ผมมาอาศัยอ่านในบอร์ดนี่มาหลายปีแล้ววันนี่จะมาขอความร่วมมือให้ท่านๆช่วยตอบแบบสอบถาม ปัจจัยในการตัดสินใจซื้อรถยนต์กับความรู้ทางด้านความปลอดภัยด้วยครับ
แบบสอบถามอันนี่ แบ่งได้4ตอน ใช้เวลาประมาณ 3-5นาที จะมีส่วน2 จะถามคำถามเกี่ยวกับความปลอดภัยในรถยนต์ ผมขอให้ท่าน ตอบแบบอาศัยความรู้ที่ท่านเข้าใจณ.ปัจจุบันนะครับ
อันนี่เป็น link ของแบบสอบถามครับ
http://goo.gl/forms/HCSZn8XhgTในการที่ผมมาขออะไรสักอย่าง ก็ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน ผมขอแลกด้วย บทความเกี่ยวกับความปลอดภัยแล้วกันนะครับ (เพิ่งเคยเขียนยาวๆ ในบอร์ดสาธารณะครั้งแรกครับ ยังไง ถ้ามีอะไรท้วงติง ก็เชิญได้เลยครับ)
อย่างที่เรารู้กันดีว่าอัตราการเสียชีวิตบนท้องถนนของคนไทยเนี่ย สูงเป็นอันดับต้นๆของโลก(ผมเอามาจากรายงานของ WHO Global status report on road safety 2013 เขาเก็บตัวเลขของเมืองไทยณ ปี2010ไว้ ดังภาพข้างล่างครับ)
แต่ความจริงแล้วอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนในโลกนี่เนี่ย ก็ติดอันดับท๊อปเท็นของสาเหตุการตาย ดังนั้นการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเนี่ย จึงได้รับความสนใจมานานๆ มากๆแล้วครับ แต่เพิ่งจะมาเป็นกระแสจริงๆได้แค่20กว่าปีที่ผ่านมา
มีนักวิจัยทางยุโรป บอกว่า ถ้ารถยนต์ทุกวันนี่ถอดอุปกรณ์ความปลอดภัยออกไปให้หมดนั้น อัตราการเกิดอุบัติเหตุ จะสูงขึ้นถึง50%เลยทันที และอัตราการเสียชีวิตก็จะพุ่งตามมามากกว่าปรกติถึง20%
เราต้องย้อนกลับไป ว่าพวกองค์กรต่างๆที่เกี่ยวกับความปลอดภัยเนี่ย มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง โดยในที่นี่ ผมขอยกตัวอย่างทางยุโรปแล้วกันนะครับ เนี่องจากฝั่งยุโรปเนี่ยขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยเป็นหลักอยู่แล้ว
ทางฝั่งยุโรปเนี่ยกฏหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยเริ่มต้นเมื่อปี1958ครับ
ขอย้อนความนิดหน่อย เมื่อครั้งที่ญี่ปุ่นพ้นสงครามโลกครั้งที่สองเนี่ย(1940-1950) ณี่ปุ่นไม่เหลืออะไรเลย การพัฒนาประเทศของเขา คล้ายๆกับประเทศจีนทุกวันนี้ก็คือใช้หลักการ C&D copy and development สินค้าที่ได้ก็เหมือนจีนทุกวันนี่ครับ ในเมื่อไม่มี R&D สินค้าก็ได้แต่ลอกทางฝั่งตะวันตกมา คุณภาพต่ำ ดังนั้น สินค้าแบบนี่ก็เข้าหลักพื้นฐานของกลยุทร์ของ Michael E.Porter ที่บอกว่า การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันมี 3 เรื่องหลัก ผู้นำด้านต้นทุน (Cost Leader) สร้างความแตกต่าง (Differentiation) มุ่งเฉพาะกลุ่มป้าหมาย (Focus)
นั้นก็คือ cost leadership แต่ณี่ปุ่น วันนั้นจะเอาอะไรไปสู้ครับ resourceทุกอย่างเอาไปทิ้งกับสงครามหมดแล้ว สินค้าของเขาวันนั้น มันไม่มีความได้เปรียบทางการแข่งขัน(competitive advantage)ทางด้าน cost leadership
แต่คนณี่ปุ่นมุ่งมั่นครับ เขาเปลี่ยนสไตล์การทำงาน เป็นการให้ความสำคัณกับคุณภาพสินค้า พวกแนวคิด TQM, JIT, KANBAN ก็เริ่มมาจากยุคนั้นครับ โดยหลักแนวคิดกว่างๆ มาจากท่านที่ชื่อว่า W. Edward Deming (นักสถิติ) กับ Joseph Juran (managing for quality) ทั้ง2ท่านนี้ ผมเชื่อว่าพี่ๆห้องนี่รู้จักเป็นอย่างดี หรือไม่ก็เคยนำแนวคิดของเขามาใช้งานบ้าง ท่านเคยได้ยิน PDCA รึเปล่าครับ plan do check action หรือที่นักIE เรียกว่า เดมมิ่งไซเคิล (Deming cycle) การพัฒนาที่ไม่มีวันสิ้นสุด วางแผน-ลงมือทำ-ตรวจสอบประเมินผล-แก้ไขพัฒนา แล้วก็วนรอบไปเรื่อยๆ
ญี่ปุ่นรู้ตัวดี ครับเวลานั้นว่าเขาทำรถใหญ่ไปสู้พวกอเมริกาไม่ได้ เขาเลยเลือกทางเลี่ยงคือทำรถเล็ก ประหยัดน้ำมัน(และเหมาะกับภูมิประเทศของญี่ปุ่นด้วย) เมื่อเทียบกับรถอเมริกันที่ยุคนั้นมันใหญ่ขึ้นๆ เรื่อยๆ
และแล้ว พระเจ้าก็ประทานพรด้วยวิกฤษน้ำมัน โดยทุกครั้งที่มีวิกฤษน้ำมันเนี่ย รถณี่ปุ่นก็ขายดีขึ้น พวก รถอเมริกันก็แย่ลงๆ (โดยในยุคนั้นเนี่ย รถณี่ปุ่นในอเมริกัน ขึ้นชื่อว่าเป็น inferior goods คือมันจะขายดี เมื่อมีวิกฤษ ว่างั้นเถอะ (ดูรูปยอดขายข้างล่างของพวก big threeนะครับ ว่ามันแปรผกผันกับราคาน้ำมันเลย)
ดังนั้น ในช่วง1950-1980 ถือว่าเป็นนาทีทองของรถฝั่งณี่ปุ่น ดีขนาดไหนก็ท่านลองเทียบว่าเมื่อปี1985เนี่ย รถยุโรปที่จดทะเบียนในญี่ปุ่น มีแค่48,356คัน กลับกัน รถญี่ปุ่นที่จดทะเบียนในยุโรปเนี่ย มีถึง 1.31ล้านคัน
กลับมาต่อที่ยุโรปนะครับ เมื่อปี 1958 พวกรถนำเข้าจากต่างแดนก็เยอะ ไอ้พวกยุโรปมันจะเอาอะไรไปสู้ครับ เนื่องจากแนวคิดการใช้รถทั้ง3ทวีปหลักมันแตกต่างกัน
อเมริกันก็ปั๊มเอาๆ ตั้งแต่ยุคFordism(แนวคิดของ Frederick W Taylor, Work Study) อเมริกันมันขาย ford model T เป็นสิบล้านคัน (ขายดีขนาดที่ว่าขายแต่สีดำ เนื่องจากสีดำแห้งเร็วที่สุด จึงสามารถผลิตได้มากที่สุด)
ณี่ปุ่นก็ไปเอารถเล็ก ราคาถูก ประหยัดน้ำมัน
ฝั่งยุโรป กลับมองว่ารถเป็นของมีค่า ไปทำแต่รถ handmade ราคาแพง ที่เหลือก็เป็นสินค้าที่ไม่ได้มีจุดเด่น
ดังนั้น ยุโรปเนี่ย จึงตั้งกำแพงขึ้นมา แรกๆก็บอกญี่ปุ่นว่า
ถ้าเราจะขายรถเนี่ย เราก็น่าจะทำให้รถยนต์มีคุณภาพ ความปลอดภัยไกล้เคียงกันนะ ถ้ารถมีคุณภาพเหมือนกัน เราก็สามารถลดกำแพงที่กีดขวางทางการค้า
ในครั้งนั้นเนี่ย ก็เป็นกฏหลักมาว่า รถยนต์ทุกคันที่ขายในยุโรปหรืออเมริกาเนี่ย จะต้องผ่านมาตรฐาน UN ECE (ประเทศไทยเป็นสมาชิกกับ world forum for harmonization of vehicle regulations (WP.29) เมื่อปี 2006ครับ โดยที่ฉลายรถยนต์ที่จะประกาศใช้ปีหน้าเนี่ย ก็จะมีมาตรฐานตัวนี่ คอยเขียนกำกับอยู่ องค์กรนี่ ทำงานร่วมกับ หรือเรียกว่าลอกกับ UNECEเลยก็ว่าได้)
แต่ความจริงแล้ว เขาไม่อยากให้รถญี่ปุ่น ไปตีตลาดรถบ้านเขามากนักครับ เขาไม่ได้หวังเรื่องทำลายกำแพงทางการค้าเท่าไรหรอก การวางมาตรฐานความปลอดภัย เพื่อสร้างกำแพงทางการค้าเนี่ย ยุโปรก็ได้ทำแบบไม่หยุดหย่อย ทั้งมาตรฐานมลพิษที่สูงจนโตโยต้าไม่ได้แจ้งเกิด
จนกระทั่งปี 1970 ที่มาตรฐาน UNECE เนี่ย ได้ไปรวมกับหน่วยงานที่มีชื่อว่า Community Whole Vehicle Type Approval (ECWVTA) ทั้ง2คอยกำกับ และให้มาตรการควบคุมเกี่ยวกับรถยนต์ครับ อย่างเช่นการออกประกาศว่า รถยนต์ที่ขายในยุโรปทุกคันภายหลังปี 2007 ต้องติดตั้งระบบเบรค ABS ฟรือ หลังปี2014 ที่ทุกคันต้องติดตั้งระบบควบคุมการทรงตัว ก็มาจาก2หน่วยงานนี้
แต่เราเคยรู้รึปล่าวว่า ESC เนี่ย มันส่งผลขนาดไหนต่อความปลอดภัย ถึงขนาดยุโรปที่ไม่บังคับให้รถยนต์ที่ขายติดตั้ง AIRBAG แต่กลับบังคับให้ติด ESC
David Ward ผู้ที่เป็นเลขาของGlobal NCAP บอกว่า ESC is the most significant advance in vehicle safety since the
introduction of the seatbelt. The anti-skid technology has helped prevent hundreds of
thousands of loss of control crashes, saving tens of thousands of lives. Like seatbelts,
legislators and automakers should now ensure that all new cars everywhere have ESC
สั้นๆก็คือ ESC เนี่ย มันมีความสำคัญมากๆ ต่อความปลอดภัย มันช่วยไม่ให้เกิดอุบัติเหตุนับแสนๆครั้ง ช่วยชีวิตเป็นพันๆชีวิต จนต้องถือว่ามันเป็นอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยแห่งยุค ที่ยิ่งใหญ่เทียบเท่าสมัยที่รถยนต์ได้ติดตั้งเข็มขัดนิรภัย ดังนั้น รถยนต์ทุกคันที่ขายในปัจจุบันสมควรที่จะติดตั้งมันได้แล้ว
เมื่อปี 2011 NHTSA องค์กรด้านความปลอดภัยของสหรัฐได้ทำรายงานว่า ESC สามารถลดการเกิดอุบัติเหตุที่เกิดจากรถยนต์คันเดียวได้ถึง 50% ลดอัตราการประทะด้านท้างได้ถึง 71% และการประทะสิ่งของที่อยู่กับที่ได้ถึง 58%
ดังนั้น เราจะเห็นว่าESCเนี่ย มีความสำคัญมากๆ และรถยนต์ที่ขายใน อเมริกา และยุโรป ก็มีมันหมดแล้ว ดังนั้น เลือกรถครั้งต่อไป อย่าลืมเลือกรถที่มีระบบควบคุมการทรงตัวนะครับ
จบครับ
แถมนิดๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ผมกำลังทำรายงาน
ในยุโรปเนี่ย การผลักดันมาตรฐานความปลอดภัยมาจาก 3 ปัจจัยหลัก 1. คือกฎหมายที่คอยควบคุม 2. การประชาสัมพัน ให้ผู้คนได้รับทราบ(พวกEuro NCAP อยู่ในกลุ่มนี่ ได้รับงบบางส่วนมาจากรัฐบาล) 3. บริษัทผลิตรถยนต์
ในการพัฒนาระบบความปลอดภัยเนี่ย มันใช้เวลา และเงินสูงมาก ทั้ง3ปัจจัย คอยเกื้อ หนุน กันและกัน กฎหมายก็คอยควบคุมให้รถยนต์ที่ขายที่นั้นๆ มีความปลอดภัย การประชาสัมพัน ก็เป็นการให้รางวัลกับรถยนต์ที่ทำมารตฐานด้านความปลอดภัยผ่านเกญ หรือได้รับการประกาศเป็นรางวัลเนื่องจากรถยนต์มีความปลอดภัยมากกว่ารถยนต์อื่นๆ ค่ายรถยนต์ ก็คอยพัฒนารถยนต์ ให้ผ่านมมาตรฐานความปลอดภัย
ดังนั้น การพัฒนาความปลอดภัยในรถยนต์ ใช้งบประมาญสูงมาก ในการผลักดัน ทั้งนี่ การประชาสัมพัน ก็ยังไม่ได้มีหลักฐานว่ามันเชื่อมโยงถึงปัจจัยในการเลือกซื้อรถ อย่างที่รัฐบาลคาดหวังหรือไม่
การที่รัฐบาล คอยประกาศ อุดหนุนงบประมาญให้หน่วยงานส่วนกลาง หรือการให้ความรู้กับประชาชนเนี่ย มันคุ้มหรือผลักดันให้คน เลือกรถยนต์ที่มีความปลอดภัยรึเปล่า(เราอาจสงสัยว่า ทำไม่รัฐบาลถึงกังวล เกี่ยวกับความปลอดภัยทางถนน คำตอบคือการสูญเสียทางถนน เนี่ย ส่งผลโดยตรงกับการพัฒนาของชาติ อย่างเช่นประเทศไทยเนี่ย ทุกๆปี GDP เราหายไป3%เนี่ยจากการสูญเสีย ที่ตรงนี่)
ผมเลยมองว่า คนที่มีความรู้เรื่องเกี่ยวกับความปลอกภัยเนี่ย การตัดสินใจซื้อรถยนต์ต่างกับคนไม่รู้หรือเปล่า
ปล. ถ้าผมตกหล่น ผิดพลาดยังไง หรือข้อมูลผิดตรงไหน รบกวนชี้แนะด้วยครับ
ปล.2 ผมชอบนิสสันครับ ถ้าว่างๆ จะมาเล่าเกี่ยวกับนิสสัม สมันไปตีอเมริกา กับยุโรป จนเจ๋ง ปีกหักไปซบเรย์โนลต์ให้ฟัง