รอ E-Power แบบที่มี module แบตเตอรี่ขนาด 1.5 kWh สัก 2-3 Modules คลับ ด้วย 2 เหตุผลนะ
1. ประสิทธิภาพดีขึ้นนะ เพราะเครื่องยนต์ไม่ต้องมา restart บ่อยๆ และยิ่งในเมืองนะจะได้ดลมลพิษนะด้วยนะ
2. ถ้ามีหลาย modules ปกติถ้าออกแบบดีมันจะทยอยเสียหรือเสื่อมไม่พร้อมกัน หมายถึงถ้าเสียไปหนึ่ง module รถยังวิ่งต่อไปได้นะ
และผู้ใช้มีเวลาอีกหลายเดือนจะไปเปลี่ยน module ที่เสียก่อนมันจะเสียไปทั้งหมดนะ
ราคาแบตเเตอรี่แบตรถไฟฟ้าตอนนี้ราวๆ 140$/ kWh หรือราคาต่อ mudule 1.5 kWh คิดแล้วก็แค่ราวๆ 5000 บาทเท่านั้นสมมติเพิ่มอีก 2 modules และเพิ่มอีก 10,000 ผมยอมจ่ายนะ ก็หวังว่าในอนาคตจะ mc แล้วจะปรับตรงนี้นะ ผมถึงคิดจะใช้ e-power นะ
แต่ถ้าภาครัฐบอกถัาใครใช้เครื่องยนต์ที่รองรองรับ E85-E100 หรือ B100 แล้วก็ลดภาษีลงไปอีกครึ่งก็จะดีนะ
เพราะจะได้ช่วยเกษตรกรนะ และซื้อรถไปใช้ กลุ่มเกษตรกรกันรวมกลุ่มกันผลิตพลังงงานใช้กันเองได้จะเป็นอิสระด้านพลังงานเลยได้นะ
คือผลิตพืขพลังงานและ ก็แปรรูปเป็นแอลกฮอล หรือ ไบโอดีเซล กันเองแล้วก็ไม่ต้องพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศได้นะ
อยากให้รัฐคิดแบบนี้ด้วยบ้างนะ
ืคือ e-power ใข้ แอลกฮอล หรือ ไบโอดีเซล ก็ได้ลดภาษีเพิ่มกับผู้ผลิตเพิ่มไปอีก
และสิ่งแวดล้อมดีขึ้น และ เกษตรกรก็สามารถเป็นอิสระด้านการใช้พลังงานจากภาคการขนส่งได้ด้วย
ทำธุระกิจ ต้องคิดต้นทุน กำไร ขาดทุน ราคาแบตที่ว่ามันราคาส่ง พอมาอยู่ในรถ ราคามันทบกันเป็นหลักหมื่น แต่ใช้แค่สำรองกัน ไม่มีใครทำหรอกครับ เสื่อมก็เปลี่ยนง่ายๆ แค่นั้น
ไม่ว่าธุรกิจอะไร ไม่มีใครอยากเพิ่มราคาขาย มีแต่พยายามลดต้นทุน เพื่อให้ได้ผลกำไรเพิ่มขึ้น การปรับราคาขึ้นกระทบขายแน่นอน ไม่มีใครอยากทำหรอกครับ ถ้าไม่จำเป็น
ปล. ซื้อรถ ต้องรู้คุณสมบัติรถ เครื่องปั่นไฟที่มีมากำลังผลิตมันนิดเดียว ไม่มีทางที่จะให้กำลังงานมากกว่าที่ใช้หรอกครับ ดังนั้น e power ไม่สามารถวิ่งความเร็วสูงได้ เพราะใช้กำลังไฟมากกว่าที่ผลิตได้
มันจุงเป้นรถที่เหมาะวิ่งในเมือง ใช้ความเร็วสูงพอประมาณ เท่านั้น ใครต้องการแรงมากกว่านี้ เบนซินเทอร์โบ ตอบโจทย์กว่าเยอะ