เมื่อสาวกคนชอบ BMW ได้มาลองขับ Benz C coupe 2016 จะเปลี่ยนใจมาชอบ Benz หรือไม่???
ในช่วงปลายปี 2016 เดือนธันวาคมที่ผ่านมา จนถึงปีใหม่ปี 2017 ผมได้มีโอกาสได้ลองใช้งานรถ Mercedes C coupe 2016 สีเทาด้านมาใช้งาน ต้องของขอบคุณน้องกอล์ฟและพ่อตามากๆ ที่ให้ผมได้ทดลองขับใช้งาน (เป็นปีใหม่ที่ผมได้ขับรถหลายคันมากๆ เกือบ 5 คัน)
ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวเองก่อน เพื่อให้เพื่อนได้ทราบบรรทัดฐานของการขับรถของตัวผมนะครับ
ผมเคยผ่านการใช้งาน รถยนต์ต่อไปนี้มาก่อน
- Accord ไฟท้ายก้อนเดียว ปี 1994 MT
- Accord งูเห่า ปี 2002 AT VTEC
- Civic Dimension 2001 AT VTEC
- Mercedes S Class W126 500SEL V8 5000 cc
- Toyota wish 2003 AT
- City CNG 2013 AT***
- BMW 116i 2013 ***
- Honda Stepwagon 2.0 2013 AT
*** คือรถที่ใช้ประจำ และ จะเอามาเปรียบเทียบเป็นหลักครับ
ผมเคยทดลองขับ หรือ ได้มีโอกาสขับรถยนต์เหล่านี้มาก่อน
- Mazda 3 ทุกรุ่น
- Mazda 2 ตัวเก่า และตัวใหม่ทั้ง 1.3 และ 1.5 D
- Mazda CX3 2.0
- Mazda CX5 2.5 และ 2.2 Diesel
- Ford Focus TDCI และ 2.0 โฉมปัจจุบันก่อน 1.5 eco boost
- Ford Ranger 2.2 4 ประตู
- Ford Fiesta 1.6 และ 1.0 Ecoboost
- Toyota Altis ES sport โฉมก่อน Minor change
- Civic 1.5 Hybrid FB
- Civic FD 2.0 และ 1.8
- Honda CRV 2.4 โฉมล่าสุด
- Volvo V60 1.6 turbo
- Volvo V40
- BMW X1 1.8 i โฉมเก่า และ 2.0 Diesel ตัวใหม่
- BMW 320D 320i ตัวปัจจุบัน
- BMW 320D E90
- Subaru XV
- Subaru Forester 2.0 IP
- Subaru BRZ MT และ AT
- Subaru WRX MT ตัวล่าสุด
- Volkswagen Golf GTI
- Mini coupe S ตัวแรก
- และ อื่นๆ ที่ลืมๆไปแล้ว นึกไม่ออก
โดยผมแบ่งรีวิวแบ่งออก 2 ส่วนนะครับ
1. รายละเอียดเกี่ยวกับตัวรถ ทั้งภายนอก ภายใน ท้ายรถ เครื่องยนต์ แบบภาษาคนใช้งานนะครับ และ ที่สำคัญผมถ่ายรูปเป็นแบบ Auto กดถ่ายเท่านั้น ไม่ใช้นักถ่ายรูปนะครับ ดังนั้นรูป แสง มุม อาจจะบ้านๆไปหน่อยนะครับ
2. ความคิดเห็นหลักจากการใช้งาน โดยจะเปรียบเทียบกับ City CNG และ BMW 116i และบางอารมณ์เปรียบเทียบกับ Golf GTI, BMW 320i นะครับ โดยเน้นความรู้สึกในการขับขี่เป็นหลักนะครับ
รถ Benz C coupe AMG Dynamic คันนี้เป็น โฉมปี 2016 CBU นำเข้า (ตัวเริ่มต้น Edition 1 3.49 ล้าน) คันนี้เป็นตัว AMG Dynamic ราคา 3.79 ล้าน แต่เลือกสีเทาด้าน จ่ายค่าสีเพิ่มอีก 2 แสน รวมเป็น 3.99 ล้าน
ภายนอก: บอกตามสายตาผม เป็นรถรุ่นหนึ่งที่สวยมากแบบสมัยใหม่ เมื่อเทียบกับ w204 coupe ตัวเก่าที่สวยแบบเรียบๆ ทั้งคันผมชอบ Design เกือบทั้งหมดยกเว้นบริเวณท้ายรถด้านข้างของฝากระโปรงถัดจากเสา C ที่มันดูลีบไปนิดนึง เวลามองตรงๆจากด้านท้าย ถ้าเปรียบเป็นผู้หญิงก็เป็น ผญ ที่สูง สวย หุ่นดี แต่ก้นลีบไปนิดนึงอ่ะครับ เห็นภาพไหมครับ 555
- ด้านหน้า
พอได้แต่งเป็นชุดกันชน ชายล่าง กระจังหน้า Diamond grill สีเงิน ของตัว AMG ทำให้สวยงามมากเลยครับ ดูสวยลงตัวกว่า A250 และ CLA 250 ครับ เพราะตัวรถดูกว้างกว่า
- ด้านหลัง
ด้านหลังก็สวยด้วย กันชนหลังตัว AMG และ ปลายท่อคู่พร้อมฝาครอบอลูมิเนียมที่กันชนด้วย ติดด้านซ้ายด้วย โลโก้ C250 ไม่คำว่า coupe ติดที่ด้านท้ายเพื่อบงบอกว่าเป็นตัวพิเศษ เพราะยังไงก็ไม่เหมือนกับท้ายของตัว C sedan อยู่แล้ว
- ด้านข้าง
ถ้าผมจำไม่ผิดจะมีชายล่างที่ต่างจากตัว Edition 1 นะครับ
มุมมองด้านข้าง เส้นสายจากหลังคา มาผ่านเสา C มาที่ด้านท้ายสวยงามครับ
ด้านข้างเวลาปลดล็อคประตูจะมีแสงส่องพื้นจากใต้กระจกข้างตามรูปด้านบนครับ
- ไฟหน้า
ไฟหน้าเป็นแบบ LED intelligent system ซึ่งต่างจากตัว Edition 1 ที่เป็น แบบธรรมดา แต่เหมือนว่าตัวประกอบในจะเป็นแบบนี้เหมือนกันแล้วนะครับ
ในเวลากลางคืน ถ้าเปิดไฟหน้า บริเวนณคิวไฟ Daylight จะเปล่งแสงสีฟ้าออกน้ำเงิน ไล่แสงจนครบก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสีขาวแบบในรูป
- ไฟท้าย
เป็นแบบ LED เส้นสายคมมากครับ สังเกตจากรูปตอนกลางคืนด้านล่างได้
- ล้อ ยาง เบรก
ล้อลาย Multi spoke 19 ของ AMG ขนาดด้านหลังกว้างกว่าด้านหน้า ดูจากขนาดยาง ยางติดรถเป็น Pirelli P-Zero Runflat
ยางหน้า 225/40R19
ยางหลัง 255/35 R19
เบรกหน้ามีสลัก Mercedes-Benz ที่ตัว caliper
- จุดเล็กน่ารัก แต่กลายเป็น Signature ของ C class Coupe ไปเลยก็จะเป็นตัวหนังสือเขียนที่บริเวณกระจกหน้าด้านคนขับครับ เท่ห์ดีครับ
รูปมุมอื่นๆ ชมได้ตามอัธยาศัยครับ
ภายใน: ตัว AMG Dynamic จะเป็นโทนสีแดง Bengal red (ตัว Edition เป็นหนัง Atigo สีน้ำตาล Saddle Brown สลับกับผ้าหนังกับสีดำ)
เบาะหน้าปรับไฟฟ้า พร้อมเมมโมรี่ 3 ตำแหน่งด้านคนขับ เวลาพับเบาะดึงที่มือจับสีเงินด้านข้างบริเวณบนหัวของเบาะ เวลาพับเบาะด้านคนนั่งจะเลื่อนไปข้างหน้าด้วยไฟฟ้า เวลาดึงกลับต้องดึง 1 จังหวะ หลังจากนั้นจะเลื่อนถอยหลัง Auto
เบาะหลังนั่งได้ 2 ที่นั่ง ตรงกลางนั่งไม่ได้ ตัวเบาะสามารถพับ 40:20:40 ได้มั้งครับ แต่ผมไม่ได้ลองพับ
คอนโทรลหน้า ด้านบนหุ้มด้วยหนัง เดินด้ายจริงสวยงามหรูหราครับ ประดับตบแต่งด้วยแถมอลูมิเนียม ตรงกลางเป็นลายไม้สีดำด้าน
แผงประตูด้านคนขับ ประดับด้วยหนังสีแดงสีเดียวกับเบาะ หุ้มด้านบนด้วยหนังเดินตะเข็บด้ายเหมือนคอนโทรลหน้าด้านบน
ด้านคนขับจะประกอบไปด้วย สวิทซ์ปรับกระจกข้างขึ้นลงทั้ง 2 ผั่ง สวิทซ์ปรับเบาะพร้อมเมมโมรี่ 3 ตำแหน่ง สวิทซ์ปรับกระจกมองข้างและพับกระจก สวิทซ์เปิดท้ายรถ (ท้ายรถเปิดได้จากสวิทซ์ภายใน หรือ ปุ่มบนกุญแจรถ ไม่สามารถเปิดที่ด้านท้ายได้) สวิทซ์ที่กล่าวมาจะเป็นแบบเคลือบเงาสีเงินดูดีมากครับ และมีสวิทซ์ล็อด ปลดล็อคประตูเป็นสีดำที่ช่องก้านดึงเปิดประตู
ฝั่งคนนั่งก็ยังใจดีให้เมมโมรี่เบาะ 3 ตำแหน่งมาด้วย
มีช่องแอร์สำหรับเบาะแถวหลังด้วย ปกติคงไม่ค่อยมีใครนั่งเท่าไหร่ (รถคูเป้ยังมีช่องแอร์หลังมาให้ รถ sedan 4 ประตูทั่วไปควรจะมีได้แล้วนะครับ)
ชุดพวงมาลัยเป็นแบบปลายตัดด้านล่าง (ตัว Edition 1 จะเป็นกลมๆ ปกติ) ด้านซ้ายมีสวิทซ์ปรับหน้าจอ TFT ตรงกลางแผงหน้าปัด กดขึ้น ลง แล้วก็ OK ตรงกลาง กดปุ่มรูปบ้านเพื่อกลับหน้าจอหลัก ด้านขวามีสวิทซ์รับ วางสายโทรศัพท์ และปุ่มปรับเครื่องเสียง
ที่คอพวงมาลัยด้านขวาจะเป็นปุ่มควบคุมเกียร์ เดินหน้ากดลง ถอยหลังกดขึ้น เกียร์ P กดปุ่มตรงกลางก้านเข้าหาแกนพวงมาลัย ใช้งานง่าย ตอนแรกไม่ชิน และคิดว่าไม่สะดวก เพราะใช้งานรถที่มีเกียร์ตรงคอนโซลกลางมาตลอด แต่พอใช้สักพักก็สะดวกดีนะครับ ผมถือว่าใช้ได้เลย ไม่มีกดพลาดไปเปิดไฟเลี้ยวเลยซักครั้งสำหรับผม ถัดมาที่ด้านหลังพวงมาลัยเป็นปุ่ม Paddle shift + สำหรับเพิ่มตำแหน่งเกียร์ อันนี้ผมไม่ได้ลองใช้ เพราะปกติ ไม่ค่อยได้ใช้ ขับรถที่มีปุ่มเพิ่มลดตำแหน่งเกียร์มา 13 ปี แทบจะไม่เคยใช้งานเลยด้วยซ้ำสำหรับผม ถือว่าไม่จำเป็นในการใช้งานปกตินัก แต่ถ้าขับขึ้นลงเขา แค่แบบมีโยกที่เกียร์+ - ก็เกินพอ
คอพวงมาลัยด้านซ้ายมีก้านควบคุมเยอะมาก
ก้านซ้ายบนเป็นก้านเปิดไฟเลี้ยว ระบบปัดน้ำฝน ฉีดน้ำฝน ที่หลังพวงมาลัยเป็นปุ่ม Paddle shift สำหรับลดตำแหน่งเกียร์ลง
อันกลางเป็นก้านควบคุมปรับประดับขึ้นลง เข้าออกของพวงมาลัย ซึ่งปกติจะปรับ Auto ตามตำแหน่งเมมโมรี่เบาะที่ได้บันทึกไว้ หรือ กุญแจรถ เวลาเปิดประตูรถ พวงมาลัยจะยกขึ้น และ เบาะจะเลื่อนถอยหลังเพื่อให้นั่งได้สะดวกด้วยระบบ Keyless Go
หน้าปัทม์ ประกอบด้วย เข็ม Analog ซ้าย ขวา และจอ TFT ตรงกลาง ด้านซ้ายแสดงวัดรอบ และ ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง ด้านขวาแสดงความเร็วรอบเครื่องยนต์และ ความร้อนของระบบหล่อเย็น (ขับปกติจะอยู่แถว 80 องศา)
จอ TFT ตรงกลางสมารถแสดงผลได้หลายอย่างตามการปรับที่ปุ่มที่พวงมาลัยด้านซ้าย หน้าจอไมล์เป็นหลักตามรุปนี้
ความเร็วเป็นตัวเลข
จับเวลา อัตราการกินน้ำมัน สำหรับ Trip
Display ระบบการขับขี่ตามโหมด
ระยะทางที่วิ่งได้ จากน้ำมันที่เหลืออยู่ในถัง
ด้านล่างขวาของพวงมาลัย มีปุ่ม Push start , ปุ่มควบคุมไฟหน้า , ปุ่มปรับระดับแสงหน้าจอ ด้านบน 2 ปุ่ม เป็นปุ่มเปิดปิดเสียงเซ็นเซอร์รอบคัน และปุ่มเปิดกล้อง 360 องศา (กล้องจะทำงานเมื่อขับช้าๆ ขยับเดินหน้า ถอยหลังเท่านั้น)
คอนโซลหน้าบริเวณส่วนกลางจะประกอบด้วย หน้าจอแสดงผล ถัดลงมาเป็นช่องแอร์ 3 ช่อง ถัดลงมาเป็นปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศ และด้านล่างเป็นนาฬิกากับ ปุ่มเข้าโหมดหลักของ เนวิเกเตอร์ วิทยุ ระบบMedia โทรศัพท์ ระบบรถ และไฟฉุกเฉินทางขวา
ปุ่มควบคุม (controller) บริเวณคอนโซลกลาง ซ้ายปุ่ม Dynamic ปรับระบบช่วงล่าง เครื่องยนต์ การตอบสนองของคันเร่ง Eco Comfort Sport Sport+ และ Individual ซ้ายล่างเป็นปุ่มเปิดปิดระบบ start stop ตรงกลางปุ่มกลมๆ เป็นชุดควบคุมหน้าจอกลาง และ touchpad ที่ด้านล่าง ด้านขวาเป็นปุ่มปรับระดับเสียงวิทยุ ปุ่มเปิดปิดวิทยุ และปุ่ม Belt feeder สำหรับสั่งให้ก้านช่วยยื่นเข็มขัดนิรภัยจากด้านหลังที่เอื้อมหยิบได้ลำบากมาให้ (ปกติเวลาปิดประตู belt จะยื่นมาให้ Auto แต่ถ้าไม่ได้คาด belt มันก็จะกลับไป ทำให้ต้องกดปุ่มนี้เพื่อสั่งให้มันยื่น belt มาใหม่ครับ)
- หน้าจอกลางสามารถแสดงผลได้หลายอย่าง แต่ผมไม่ได้ถ่ายมาทุกโหมดนะครับ
โหมดปรับเปลี่ยนเกี่ยวกับรถยนต์
- โหมดการขับขี่
โหมด Eco ประหยัด
โหมด Comfort
โหมด sport
กล้องมองด้านหน้า เส้นเหลืองปรับตามองศาการเลี้ยวของพวงมาลัย และรอบทิศทาง
กล้องมองหลัง ยื่นออกมาจากโลโก้ที่ฝากระโปรงท้าย เส้นเหลืองปรับตามองศาการเลี้ยวของพวงมาลัยเช่นกัน
- เพดานด้านบนหุ้มด้านผ้าสักหลาดสีดำ พร้อม Panoramic sunroof
กระจกมองหลังตัดปรับแสง Auto พร้อมสวิทซ์ปรับไฟในรถ ไฟส่องอ่านหนังสือ
แสงไฟในรถจากหลอด LED และ Ambient light
ถัดมาเป็นสวิทซ์เปิดหลังคา Sunroof
เมื่อเปิดจะรับแสงเห็นภายในแบบนี้
หลังคากระจกจะยกมาด้านบนแบบนี้
ด้านหน้ามีตาข่ายกันลม หรือกันแมลงผมก็ไม่แน่ใจนะ
(หลังคาแบบนี้ผมจะคุ้นเคยตั้งแต่ตอนใช้ S class แต่เป็น Moonroof แทน)
- ที่พักเท้าเป็นแบบ sport แผ่นอลูมิเนียมพร้อมปุ่มยาง
- แสงสว่างภายในรถตอนกลางคืนสวยงามมาก ปรับ Ambient light ได้ 3 แบบ ขาว เหลืองอำพัน และฟ้า ในรูปปรับเป็นสีฟ้าครับ
มองจากด้านนอกผ่านฟิล์มกระจก
เปิดประตูออก ที่กาบประตูมีโลโก้ Mercedes-Benz เรืองแสง
เข้ามาดูแสงที่ภายใน มีไฟส่องที่พื้นทั้ง 2 ฝั่ง
แผงประตุเรืองแสงตามปุ่ม และไฟ ambient light สีฟ้าปรับได้
ข้ามมาดูฝั่งคนนั่งบ้าง สังเกตเห็นแสง ambient light guide สีฟ้า ที่ขอบรอบคอนโซลกลางไหมครับ ผมว่าเป็น ดีไซน์ที่สวยมากครับ
มาดูกันชัดๆ สวยมากถึงมากที่สุดสำหรับผม (ที่เป็นคนชอบสีฟ้าอยู่แล้ว)
ห้องสัมภาระ ด้านท้าย:
มีความจุพอประมาณ ใส่กระเป่ากีฬาใบกลางได้ พร้อมกล่องรองเท้าอีกหลายกล่อง
ถ้าลึกไม่พอสามารถพับเบาะช่วยได้ แต่ความสูงเพิ่มไม่ได้นะครับ ถ้ามีกระเป๋าเดินทางใบสูง อาจจะว่างนอนได้ชั้นเดียว ไม่สามารถวางตั้งได้
จากที่บอกก่อนหน้านี้ว่าฝาท้าย เปิดปิดด้วยไฟฟ้า ได้จากที่ปุ่มข้างแผงประตูคนขับ และปุ่มที่กุญแจรถ (ผมลืมถ่ายรูปกุญแจรถนะครับ แต่มันก็เหมือนกุญแจรุ่นทั่วๆไปของ Benz ครับ) เวลาปิดฝาท้ายให้กดที่ปุ่มสีแดงปุ่มซ้ายนะครับ อย่าเอามือกดฝาปิดนะครับ อาจจะใช้เวลานิดนึง เวลาฝนตกคงของเปียกหมดท้ายรถแน่ (ผมชอบแบบอัตโนมือมากกว่า)
เครื่องยนต์:
สำหรับ spec เครื่องสามารถหาอ่านได้ตามเว็บทั่วไปครับ มีคานหน้าอลูมิเนียม มีโช้คเปิดปิดแล้วนะครับ (ไม่เหมือน A250 CLA250 ที่รถราคา 2 ล้านกว่า ยังต้องเอามือหยิบเหล็กไปค้ำอยู่ ผิดวิสัยสำหรับรถพรีเมียมหรู แต่อาจจะเพราะว่าปกติคนขับไม่ค่อยได้เปิดเครื่องบ่อยสักเท่าไหร่ แต่สำหรับผมเปิดทุกวัน อันนี้ผมรับไม่ได้จริงๆ ผมถือว่าน่าเกลียดมากเลยด้วย)
จบในส่วนของรายละเอียด เกี่ยวกับรถ และคำอธิบายบ้านๆ เข้าใจง่ายๆ ภาษาคนใช้รถนะครับ (ถ้าผมพิมพ์ผิดตรงไหน ก็แจ้งได้นะครับ ใช้เวลาทำไม่กี่ชั่วโมงนะครับ)