ได้รับแจ้งว่าบริษัทรถอนุมัติให้เปลี่ยนคันใหม่ได้ ผมเลยให้ศูนย์ออกจดหมายยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรอีกที10. ตอนแรกศูนย์แจ้งว่าจะต้องรอคันใหม่ประมาณสองอาทิตย์ แต่สรุปว่าผมได้รับรถภายในอาทิตย์เดียว ซึ่งรวดเร็วมาก (คือผมเร่งรัดให้ศูนย์หารถให้ได้เร็วที่สุด เพราะต้องใช้รถ และบอกไปว่าไม่ใช่ความผิดของเราเลย เค้าเลยไปขอรถที่บริษัทจะส่งให้ศูนย์อื่นมาก่อน) ก่อนไปรับคันใหม่สองวัน ก็บอกให้เซลแจ้งหมายเลขตัวถังให้ก่อน แล้วก็เอาหมายเลขตัวถังไปเช็คกับ call center ของบริษัทรถ เพื่อให้ชัวร์ว่าเป็นรถคันใหม่จริง กลายเป็นว่าผมได้รถที่ผลิตใหม่ๆ เลย (คันเดิมผลิตกลางปีคือ 5 เดือนก่อนผมออก แต่คันใหม่แค่เดือนเดียว)11. ข้อสุดท้ายผมว่าอยู่ที่ดวงด้วยครับ ของผมโชคร้ายก่อนที่ได้รถที่มี defect แต่ในความโชคร้ายก็พอจะมีความโชคดีอยู่บ้าง คือเจอศูนย์ดี บริการดี ผู้บริหารของศูนย์เข้าใจคนซื้อ พอมีปัญหาก็ไม่บ่ายเบี่ยงและประสานงานกับบริษัทรถอย่างรวดเร็ว และอีกอย่างอาจเพราะตอนเกิดเรื่องใกล้งานมอเตอร์โชว์ด้วยครับ เป็นไปได้ว่าบริษัทรถกลัวเรื่องบานปลายแล้วเป็นข่าว เลยรีบปิดเคส ผมเลยไม่เดือดร้อนมากหวังว่าคงเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคอย่างเราๆ บ้างครับ
สงสัยอีซุสุไม่ก็โตโยต้า เปลี่ยนคันง่ายขนาดนี้เป็นยี่ห้ออื่นเปลี่ยนเกียร์ยกลูกให้ก็ดีใจมากละครับ ถ้าซ่อมนี่เซ็งแน่ๆ
การเปลี่ยนคันใหม่ได้มันมีอยู่จริงหรือนี่