ไม่มีกฎหมายตามข้อ 3 หรอกครับ ที่เขาบอก คือหมายถึงจะจ่ายภาษีรายได้ให้ (เข้าใจว่า คงคำนวณจาก มูลค่ารถ โดยที่ผู้รับไม่มีรายได้อื่น)
ที่พวกสลากกินแบ่งไม่ต้องเสียภาษี เพราะการเสียภาษีคือการเสียเงินให้รัฐ แต่หวยนี่เราได้จากเงินรัฐอยู่แล้ว ถ้าเสียภาษีอีกมันจะย้อนไปย้อนมา
ส่วนโลตัส คาร์ฟู อะไรก็ตาม ก็ถือเป็นรายได้หมดครับ ดังนั้นถ้าใครอยากจะชิงโชคพวกนี้ ควรใช้ชื่อคนอื่นที่ไม่ได้เสียภาษีชิงครับ เช่น ชื่อลูก หรือผู้สูงอายุไปเลย
อันที่จริง การได้รับรางวัลเป็นรถ มูลค่า 1 ล้าน เราขาดทุนกว่า ได้เงินสด 1 ล้านมหาศาลครับ เพราะรถไปซ์้อเองจริงๆไม่ถึงล้าน แถมเอามาขายออกก็ได้เงินไม่ถึงล้านอีก >_<
คนนีี้เขาเก่งในการทำตัวให้เป็นข่าวอยู่แล้ว และนี่ก็คือสิ่งที่เขาอยากให้้เกิด เป็นส่วนหนึ่งในการทำตลาดฟรีๆ
ผมเคยคิดถึงเคส นี้อยู่ในช่วงแรกๆครับ ว่ามันก็คือแคมเปนที่มากระตุ้นยอดขาย และแน่นอนกำไรอื้อ
แต่ที่สุดแล้วจริงๆ เค้าไม่ได้รวยแล้วก็อยากจะรวยอีก ถึงเค้ามีเงิน หมื่นล้านแสนล้าน เค้าก็กลับมาบริจาคเงิน
ล่าสุดก็พันล้านให้กับ รร จำนวนพันกว่าโรงเรียน ผมว่าไม่ได้ให้ได้ง่ายๆ หรอกครับ ที่ผมกินเพราะผมรู้สึกอย่างน้อยๆ
ก็ได้ทำบุญอ้อมๆ ถึงคุณตันจะได้หน้า ก็ตาม
เสริมให้ครับ
เคยได้ยินเรื่อง ปิรามิดความคิดไหมครับ
คนเราเขาแบ่งชั้นไว้เหมือนปิรามิด
จากล่างสุด คือไม่มีอันจะกิน ดิ้นรนให้มีกินไปวันๆ ทำไงก็ได้ให้ได้เงินมาเอาชีวิตรอด (พวกนี้แหละที่ในต่างประเทศเคยกีดกันไม่ให้มีสิทธิ์มีเสียงแบบพวกผิวดำยุคแรกๆ หรือในไทย ก็มีที่บางกลุ่มบอกว่า เสียงของชาวนา กับ จุฬาฯไม่ควรเท่ากัน)
จนถึงบนสุดคือ มีเยอะเว่อ การใช้เงิน ยากกว่าหาเงินอีก อย่างพวกระดับทอปๆของโลก พวกที่ไปถึงระดับนี้ เงินทองมันไม่ใช่ปัจจัยหลักแล้วครับ ลองดูคนรวยระดับโลก บริจาคเงิน สร้างมูลนิธิกันเยอะแยะไปหมด เพราะเขามีทุกอย่างแล้ว ก็เลยอยากจะเป็นผู้ให้บ้าง มันก็เท่านั้น
คนใกล้ตัวผม ที่เป็นเศรษฐีจากที่เคยเป็นเด็กบ้านนอกไม่มีตังจะเรียน ก็แบบนี้เหมือนกันแหละครับ พอรวยก็ทำบุญเยอะ เพราะเงินมันเกินความต้องการไปแล้ว
กรณีคุณตัน ผมมองว่า การอยากมีหน้ามีตา เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ครับ ไม่ใช่มองเรื่องการตลาดเป็นเรื่องสำคัญที่สุดหรอก
ไม่ใช่เพราะผมเข้าข้าง แต่มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ครับ