Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: MoO Cnoe ที่ ตุลาคม 09, 2015, 02:40:05
-
Toyota Fortuner 2.4V 4x2 6A/T
1,369,000 บาท
(http://upic.me/i/6e/12079418_1152092428137735_8473070109775093465_n.jpg) (http://upic.me/show/56934595)
อัตราเร่ง 0 - 100 km/h (เกียร์ D)
#1 13.13 sec
#2 13.14 sec
#3 13.13 sec
#4 13.16 sec
อัตราเร่ง 0-100 km/h ทำได้เฉลี่ย 13.14 วินาที
------------------------------------------------------------------------------------
อัตราเร่ง 80 - 120 km/h (เกียร์ D)
#1 10.17 sec
#2 10.19 sec
#3 10.19 sec
#4 10.16 sec
อัตราเร่ง 80-120 km/h ทำได้เฉลี่ย 10.17 วินาที
------------------------------------------------------------------------------------
ความเร็วสูงสุด แต่ละเกียร์ (เกียร์ D)
เกียร์ 1 40 km/h @ 4,100 rpm
เกียร์ 2 65 km/h @ 3,900 rpm
เกียร์ 3 90 km/h @ 3,900 rpm
เกียร์ 4 140 km/h @ 3,900 rpm
เกียร์ 5 185 km/h @ 3,400 rpm
เกียร์ 6 185 km/h @ 2,900 rpm
ความเร็วสูงสุด แต่ละเกียร์ (เกียร์ M)
เกียร์ 1 48 km/h @ 4,600 rpm
เกียร์ 2 80 km/h @ 4,600 rpm
เกียร์ 3 112 km/h @ 4,500 rpm
เกียร์ 4 160 km/h @ 4,400 rpm
เกียร์ 5 185 km/h @ 3,400 rpm
เกียร์ 6 185 km/h @ 2,900 rpm
(http://upic.me/i/kl/12077528_1152098141470497_1090938408_n.jpg) (http://upic.me/show/56934594)
------------------------------------------------------------------------------------
Top Speed 185 km/h @ 3,400 rpm ที่เกียร์ 5
------------------------------------------------------------------------------------
ความเร็วบนมาตรวัด 100 km/h ความเร็วบน GPS 93 km/h
ความเร็วบนมาตรวัด 110 km/h ความเร็วบน GPS 103 km/h
------------------------------------------------------------------------------------
ความเร็ว @ รอบเครื่องยนต์ ที่เกียร์ 6
80 km/h @ 1,400 rpm
100 km/h @ 1,550 rpm
110 km/h @ 1,700 rpm
------------------------------------------------------------------------------------
Fuel Consumption อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
ระยะทางบน Trip Meter A 92.8 กิโลเมตร
เติมน้ำมันดีเซลเทครอน เพาเวอร์ ดี แบบไม่เขย่ารถ 6.85 ลิตร
เฉลี่ยที่ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน
อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงทำได้เฉลี่ย 13.53 km/l
------------------------------------------------------------------------------------
ตารางเปรียบเทียบกับคู่แข่งใน Segment เดียวกัน
(http://upic.me/i/kb/table_fortuner.jpg) (http://upic.me/show/56934598)
-
ขอบคุณมากครับ
-
เน้นประหยัด ความเร็ว 100 รอบ 1550
เฉลี่ยที่ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง
อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงทำได้เฉลี่ย 13.53 km/l
เข้าท่าดี น่าใช้เป็นรถครบครัววิ่งทางไกลมาก
ขอถามหน่อยนึงครับ
ในการทดสอบอัตราเร่ง ใช้โหมดธรรมดา หรือ PWR mode ครับ
-
ขอบคุณครับ :)
อัตราเร่งไม่เท่าไร แต่ประหยัดนี่มาที่หนึ่งของกลุ่มเลย
แต่เสียดายไม่มี MU-X มาเทียบอยากจะดูว่า
จะประหยัดกว่า MU-X ไหม?
-
ยุ้ยประหยัดจัง ขอบคุณครับ
-
ไม่แรงแต่ประหยัด.
-
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ เช่นเคยครับ รุ่นนี้ไฟท้ายสวยดี เวลาเจอบนถนนต้องคอยมองตามเป็นประจำ
8)
-
รอบเครื่องตกที่แรงบิดสูงสุดพอดีเด๊ะๆ
ต่อให้ขับ 120 - 130 รอบเครื่องก็น่าจะอยู่ในจุดแรงบิดสูงสุดเหมือนกัน
ไม่เสียใจที่จองไปแล้ว 8)
แต่ดูอัตราเร่ง คงต้องอาศัยดันรางซักใบ คงดีขึ้น 1-2 วิ
จะรอดูคลิปนะครับ
-
อ้าว ว่าไง เจ้าคนที่ว่าeveจะแซงพ้นไหม
อัตราเร่งแซงมันช้ากว่า 2.2 เสียอีกแนะ
แต่อัตราประหยัดน้ำมันสุดตามคาด
-
อืดกว่าชาวบ้าน แต่ก็ประหยัดสุด
แต่ถ้าเจอคนใจร้อนเหยียบให้ได้อย่างใจ จะกลายเป็นซดกว่าหรือเปล่าครับ
-
อ้าว ว่าไง เจ้าคนที่ว่าeveจะแซงพ้นไหม
อัตราเร่งแซงมันช้ากว่า 2.2 เสียอีกแนะ
แต่อัตราประหยัดน้ำมันสุดตามคาด
80-120 ช้ากว่า EVE แค่ 0.04 วินาทีเนี่ยนะ บนท้องถนนมันวัดกันได้ด้วยเหรอ
-
ประหยัดดีนะครับ
-
จะมีเทสรุ่นเกียร์M/T ไหมครับ มาแนวประหยัดแบบนี้ ผมนี่รักเลย
-
ประหยัดน้ำมันสุดๆ
-
จะมีเทสรุ่นเกียร์M/T ไหมครับ มาแนวประหยัดแบบนี้ ผมนี่รักเลย
ไม่มีครับ อีกคันน่าจะเป็น 2.8V 4x4 6A/T
-
:Dขอบคุณครับ รอชม 2.8 4WD
อัตราเร่งตอนทดสอบใช้ Normal MODE หรือ Power MODE ครับ
-
อัตราเร่งพอพอกับ 3.0 ตัวเก่า แต่ประหยัดน้ำมันกว่า
แหม่ทำออกมาใช้ได้เลยนะเนี้ยครับ
ว่าแต่ Normal Mode ใช่มั้ยอ่าครับ
-
:Dขอบคุณครับ รอชม 2.8 4WD
อัตราเร่งตอนทดสอบใช้ Normal MODE หรือ Power MODE ครับ
คิดว่าน่าจะ Normal Mode ครับ เพราะ Power Mode เป็นออปชั่นตัวช่วยครับ
-
อืมมม เผลอๆจะอืดกว่าEV 2.2 ซะอีกนะนี่ ถ้าคิดว่าไมล์มันเพี้ยนถึง 7 เปอร์เซ็นต์(อ้างอิงจากรีโว่)
ตัวเบากว่าตั้งเยอะ เช่นเดียวกันอัตราความประหยัดก็จะไม่ดูดีอย่างที่เห็นเมื่อเอาไปใช้จริงๆ ถ้าจะซือ
ก็จะซื้อเพราะไฟท้ายนี่แหละ มันสวยจริงๆ :-*
-
ประหยัดจริงๆด้วย สุดยอดไปเลยครับ รถก็ไม่ใช่เบาๆนะเนี่ย
ส่วนเรื่องความแรงนี่เลิกเถียงกันซักทีเถอะครับ ไร้สาระมากกกก โรงงานเขาปรับจูนมาแบบนี้ คนซื้อคนใช้เขาตัดสินใจเอง ถ้าอืดเดี๋ยวเขาก็ไปปรับกันเองแหละครับ เครื่องดีเซลล์ทุกค่ายพลังแฝงมันเยอะ ปรับนิดเดียวก็พุ่งละ เหล่ากองเชียร์ กองแช่ง ทั้งหลายก็เพลาๆ กันหน่อยเถอะครับ จะไปแข่ง 1/4 ไมล์ กันเหรอ หรือรถสมัยนี้ต้องกดแล้วพุ่งๆ จะไปตายกันไวๆ ประชากรจะได้ลดลง
-
ขอบคุณครับ
ชัดเจนเลยว่า พี่โต เน้นประหยัด อัตราเร่งดีกว่าเดิมด้วย
ทำให้ผมมโนต่อไปในตัว Innova ว่าถ้าได้ 2.4 Diesel มาคงวิ่งดีกว่าเดิมเยอะเลย แถมประหยัดด้วย
-
ก็ไม่แปลกที่เห็นคนใช้รีโว่ 2.4 บอกว่าประหยัด 14-15 กม./ล.
ฟอร์จูนเนอร์ 2.4 มาตรฐาน HLM ยังได้ตั้ง 13.5 กม./ล.
-
น้ำหนักมากว่าตัวเก่า
อัตราเร่งก็ถือว่าพอใช้ได้ พอๆกับ 3.0 ตัวเก่า
แต่ความประหยัดชนะเลิศตัวเก่าไปลิบเลย
ขอบคุณครับ
-
รุ่นที่จะเอายอดขายสูงสุด ก็คงต้องทำทุกอย่างกลางๆ ก็พอโอเค ครับ
-
ถือว่าใช้ได้เลยนะเนี่ย ความแรงขนาดนี้พอรับได้ แถมประหยัดน้ำมันอีกด้วย
-
ตัวนี้น่าจะเป็นตัวทำยอดขายนะครับ คงต้องเน้นเรื่องประหยัดมากๆ จะเอาไว้เป็นจุดขาย
-
อัตราสิ้นเปลืองออกมาดีทีเดียวเลย แต่อัตราเร่งถือว่าช้านิดๆ ถ้าเทียบกับ ev 2.2 หรือ pa 2.4
เห็นด้วยกับคุณเอดดี้ ครับ แฟนพันธ์แท้หรือไม่แท้ทังหลายเพลาๆ กันหน่อยก็ดีครับเรื่องจ้องกัดเนี่ย
-
ขอบคุณครับผม
-
ผมใช้ REVO 2.4AT พึ่งไปดันรางมาเหมือนกันครับ อัตราเร่ง 0-100 ดีขึ้นราวๆ2 วิเลยทีเดียวครับ ถ้าขับแบบเดิมก็กินน้ำมันตามปกติเลยครับ
-
ความเร็วบนหน้าปัทม์กับGPSต่างกันมากไปหน่อย ประมาณ7% ผมทดสอบEV 3.2+ผิดพลาดเพียงไม่เกิน3%(ไมล์รถ110GPS107)
ถามว่ามีผลอะไรไหม มีครับถ้าจับอัตราเร่งหรืออัตรากินน้ำมัน ไมล์อ่อนจะได้เปรียบนิดหน่อย(นิดเดียว)
แต่ก็คิดว่าประหยัดกว่าEVนิดหน่อยเหมือนกัน นำหนักตัวEVมากกว่าด้วย
สรุปในเรื่องนี้ไม่ผิดไปจากที่คาดไว้ หากไม่พอไปดันรางมันก็กินกว่าเดิมและเครื่องยนต์อาจไม่ได้รับการประกันหรืออายุสั้นลงไปอีก
ดังนั้นตรงนี้คงไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกันมากสำหรับผมนะครับ
-
คนใช้ Revo 2.4 6mt บอกมี 15-16 km/l ผมเริ่มคิดว่ามันอาจจะเป็นไปได้นะครับ
-
ขอบคุณค้าบ :) :) :)
-
ขอบคุณครับผม
อัตราสิ้นเปลืองอยู่ในระดับ ดี ครับผม
ส่วนถ้าเทียบกับ EV ผมว่า ชอบคันไหน ยี่ห้อ ไหน เลือกได้เลยครับผม
แต่ผมว่า สองรุ่นนี้ ใช้ยาวๆ และใช้งานทั่วไป พาครอบครัวไปเที่ยว ผมว่า เหมาะมากเลยครับผม
:)
-
หลายๆท่านบางครั้งให้ความคิดเห็นว่าอัตราการกินน้ำมันส่วนมากต่างกันนิดหน่อย ผมอยากให้ลองมองอย่างนี้ดูบ้างครับ
เทียบระหว่าง ฟอร์ ที่กินน้ำมันอยู่ 13.53 กับ EV ที่กินน้ำมันอยู่ 12.59 ต่างกันอยู่ ประมาณเกือบ 1กิโล/ลิตร สำหรับผมถือว่าเยอะนะครับ
ถ้าประมาณการว่า น้ำมันถังนึงมีขนาด 70ลิตรเท่ากัน ฟอร์จะวิ่งได้มากกว่า EV ถึงเกือบ 70กิโลเมตร/น้ำมัน1ถังเลยนะครับ
ถ้าลองคำนวณดู สัก 1 ปีจะรู้เลยครับว่าถ้ารถสองคันนี้ขับที่ระยะทางเท่ากัน รถที่ขับได้ไกลกว่าแค่เกือบ 1กิโล/1ลิตร
จะทำลายเชื้อเพลิงน้อยกว่า จะปล่อยคาร์บอนน้อยกว่า จะทำลายธรรมชาติน้อยกว่าเยอะพอสมควรครับ
-
แค่นี้ก็สุดยอดแล้วครับ กะจะซื้อปีหน้า ไม่รู้ว่าราคาจะขึ้นเท่าไหร่
-
กล่องใบเดียว250ม้า แรงบิด600nm บนไดโนคับ
แต่อะไหล่ยังใหม่จัดแพงๆทั้งนั้นยังไม่รู้ลิมิตด้วยพังมามีวางJ
-
หลายๆท่านบางครั้งให้ความคิดเห็นว่าอัตราการกินน้ำมันส่วนมากต่างกันนิดหน่อย ผมอยากให้ลองมองอย่างนี้ดูบ้างครับ
เทียบระหว่าง ฟอร์ ที่กินน้ำมันอยู่ 13.53 กับ EV ที่กินน้ำมันอยู่ 12.59 ต่างกันอยู่ ประมาณเกือบ 1กิโล/ลิตร สำหรับผมถือว่าเยอะนะครับ
ถ้าประมาณการว่า น้ำมันถังนึงมีขนาด 70ลิตรเท่ากัน ฟอร์จะวิ่งได้มากกว่า EV ถึงเกือบ 70กิโลเมตร/น้ำมัน1ถังเลยนะครับ
ถ้าลองคำนวณดู สัก 1 ปีจะรู้เลยครับว่าถ้ารถสองคันนี้ขับที่ระยะทางเท่ากัน รถที่ขับได้ไกลกว่าแค่เกือบ 1กิโล/1ลิตร
จะทำลายเชื้อเพลิงน้อยกว่า จะปล่อยคาร์บอนน้อยกว่า จะทำลายธรรมชาติน้อยกว่าเยอะพอสมควรครับ
ปัจจุบันพี่ใช้รถไฮบริท หรือไฟฟ้าใช่ไหมครับ
-
ความประหยัดรถเซ็กเม้นนี้ไม่ทิ้งกันเลย ใครชอบค่ายไหนไม่น่าจะกังวลอะไร ส่ในใครรอรถอยู่ก็ใจเย็นๆนะครับ
-
ford everest 2.2 กินกว่า อืดกว่า แต่แรงม้ามากกว่า
-
ถ้าคำนวณละเอียดจะไม่ได้ต่างกันขนาดนั้นครับ ต้องเอาค่าerrorของเข็มไมล์มาวัดด้วย
เช่นFTN 80ลิตรจะได้ระยะทางตามเข็มไมล์ถ้าขับ110คงที่ได้80x13.53=1082.4 กิโลเมตร แต่จริงๆทุกๆ100กิโลเมตรได้ระยะจริงเพียง93กิโลเมตร ดังนั้นจะต้องเอาตัวเลขTotal คูณ93%
จะได้ระยะทางจริงๆ=1006.63กิโลเมตร
ส่วนEV2.2 80ลิตรจะได้ระยะทางที่ความเร็วเท่ากัน(จริงๆEVยังเสียเปรียบเพราะวิ่งจริงเร็วกว่าแต่ผมไม่เอามาคิด)จะได้ระยระทาง80x12.59=1007.2 เสร็จแล้วเอาไปคูณกับ97%(มาจากการเบี่ยงเบนไป3%ตามค่าGPS)
จะได้ระยะทางจริงๆสำหรับEVคือ 976.98กิโลเมตร ดังนั้นค่าแตกต่างสำหรับน้ำมัน1ถังจะได้=1006.63-976.98=29.65กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จะต่างกันคือFTNประหยัดกว่าEVเพียง2.9%เท่านั้นครับ
ยิ่งถ้ามีตัวแปรอื่นๆอีกเช่นลักษณะการเหยียบคันเร่งเพื่อเร่งแซง คันที่อัตราเร่งดีกว่าอาจจะประหยัดกว่า(อาจจะ)ก็เป็นได้เพราะใช้ระยะเวลาน้อยกว่าในการเร่งแซง
ดังนั้นสรุปว่าFTNเฉือนชนะEVไปได้แบบเฉียดฉิวจริงๆ ไม่ได้มากอะไรเลยครับ
-
ดูอัตราสิ้นเปลือง อย่าลืมอัตราทดเกียร์สุดท้ายของฟอร์จูนเนอร์นะครับ ทดมาแบบนี้ ไมล์อ่อนขนาดนี้ ตัวเลขก็ไม่ได้ดีอะไรสักเท่าไร พอใช้ในเมืองออกตัวบ่อยๆมันจะกินกว่าชาวบ้านนะครับ
-
ขอบคุณสำหรับข้อมูลน่ะครับผม
แต่รอดูคลิปเช็คๆ Outttttt! ดีกว่าจะได้รู้ว่าช่วงล่างมันโยกมันโยนเหมือนตัวเดิมหรือเปล่า
-
อืมมมมม น่าคิด
-
หลายๆท่านบางครั้งให้ความคิดเห็นว่าอัตราการกินน้ำมันส่วนมากต่างกันนิดหน่อย ผมอยากให้ลองมองอย่างนี้ดูบ้างครับ
เทียบระหว่าง ฟอร์ ที่กินน้ำมันอยู่ 13.53 กับ EV ที่กินน้ำมันอยู่ 12.59 ต่างกันอยู่ ประมาณเกือบ 1กิโล/ลิตร สำหรับผมถือว่าเยอะนะครับ
ถ้าประมาณการว่า น้ำมันถังนึงมีขนาด 70ลิตรเท่ากัน ฟอร์จะวิ่งได้มากกว่า EV ถึงเกือบ 70กิโลเมตร/น้ำมัน1ถังเลยนะครับ
ถ้าลองคำนวณดู สัก 1 ปีจะรู้เลยครับว่าถ้ารถสองคันนี้ขับที่ระยะทางเท่ากัน รถที่ขับได้ไกลกว่าแค่เกือบ 1กิโล/1ลิตร
จะทำลายเชื้อเพลิงน้อยกว่า จะปล่อยคาร์บอนน้อยกว่า จะทำลายธรรมชาติน้อยกว่าเยอะพอสมควรครับ
ปัจจุบันพี่ใช้รถไฮบริท หรือไฟฟ้าใช่ไหมครับ
ต้องขออภัยพี่ด้วยนะครับถ้าความคิดเห็นของผมทำให้พี่อาจหงุดหงิดใจหรือเปล่า เพราะพี่อาจเป็นมิตรรักแฟนเพลงของEV
ก็อาจจะมีเคืองๆบ้างหรือเปล่าอันนี้ผมไม่ทราบได้นะครับแต่ต้องขออภัยจริงๆถ้าเป็นเช่นนั้นครับ
ผมว่าผมตอบและแสดงความคิดเห็นอยู่บนพื้นฐานข้อมูลและเหตุผลนะครับ น่าจะแตกต่างจากความคิดเห็นของพี่ตรงที่ว่า
***ปัจจุบันพี่ใช้รถไฮบริท หรือไฟฟ้าใช่ไหมครับ***
ผมอ่านแล้วมันให้ความรู้สึกเหมือนคนไม่โตแสดงความคิดเห็นน่ะครับ คนเป็นผู้ใหญ่มันต้องใจกว้างครับ เขาถึงเรียกว่าเป็นผู้ใหญ่ครับ
พูดคุยแสดงเหตุผลหักล้างกันน่าจะเหมาะกว่า คำลักษณะนี้ครับ (ถ้าพูดตรงไปก็ขออภัยนะครับ แต่คำพูดตรงๆมันเข้าใจง่ายดีครับขออภัยด้วยครับ)
-
เจอ mu-x 2500 cc 15.5 โลลิตร เป็นลมกันทั้งบางครับ
-
ถ้าคำนวณละเอียดจะไม่ได้ต่างกันขนาดนั้นครับ ต้องเอาค่าerrorของเข็มไมล์มาวัดด้วย
เช่นFTN 80ลิตรจะได้ระยะทางตามเข็มไมล์ถ้าขับ110คงที่ได้80x13.53=1082.4 กิโลเมตร แต่จริงๆทุกๆ100กิโลเมตรได้ระยะจริงเพียง93กิโลเมตร ดังนั้นจะต้องเอาตัวเลขTotal คูณ93%
จะได้ระยะทางจริงๆ=1006.63กิโลเมตร
ส่วนEV2.2 80ลิตรจะได้ระยะทางที่ความเร็วเท่ากัน(จริงๆEVยังเสียเปรียบเพราะวิ่งจริงเร็วกว่าแต่ผมไม่เอามาคิด)จะได้ระยระทาง80x12.59=1007.2 เสร็จแล้วเอาไปคูณกับ97%(มาจากการเบี่ยงเบนไป3%ตามค่าGPS)
จะได้ระยะทางจริงๆสำหรับEVคือ 976.98กิโลเมตร ดังนั้นค่าแตกต่างสำหรับน้ำมัน1ถังจะได้=1006.63-976.98=29.65กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จะต่างกันคือFTNประหยัดกว่าEVเพียง2.9%เท่านั้นครับ
ยิ่งถ้ามีตัวแปรอื่นๆอีกเช่นลักษณะการเหยียบคันเร่งเพื่อเร่งแซง คันที่อัตราเร่งดีกว่าอาจจะประหยัดกว่า(อาจจะ)ก็เป็นได้เพราะใช้ระยะเวลาน้อยกว่าในการเร่งแซง
ดังนั้นสรุปว่าFTNเฉือนชนะEVไปได้แบบเฉียดฉิวจริงๆ ไม่ได้มากอะไรเลยครับ
สวัสดีครับพี่ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ช่วยอธิบายครับได้ความรู้เพิ่มพูนขึ้นครับ
แต่ผมของลงรายละเอียดอีกนิดนึงนะครับจะได้เห็นภาพของข้อมูลชัดๆอีกทีครับ
Fuel Consumption อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
ระยะทางบน Trip Meter A 92.8 กิโลเมตร
เติมน้ำมันดีเซลเทครอน เพาเวอร์ ดี แบบไม่เขย่ารถ 6.85 ลิตร
เฉลี่ยที่ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน
ตัวนี้เป็นข้อมูลที่ผมใช้เป็นฐานในเหตุผลที่ผมแสดงครับ เป็นการทดสอบจากทางทีม HLM ครับ ระยะที่เขาทดสอบ ส่วมมากที่ใช้กับคันอื่นๆ
ก็คือ 92.8 km ครับ ไมล์อ่อนไมล์แข็งผมคิดว่าน่าจะเอามาจับกับการทดสอบนี้ไม่ได้ครับ เพราะทาง HLM เขามีมาตรฐานเรื่องของระยะทางอยู่แล้วครับ
ฉนั้นเมื่อรถคันไหนก็ตามที่ไมล์แข็งหรืออ่อนไม่เท่ากัน ก็ไม่น่าจะใช้วัดได้ครับ เมื่อการวัดเกิดขึ้นที่การเติมน้ำมันเต็มถังแล้ววิ่งที่ระยะทางที่เท่ากัน
แล้วกลับมาเติมน้ำมันกลับอีกทีว่าใช้ไปกี่ลิตร ถึงหาค่าของอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงขึ้นมาได้นั่งเองครับ ข้อมูลตรงนี้นี่แหละครับที่เป็นมาตราฐานของทาง
HLM ที่ผมว่าสามารถนำมาอ้างอิงได้พอสมควรครับ
-
ตอนนี้รอดู Eco Sticker ของทุกรุ่นอยู่ครับ ไม่แน่ใจว่าทุกรุ่นจะออกมาพร้อมกันในเดือนธันวาคมรึเปล่านะ
อ้างอิง:http://www.car.go.th/
-
2.4V รุ่นนี้ ตามเอกสารแปะข้างกระจกหน้า น้ำหนักตัวอยู่ที่ 2005 กิโลกร้ม
เบากว่ารุ่นท็อป 2.8V 4x4 ที่หนัก 2135 กิโลกรัม
ส่วนตัวผมคิดว่า รุ่นนี้คุ้มค่าน่าซื้อมากกว่า 2.7V และ 2.8V ขับ2 ที่แพงเกินจริง
-
ถ้าคำนวณละเอียดจะไม่ได้ต่างกันขนาดนั้นครับ ต้องเอาค่าerrorของเข็มไมล์มาวัดด้วย
เช่นFTN 80ลิตรจะได้ระยะทางตามเข็มไมล์ถ้าขับ110คงที่ได้80x13.53=1082.4 กิโลเมตร แต่จริงๆทุกๆ100กิโลเมตรได้ระยะจริงเพียง93กิโลเมตร ดังนั้นจะต้องเอาตัวเลขTotal คูณ93%
จะได้ระยะทางจริงๆ=1006.63กิโลเมตร
ส่วนEV2.2 80ลิตรจะได้ระยะทางที่ความเร็วเท่ากัน(จริงๆEVยังเสียเปรียบเพราะวิ่งจริงเร็วกว่าแต่ผมไม่เอามาคิด)จะได้ระยระทาง80x12.59=1007.2 เสร็จแล้วเอาไปคูณกับ97%(มาจากการเบี่ยงเบนไป3%ตามค่าGPS)
จะได้ระยะทางจริงๆสำหรับEVคือ 976.98กิโลเมตร ดังนั้นค่าแตกต่างสำหรับน้ำมัน1ถังจะได้=1006.63-976.98=29.65กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จะต่างกันคือFTNประหยัดกว่าEVเพียง2.9%เท่านั้นครับ
ยิ่งถ้ามีตัวแปรอื่นๆอีกเช่นลักษณะการเหยียบคันเร่งเพื่อเร่งแซง คันที่อัตราเร่งดีกว่าอาจจะประหยัดกว่า(อาจจะ)ก็เป็นได้เพราะใช้ระยะเวลาน้อยกว่าในการเร่งแซง
ดังนั้นสรุปว่าFTNเฉือนชนะEVไปได้แบบเฉียดฉิวจริงๆ ไม่ได้มากอะไรเลยครับ
สวัสดีครับพี่ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ช่วยอธิบายครับได้ความรู้เพิ่มพูนขึ้นครับ
แต่ผมของลงรายละเอียดอีกนิดนึงนะครับจะได้เห็นภาพของข้อมูลชัดๆอีกทีครับ
Fuel Consumption อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
ระยะทางบน Trip Meter A 92.8 กิโลเมตร
เติมน้ำมันดีเซลเทครอน เพาเวอร์ ดี แบบไม่เขย่ารถ 6.85 ลิตร
เฉลี่ยที่ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน
ตัวนี้เป็นข้อมูลที่ผมใช้เป็นฐานในเหตุผลที่ผมแสดงครับ เป็นการทดสอบจากทางทีม HLM ครับ ระยะที่เขาทดสอบ ส่วมมากที่ใช้กับคันอื่นๆ
ก็คือ 92.8 km ครับ ไมล์อ่อนไมล์แข็งผมคิดว่าน่าจะเอามาจับกับการทดสอบนี้ไม่ได้ครับ เพราะทาง HLM เขามีมาตรฐานเรื่องของระยะทางอยู่แล้วครับ
ฉนั้นเมื่อรถคันไหนก็ตามที่ไมล์แข็งหรืออ่อนไม่เท่ากัน ก็ไม่น่าจะใช้วัดได้ครับ เมื่อการวัดเกิดขึ้นที่การเติมน้ำมันเต็มถังแล้ววิ่งที่ระยะทางที่เท่ากัน
แล้วกลับมาเติมน้ำมันกลับอีกทีว่าใช้ไปกี่ลิตร ถึงหาค่าของอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงขึ้นมาได้นั่งเองครับ ข้อมูลตรงนี้นี่แหละครับที่เป็นมาตราฐานของทาง
HLM ที่ผมว่าสามารถนำมาอ้างอิงได้พอสมควรครับ
ไม่น่าใช่ Trip Meter ก็อ่านเอาบนไมล์ของแต่ละคันนั้นแหละ ไม่จำเป็นต้อง92.8 กิโลเมตรเสมอไป
สรุปตัวเลขโดยรวมไม่มีค่ายไหนโดดเด่นเป็นพิเศษ เรื่องอัตราเร่ง หรือ ประหยัดน้ำมัน
ได้แรงก็ไม่ประหยัด ได้ประหยัดก็ไม่แรง
-
อัตราสิ้นเปลืองให้ดูเพื่อเอาแนวทางครับ ไม่ต้องเป้ะ 100%
เพราะคันที่อัตราสิ้นเปลืองดีกว่า ค่า speed กลับ error เยอะกว่า
-
ถ้าคำนวณละเอียดจะไม่ได้ต่างกันขนาดนั้นครับ ต้องเอาค่าerrorของเข็มไมล์มาวัดด้วย
เช่นFTN 80ลิตรจะได้ระยะทางตามเข็มไมล์ถ้าขับ110คงที่ได้80x13.53=1082.4 กิโลเมตร แต่จริงๆทุกๆ100กิโลเมตรได้ระยะจริงเพียง93กิโลเมตร ดังนั้นจะต้องเอาตัวเลขTotal คูณ93%
จะได้ระยะทางจริงๆ=1006.63กิโลเมตร
ส่วนEV2.2 80ลิตรจะได้ระยะทางที่ความเร็วเท่ากัน(จริงๆEVยังเสียเปรียบเพราะวิ่งจริงเร็วกว่าแต่ผมไม่เอามาคิด)จะได้ระยระทาง80x12.59=1007.2 เสร็จแล้วเอาไปคูณกับ97%(มาจากการเบี่ยงเบนไป3%ตามค่าGPS)
จะได้ระยะทางจริงๆสำหรับEVคือ 976.98กิโลเมตร ดังนั้นค่าแตกต่างสำหรับน้ำมัน1ถังจะได้=1006.63-976.98=29.65กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จะต่างกันคือFTNประหยัดกว่าEVเพียง2.9%เท่านั้นครับ
ยิ่งถ้ามีตัวแปรอื่นๆอีกเช่นลักษณะการเหยียบคันเร่งเพื่อเร่งแซง คันที่อัตราเร่งดีกว่าอาจจะประหยัดกว่า(อาจจะ)ก็เป็นได้เพราะใช้ระยะเวลาน้อยกว่าในการเร่งแซง
ดังนั้นสรุปว่าFTNเฉือนชนะEVไปได้แบบเฉียดฉิวจริงๆ ไม่ได้มากอะไรเลยครับ
สวัสดีครับพี่ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ช่วยอธิบายครับได้ความรู้เพิ่มพูนขึ้นครับ
แต่ผมของลงรายละเอียดอีกนิดนึงนะครับจะได้เห็นภาพของข้อมูลชัดๆอีกทีครับ
Fuel Consumption อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
ระยะทางบน Trip Meter A 92.8 กิโลเมตร
เติมน้ำมันดีเซลเทครอน เพาเวอร์ ดี แบบไม่เขย่ารถ 6.85 ลิตร
เฉลี่ยที่ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน
ตัวนี้เป็นข้อมูลที่ผมใช้เป็นฐานในเหตุผลที่ผมแสดงครับ เป็นการทดสอบจากทางทีม HLM ครับ ระยะที่เขาทดสอบ ส่วมมากที่ใช้กับคันอื่นๆ
ก็คือ 92.8 km ครับ ไมล์อ่อนไมล์แข็งผมคิดว่าน่าจะเอามาจับกับการทดสอบนี้ไม่ได้ครับ เพราะทาง HLM เขามีมาตรฐานเรื่องของระยะทางอยู่แล้วครับ
ฉนั้นเมื่อรถคันไหนก็ตามที่ไมล์แข็งหรืออ่อนไม่เท่ากัน ก็ไม่น่าจะใช้วัดได้ครับ เมื่อการวัดเกิดขึ้นที่การเติมน้ำมันเต็มถังแล้ววิ่งที่ระยะทางที่เท่ากัน
แล้วกลับมาเติมน้ำมันกลับอีกทีว่าใช้ไปกี่ลิตร ถึงหาค่าของอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงขึ้นมาได้นั่งเองครับ ข้อมูลตรงนี้นี่แหละครับที่เป็นมาตราฐานของทาง
HLM ที่ผมว่าสามารถนำมาอ้างอิงได้พอสมควรครับ
ไม่น่าใช่ Trip Meter ก็อ่านเอาบนไมล์ของแต่ละคันนั้นแหละ ไม่จำเป็นต้อง92.8 กิโลเมตรเสมอไป
สรุปตัวเลขโดยรวมไม่มีค่ายไหนโดดเด่นเป็นพิเศษ เรื่องอัตราเร่ง หรือ ประหยัดน้ำมัน
ได้แรงก็ไม่ประหยัด ได้ประหยัดก็ไม่แรง
การทดสอบของทางทีมงาน HLM ส่วนมากเป็นเส้นทางเดิมไม่ใช่เหรอครับผมจำได้ว่าผมเคยอ่านคือ เขาจะเติมน้ำมัน จากตู้จ่ายและหัวจ่ายน้ำมันตู้เดิม
ทั้งตอนเริ่มและตอนเติมกลับนะครับ ลองดูรูปภาพที่ทาง HLM โพสไว้ในการทดสอบซิครับ ว่ามักเป็นตู้เติมหมายเลข 2 ในการทดสอบรถหลายๆคัน
ส่วนความเร็ว 110 ที่ใช้ทดสอบ ผมมั่นใจว่าทางทีมงานคงใช้ GPS ในการวัดค่าความเร็วและระยะทางแน่ๆครับเพื่อให้ได้ความเร็วที่แท้จริง
ในการทดสอบ ดังนั้นเมื่อส่วนมากเส้นทางเดิม ถนนเส้นเดิม ตู้น้ำมันและหัวจ่ายเดิม ระยะทางก็น่าจะเใกล้เคียงกันนะครับ
(แต่ถ้าผมเข้าใจผิดผมก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ)
รถมีข้อดีกันทุกค่ายอย่างที่พี่ว่าครับอยู่ที่เราจะเลือกข้อดีอันไหนให้เหมาะกับเราครับอันนี้เห็นด้วยครับซึ่งเหตุผลทุกคนต่างกันแน่นอนครับ
**ที่ผมต้องอธิบายเรื่องนี้เพราะส่วนมากที่ผมอ่านความคิดเห็นในการทดสอบรถในคลาสเดียวกัน มักมีหลายๆท่านในหลายการทดสอบ
แสดงความคิดเห็นว่า กินต่างกันนิดหน่อย ซึ่งตรงนี้ผมเห็นด้วยครับถ้าคิดที่น้ำมัน1ลิตร แต่ถ้ามันต้องใช้ขับกันเป็นหมื่นเป็นแสนกิโลมันต่างกันพอสมควร
นะครับผมเลยมาแสดงความคิดเห็นในมุมมองนี้ให้ทุกท่านได้ลองพิจารณากันบ้างครับ ไม่มีอะไรมากแค่มาขอแชร์ความรู้และมุมมองเพิ่ม
เท่านั้นเองครับ**
-
ประหยัดกว่าที่คิดนะครับรอตัว2.8ขับ4ว่ามันจะเปนยังไงครับแต่ผมเคยขับรีโวขับ4มาน่าจะแบบเดียวกันครับ
-
ประหยัดคือจุดขายจิงๆ
ปีหน้าราคาจะไปขนาดไหนเนี่ย T T
-
หลายๆท่านบางครั้งให้ความคิดเห็นว่าอัตราการกินน้ำมันส่วนมากต่างกันนิดหน่อย ผมอยากให้ลองมองอย่างนี้ดูบ้างครับ
เทียบระหว่าง ฟอร์ ที่กินน้ำมันอยู่ 13.53 กับ EV ที่กินน้ำมันอยู่ 12.59 ต่างกันอยู่ ประมาณเกือบ 1กิโล/ลิตร สำหรับผมถือว่าเยอะนะครับ
ถ้าประมาณการว่า น้ำมันถังนึงมีขนาด 70ลิตรเท่ากัน ฟอร์จะวิ่งได้มากกว่า EV ถึงเกือบ 70กิโลเมตร/น้ำมัน1ถังเลยนะครับ
ถ้าลองคำนวณดู สัก 1 ปีจะรู้เลยครับว่าถ้ารถสองคันนี้ขับที่ระยะทางเท่ากัน รถที่ขับได้ไกลกว่าแค่เกือบ 1กิโล/1ลิตร
จะทำลายเชื้อเพลิงน้อยกว่า จะปล่อยคาร์บอนน้อยกว่า จะทำลายธรรมชาติน้อยกว่าเยอะพอสมควรครับ
ปัจจุบันพี่ใช้รถไฮบริท หรือไฟฟ้าใช่ไหมครับ
ต้องขออภัยพี่ด้วยนะครับถ้าความคิดเห็นของผมทำให้พี่อาจหงุดหงิดใจหรือเปล่า เพราะพี่อาจเป็นมิตรรักแฟนเพลงของEV
ก็อาจจะมีเคืองๆบ้างหรือเปล่าอันนี้ผมไม่ทราบได้นะครับแต่ต้องขออภัยจริงๆถ้าเป็นเช่นนั้นครับ
ผมว่าผมตอบและแสดงความคิดเห็นอยู่บนพื้นฐานข้อมูลและเหตุผลนะครับ น่าจะแตกต่างจากความคิดเห็นของพี่ตรงที่ว่า
***ปัจจุบันพี่ใช้รถไฮบริท หรือไฟฟ้าใช่ไหมครับ***
ผมอ่านแล้วมันให้ความรู้สึกเหมือนคนไม่โตแสดงความคิดเห็นน่ะครับ คนเป็นผู้ใหญ่มันต้องใจกว้างครับ เขาถึงเรียกว่าเป็นผู้ใหญ่ครับ
พูดคุยแสดงเหตุผลหักล้างกันน่าจะเหมาะกว่า คำลักษณะนี้ครับ (ถ้าพูดตรงไปก็ขออภัยนะครับ แต่คำพูดตรงๆมันเข้าใจง่ายดีครับขออภัยด้วยครับ)
ไปไหนครับเนี่ย ถามจริงๆ ไม่ได้ประชด โถ่ถัง คนที่มีแนวคิดแบบนี้ก็น่าจะใช้รถแบบที่ผมถาม นึกว่าจะเจอคนใช้นิสสันลีฟแบบนั้น ถ้าจะดูคอมเม้นต์ในกระทู้นี้ของผมผมว่าโคตรแฟร์เลยนะ ผมไม่เห็นจะอวย EVR เลย เวลา พูดถึงรถผมผมก็พูดแบบไม่อวย บอกข้อเสียด้วยซ้ำ และไม่ได้มีรถคันเดียวครับ หลายคัน หลายยี่ห้อ ไม่ได้มีหุ้นอยู่ฟอร์ดครับ ไม่ได้ประสาทขนาดนั้น ไปกินรังแตนที่ไหนมา
อะไรของพี่ครับเนี่ย เดี๋ยวนี้บอร์ดนี้มันจะถามอะไรกันไม่ได้เลยหรือไง ผมเล่นมา 5 ปี ก็ถามแบบนี้แหละ. ทำไมเหรอครับ มันตงจะต้องมีแต่ติ่งรถตัวเองหรือไง
ถ้าไม่ต้องการให้ใครถาม พี่ระบุไปเลย คหสต ห้ามถาม ห้ามเถียง หรือไม่ระบุไป user นี้ มาพูดคนเดียว คนอื่นอย่ายุ่ง
-
อัตราสิ้นเปลืองให้ดูเพื่อเอาแนวทางครับ ไม่ต้องเป้ะ 100%
เพราะคันที่อัตราสิ้นเปลืองดีกว่า ค่า speed กลับ error เยอะกว่า
เห็นด้วยครับวิธีการไม่ต้องเป๊ะ100% แค่นี้คิดว่าก็เสียสละเวลา ทนทรมาณต้องนอนดึกของผู้ทดสอบมากพอควรแล้ว
แต่ถ้าจะดูเหตุผลตามทางทฤษฎีแล้ว ไมล์อ่อน/ไมล์แก่ ย่อมมีผลต่อการทดสอบ
ไมล์อ่อน/ไมล์แก่เป็นผลรวมจากความแม่นยำของการผลิตทำเกจ์+ขนาดเส้นรอบวงวงล้อรถยนต์ที่ใช้
เพื่อจะอธิบายเปรียบเทียบง่ายๆไม่สับสนงงใหญ่ จะเปรียบเทียบเฉพาะไมล์อ่อนกับไมล์ปกติแล้วกัน ว่าไปจะมีผลต่อการทดสอบการกินเชื้อเพลิงอย่างน้อยสองเด้งด้วยกัน
มาดูการวัดค่ากันก่อน ในเกจ์ไมล์นั้นมีเฟืองวัดจำนวนรอบการหมุนมาแปรเป็นระยะทางแล้วเทียบกับหนึ่งหน่วยเวลา แสดงมาเป็นเข็มชี้ที่เลขต่างๆ ให้รู้ว่าเป็นกี่ กม.ต่อชั่วโมง
และอีกส่วนไปแสดงที่ odometerหรือtrip meter บอกจำนวนระยะทางที่วิ่งไปกม.
ไมล์อ่อนนั้นเกิดจากค่าที่แสดงออกมานั้นผิดไป ได้ค่ามากเกินค่าไมล์ปกติจริงไป คือแสดงเป็นค่าความเร็วเกินเกจ์ไมล์ปกติทั้งที่วิ่งความเร็วจริงเท่าๆกัน และแสดงวัดระยะทางได้มากกว่าค่าเกจ์ไมล์ปกติทั้งที่ระยะทางวิ่งจริงเท่ากัน
เด้งแรก ระยะทางจากจุดเดียวกันถึงจุดหมายเดียวกัน odometerไมล์อ่อนจะแสดงค่าระยะทางมากกว่าของไมล์ปกติ เมื่อหารด้วยปริมาณเชื้อเพลิงที่ใช้ ก็แสดงเป็นค่าว่าวิ่งได้ระยะทางมากกว่า(กม./ลิตร) โดนหลอกว่าวิ่งได้ต่อลิตรมากกว่า ประหยัดกว่าของไมล์ปกติ
เด้งที่สอง เมื่อทดสอบวิ่งที่ดูจากเกจ์ไมล์ที่ 110กม/ชม คันที่ไมล์อ่อนเหยียบคันเร่งน้อยกว่า(ใช้น้ำมันน้อยกว่า) แต่ก็สามารถแสดงค่าที่เกจ์ได้ 110 เท่าเกจ์ปกติ
หรืออีกนัยยะหนึ่ง คันที่ไมล์อ่อนนั้นความเร็วจริงไม่ถึง 110จริง คือวิ่งทดสอบด้วยความเร็วที่ช้ากว่า
แล้วความจริงอีกประการหนึ่ง ความเร็วที่ประหยัดสุดของรถยนต์อยู่ที่ช่วง 60-80กม/ชม เมื่อความเร็วเกินค่าดังกล่าว ยิ่งความเร็วเพิ่ม อัตราการการกินเชื้อเพลิงจะไม่ได้เพิ่มเป็นเส้นตรงแล้วแต่จะเพิ่มมากกว่าอัตราความเร็วที่เพิ่มดังนั้นอัตราการกินน้ำมันของไมล์อ่อนที่ความเร็วจริงน้อยกว่า ก็ยิ่งกินเชื้อเพลิงน้อยกว่า
.....ลองคิดกันเองต่อนะครับ
-
หลายๆท่านบางครั้งให้ความคิดเห็นว่าอัตราการกินน้ำมันส่วนมากต่างกันนิดหน่อย ผมอยากให้ลองมองอย่างนี้ดูบ้างครับ
เทียบระหว่าง ฟอร์ ที่กินน้ำมันอยู่ 13.53 กับ EV ที่กินน้ำมันอยู่ 12.59 ต่างกันอยู่ ประมาณเกือบ 1กิโล/ลิตร สำหรับผมถือว่าเยอะนะครับ
ถ้าประมาณการว่า น้ำมันถังนึงมีขนาด 70ลิตรเท่ากัน ฟอร์จะวิ่งได้มากกว่า EV ถึงเกือบ 70กิโลเมตร/น้ำมัน1ถังเลยนะครับ
ถ้าลองคำนวณดู สัก 1 ปีจะรู้เลยครับว่าถ้ารถสองคันนี้ขับที่ระยะทางเท่ากัน รถที่ขับได้ไกลกว่าแค่เกือบ 1กิโล/1ลิตร
จะทำลายเชื้อเพลิงน้อยกว่า จะปล่อยคาร์บอนน้อยกว่า จะทำลายธรรมชาติน้อยกว่าเยอะพอสมควรครับ
ปัจจุบันพี่ใช้รถไฮบริท หรือไฟฟ้าใช่ไหมครับ
ต้องขออภัยพี่ด้วยนะครับถ้าความคิดเห็นของผมทำให้พี่อาจหงุดหงิดใจหรือเปล่า เพราะพี่อาจเป็นมิตรรักแฟนเพลงของEV
ก็อาจจะมีเคืองๆบ้างหรือเปล่าอันนี้ผมไม่ทราบได้นะครับแต่ต้องขออภัยจริงๆถ้าเป็นเช่นนั้นครับ
ผมว่าผมตอบและแสดงความคิดเห็นอยู่บนพื้นฐานข้อมูลและเหตุผลนะครับ น่าจะแตกต่างจากความคิดเห็นของพี่ตรงที่ว่า
***ปัจจุบันพี่ใช้รถไฮบริท หรือไฟฟ้าใช่ไหมครับ***
ผมอ่านแล้วมันให้ความรู้สึกเหมือนคนไม่โตแสดงความคิดเห็นน่ะครับ คนเป็นผู้ใหญ่มันต้องใจกว้างครับ เขาถึงเรียกว่าเป็นผู้ใหญ่ครับ
พูดคุยแสดงเหตุผลหักล้างกันน่าจะเหมาะกว่า คำลักษณะนี้ครับ (ถ้าพูดตรงไปก็ขออภัยนะครับ แต่คำพูดตรงๆมันเข้าใจง่ายดีครับขออภัยด้วยครับ)
ไปไหนครับเนี่ย ถามจริงๆ ไม่ได้ประชด โถ่ถัง คนที่มีแนวคิดแบบนี้ก็น่าจะใช้รถแบบที่ผมถาม นึกว่าจะเจอคนใช้นิสสันลีฟแบบนั้น ถ้าจะดูคอมเม้นต์ในกระทู้นี้ของผมผมว่าโคตรแฟร์เลยนะ ผมไม่เห็นจะอวย EVR เลย เวลา พูดถึงรถผมผมก็พูดแบบไม่อวย บอกข้อเสียด้วยซ้ำ และไม่ได้มีรถคันเดียวครับ หลายคัน หลายยี่ห้อ ไม่ได้มีหุ้นอยู่ฟอร์ดครับ ไม่ได้ประสาทขนาดนั้น ไปกินรังแตนที่ไหนมา
อะไรของพี่ครับเนี่ย เดี๋ยวนี้บอร์ดนี้มันจะถามอะไรกันไม่ได้เลยหรือไง ผมเล่นมา 5 ปี ก็ถามแบบนี้แหละ. ทำไมเหรอครับ มันตงจะต้องมีแต่ติ่งรถตัวเองหรือไง
ถ้าไม่ต้องการให้ใครถาม พี่ระบุไปเลย คหสต ห้ามถาม ห้ามเถียง หรือไม่ระบุไป user นี้ มาพูดคนเดียว คนอื่นอย่ายุ่ง
ต้องกราบขออภัยพี่อย่างสูงครับ พูดคุยในกระดานสนทนามันแข็งๆไม่เห็นหน้าตาไม่เห็นอารมณ์ขณะนั้น เลยไม่ทราบว่ามาแนวไหนครับ
ไม่รู้มาดี หรือมากวน ไอ้ผมคนจริงจังไม่ค่อยชอบพูดเล่นก็เลยนึกว่ามากวน ที่แท้ผมเข้าใจผิดไปเอง ก็ต้องขอยกมือกราบขอโทษขออภัยพี่
มา ณ ที่นี้ด้วยครับ
** ก็ถึงว่าผมไม่ค่อยจะมีใครคบเท่าไหร่แล้วเดี๋ยวนี้ ดันเกิดมาเป็นคนจริงจังไปซะทุกเรื่อง ;D **
-
ไมล์รถเพี้ยน 7 เลยหรอ งั้นวิ่ง 110 ก็เท่ากับ GPS 103 อืมเพี้ยนเยอะจังแฮะ
-
ประหยัดจริงๆครับ
อัตราเร่งก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร พอๆกับ รุ่นเก่าเครื่อง3.0
ยังจำได้ดีช่วงที่ซื้อ fortuner 3.0v โฉมแรก 10 ปีที่แล้วตอนนั้นน้ำมันดีเซลลิตรละ 20 กว่าบาท อัตราสิ้นเปลือง 10 โลลิตรก็ยังพอรับได้ ยังจ่ายค่าน้ำมันไหว
แต่พอเกิดวิกฤตน้ำมันแพง ดีเซลลทะลุ 40 บาท จำได้เลยว่าตอนนั้นเติมน้ำมันเดือนละหมื่นกว่าบาท แทบไม่อยากจะขับรถไปไหนเลย
พอเห็น FTN 2.4 ทำอัตราสิ้นเปลืองมาได้ขนาดนี้ก็คิดหนักเลยครับ ถ้าซื้อ FTN อย่างน้อยอนาคตเกิดน้ำมันแพงจะได้ไม่ต้องกังวลกับอตราสิ้นเปลืองมากนัก
-
ถ้าคำนวณละเอียดจะไม่ได้ต่างกันขนาดนั้นครับ ต้องเอาค่าerrorของเข็มไมล์มาวัดด้วย
เช่นFTN 80ลิตรจะได้ระยะทางตามเข็มไมล์ถ้าขับ110คงที่ได้80x13.53=1082.4 กิโลเมตร แต่จริงๆทุกๆ100กิโลเมตรได้ระยะจริงเพียง93กิโลเมตร ดังนั้นจะต้องเอาตัวเลขTotal คูณ93%
จะได้ระยะทางจริงๆ=1006.63กิโลเมตร
ส่วนEV2.2 80ลิตรจะได้ระยะทางที่ความเร็วเท่ากัน(จริงๆEVยังเสียเปรียบเพราะวิ่งจริงเร็วกว่าแต่ผมไม่เอามาคิด)จะได้ระยระทาง80x12.59=1007.2 เสร็จแล้วเอาไปคูณกับ97%(มาจากการเบี่ยงเบนไป3%ตามค่าGPS)
จะได้ระยะทางจริงๆสำหรับEVคือ 976.98กิโลเมตร ดังนั้นค่าแตกต่างสำหรับน้ำมัน1ถังจะได้=1006.63-976.98=29.65กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จะต่างกันคือFTNประหยัดกว่าEVเพียง2.9%เท่านั้นครับ
ยิ่งถ้ามีตัวแปรอื่นๆอีกเช่นลักษณะการเหยียบคันเร่งเพื่อเร่งแซง คันที่อัตราเร่งดีกว่าอาจจะประหยัดกว่า(อาจจะ)ก็เป็นได้เพราะใช้ระยะเวลาน้อยกว่าในการเร่งแซง
ดังนั้นสรุปว่าFTNเฉือนชนะEVไปได้แบบเฉียดฉิวจริงๆ ไม่ได้มากอะไรเลยครับ
สวัสดีครับพี่ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ช่วยอธิบายครับได้ความรู้เพิ่มพูนขึ้นครับ
แต่ผมของลงรายละเอียดอีกนิดนึงนะครับจะได้เห็นภาพของข้อมูลชัดๆอีกทีครับ
Fuel Consumption อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
ระยะทางบน Trip Meter A 92.8 กิโลเมตร
เติมน้ำมันดีเซลเทครอน เพาเวอร์ ดี แบบไม่เขย่ารถ 6.85 ลิตร
เฉลี่ยที่ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน
ตัวนี้เป็นข้อมูลที่ผมใช้เป็นฐานในเหตุผลที่ผมแสดงครับ เป็นการทดสอบจากทางทีม HLM ครับ ระยะที่เขาทดสอบ ส่วมมากที่ใช้กับคันอื่นๆ
ก็คือ 92.8 km ครับ ไมล์อ่อนไมล์แข็งผมคิดว่าน่าจะเอามาจับกับการทดสอบนี้ไม่ได้ครับ เพราะทาง HLM เขามีมาตรฐานเรื่องของระยะทางอยู่แล้วครับ
ฉนั้นเมื่อรถคันไหนก็ตามที่ไมล์แข็งหรืออ่อนไม่เท่ากัน ก็ไม่น่าจะใช้วัดได้ครับ เมื่อการวัดเกิดขึ้นที่การเติมน้ำมันเต็มถังแล้ววิ่งที่ระยะทางที่เท่ากัน
แล้วกลับมาเติมน้ำมันกลับอีกทีว่าใช้ไปกี่ลิตร ถึงหาค่าของอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงขึ้นมาได้นั่งเองครับ ข้อมูลตรงนี้นี่แหละครับที่เป็นมาตราฐานของทาง
HLM ที่ผมว่าสามารถนำมาอ้างอิงได้พอสมควรครับ
ไม่น่าใช่ Trip Meter ก็อ่านเอาบนไมล์ของแต่ละคันนั้นแหละ ไม่จำเป็นต้อง92.8 กิโลเมตรเสมอไป
สรุปตัวเลขโดยรวมไม่มีค่ายไหนโดดเด่นเป็นพิเศษ เรื่องอัตราเร่ง หรือ ประหยัดน้ำมัน
ได้แรงก็ไม่ประหยัด ได้ประหยัดก็ไม่แรง
การทดสอบของทางทีมงาน HLM ส่วนมากเป็นเส้นทางเดิมไม่ใช่เหรอครับผมจำได้ว่าผมเคยอ่านคือ เขาจะเติมน้ำมัน จากตู้จ่ายและหัวจ่ายน้ำมันตู้เดิม
ทั้งตอนเริ่มและตอนเติมกลับนะครับ ลองดูรูปภาพที่ทาง HLM โพสไว้ในการทดสอบซิครับ ว่ามักเป็นตู้เติมหมายเลข 2 ในการทดสอบรถหลายๆคัน
ส่วนความเร็ว 110 ที่ใช้ทดสอบ ผมมั่นใจว่าทางทีมงานคงใช้ GPS ในการวัดค่าความเร็วและระยะทางแน่ๆครับเพื่อให้ได้ความเร็วที่แท้จริง
ในการทดสอบ ดังนั้นเมื่อส่วนมากเส้นทางเดิม ถนนเส้นเดิม ตู้น้ำมันและหัวจ่ายเดิม ระยะทางก็น่าจะเใกล้เคียงกันนะครับ
(แต่ถ้าผมเข้าใจผิดผมก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ)
รถมีข้อดีกันทุกค่ายอย่างที่พี่ว่าครับอยู่ที่เราจะเลือกข้อดีอันไหนให้เหมาะกับเราครับอันนี้เห็นด้วยครับซึ่งเหตุผลทุกคนต่างกันแน่นอนครับ
**ที่ผมต้องอธิบายเรื่องนี้เพราะส่วนมากที่ผมอ่านความคิดเห็นในการทดสอบรถในคลาสเดียวกัน มักมีหลายๆท่านในหลายการทดสอบ
แสดงความคิดเห็นว่า กินต่างกันนิดหน่อย ซึ่งตรงนี้ผมเห็นด้วยครับถ้าคิดที่น้ำมัน1ลิตร แต่ถ้ามันต้องใช้ขับกันเป็นหมื่นเป็นแสนกิโลมันต่างกันพอสมควร
นะครับผมเลยมาแสดงความคิดเห็นในมุมมองนี้ให้ทุกท่านได้ลองพิจารณากันบ้างครับ ไม่มีอะไรมากแค่มาขอแชร์ความรู้และมุมมองเพิ่ม
เท่านั้นเองครับ**
ผมว่าคุณเข้าใจผิดแล้วครับ การทดสอบของ HLM ค่าต่างๆดูจากหน้าปัทม์ของรถนะครับ ทั้งความเร็ววิ่งทดสอบ และระยะทางที่ได้ ส่วนความเรียวตาม gps ใช้แค่เปรียบเทียบกับความเร็วของรถที่แสดงบนจอ เพราะฉะนั้นไมล์แข็ง อ่อน ย่อมมีผลที่แตกต่างแน่นอน คงพอเข้าใจนะครับ
-
ประหยัดดีแฮะ อัตราเร่งดีกว่า 3.0 4*4 ซะอีก
มิน่าหล่ะ ตอนลองตัว 2.8 หลัง40 มันไหลกว่ารุ่นเดิมพอสมควร รอดูผลเทสครับ
-
คือไปลองมาทั้ง FTN 2.8V แล้วก็ EV2.2 ตัวเริ่มต้นเลยทั้งคู่ผมว่าไม่ได้รู้สึกว่ารถแรงมากมาย (แม้ FTN ตัวท๊อปก็เถอะ) แต่พอมาดูอัตราสิ้นเปลืองนี่ ถึงกับเขวจาก PJS มาทาง FTN เลยนะเนี่ย
-
อัตราสิ้นเปลือง 13.53 * 93/100 = 12.58 KM/L
ประมาณนี้
ปล.
คันอื่นทำวิธีเดียวกันแล้วค่อยนำมาเทียบกันครับ
-
ถ้าคำนวณละเอียดจะไม่ได้ต่างกันขนาดนั้นครับ ต้องเอาค่าerrorของเข็มไมล์มาวัดด้วย
เช่นFTN 80ลิตรจะได้ระยะทางตามเข็มไมล์ถ้าขับ110คงที่ได้80x13.53=1082.4 กิโลเมตร แต่จริงๆทุกๆ100กิโลเมตรได้ระยะจริงเพียง93กิโลเมตร ดังนั้นจะต้องเอาตัวเลขTotal คูณ93%
จะได้ระยะทางจริงๆ=1006.63กิโลเมตร
ส่วนEV2.2 80ลิตรจะได้ระยะทางที่ความเร็วเท่ากัน(จริงๆEVยังเสียเปรียบเพราะวิ่งจริงเร็วกว่าแต่ผมไม่เอามาคิด)จะได้ระยระทาง80x12.59=1007.2 เสร็จแล้วเอาไปคูณกับ97%(มาจากการเบี่ยงเบนไป3%ตามค่าGPS)
จะได้ระยะทางจริงๆสำหรับEVคือ 976.98กิโลเมตร ดังนั้นค่าแตกต่างสำหรับน้ำมัน1ถังจะได้=1006.63-976.98=29.65กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จะต่างกันคือFTNประหยัดกว่าEVเพียง2.9%เท่านั้นครับ
ยิ่งถ้ามีตัวแปรอื่นๆอีกเช่นลักษณะการเหยียบคันเร่งเพื่อเร่งแซง คันที่อัตราเร่งดีกว่าอาจจะประหยัดกว่า(อาจจะ)ก็เป็นได้เพราะใช้ระยะเวลาน้อยกว่าในการเร่งแซง
ดังนั้นสรุปว่าFTNเฉือนชนะEVไปได้แบบเฉียดฉิวจริงๆ ไม่ได้มากอะไรเลยครับ
สวัสดีครับพี่ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ช่วยอธิบายครับได้ความรู้เพิ่มพูนขึ้นครับ
แต่ผมของลงรายละเอียดอีกนิดนึงนะครับจะได้เห็นภาพของข้อมูลชัดๆอีกทีครับ
Fuel Consumption อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
ระยะทางบน Trip Meter A 92.8 กิโลเมตร
เติมน้ำมันดีเซลเทครอน เพาเวอร์ ดี แบบไม่เขย่ารถ 6.85 ลิตร
เฉลี่ยที่ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน
ตัวนี้เป็นข้อมูลที่ผมใช้เป็นฐานในเหตุผลที่ผมแสดงครับ เป็นการทดสอบจากทางทีม HLM ครับ ระยะที่เขาทดสอบ ส่วมมากที่ใช้กับคันอื่นๆ
ก็คือ 92.8 km ครับ ไมล์อ่อนไมล์แข็งผมคิดว่าน่าจะเอามาจับกับการทดสอบนี้ไม่ได้ครับ เพราะทาง HLM เขามีมาตรฐานเรื่องของระยะทางอยู่แล้วครับ
ฉนั้นเมื่อรถคันไหนก็ตามที่ไมล์แข็งหรืออ่อนไม่เท่ากัน ก็ไม่น่าจะใช้วัดได้ครับ เมื่อการวัดเกิดขึ้นที่การเติมน้ำมันเต็มถังแล้ววิ่งที่ระยะทางที่เท่ากัน
แล้วกลับมาเติมน้ำมันกลับอีกทีว่าใช้ไปกี่ลิตร ถึงหาค่าของอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงขึ้นมาได้นั่งเองครับ ข้อมูลตรงนี้นี่แหละครับที่เป็นมาตราฐานของทาง
HLM ที่ผมว่าสามารถนำมาอ้างอิงได้พอสมควรครับ
ไม่น่าใช่ Trip Meter ก็อ่านเอาบนไมล์ของแต่ละคันนั้นแหละ ไม่จำเป็นต้อง92.8 กิโลเมตรเสมอไป
สรุปตัวเลขโดยรวมไม่มีค่ายไหนโดดเด่นเป็นพิเศษ เรื่องอัตราเร่ง หรือ ประหยัดน้ำมัน
ได้แรงก็ไม่ประหยัด ได้ประหยัดก็ไม่แรง
การทดสอบของทางทีมงาน HLM ส่วนมากเป็นเส้นทางเดิมไม่ใช่เหรอครับผมจำได้ว่าผมเคยอ่านคือ เขาจะเติมน้ำมัน จากตู้จ่ายและหัวจ่ายน้ำมันตู้เดิม
ทั้งตอนเริ่มและตอนเติมกลับนะครับ ลองดูรูปภาพที่ทาง HLM โพสไว้ในการทดสอบซิครับ ว่ามักเป็นตู้เติมหมายเลข 2 ในการทดสอบรถหลายๆคัน
ส่วนความเร็ว 110 ที่ใช้ทดสอบ ผมมั่นใจว่าทางทีมงานคงใช้ GPS ในการวัดค่าความเร็วและระยะทางแน่ๆครับเพื่อให้ได้ความเร็วที่แท้จริง
ในการทดสอบ ดังนั้นเมื่อส่วนมากเส้นทางเดิม ถนนเส้นเดิม ตู้น้ำมันและหัวจ่ายเดิม ระยะทางก็น่าจะเใกล้เคียงกันนะครับ
(แต่ถ้าผมเข้าใจผิดผมก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ)
รถมีข้อดีกันทุกค่ายอย่างที่พี่ว่าครับอยู่ที่เราจะเลือกข้อดีอันไหนให้เหมาะกับเราครับอันนี้เห็นด้วยครับซึ่งเหตุผลทุกคนต่างกันแน่นอนครับ
**ที่ผมต้องอธิบายเรื่องนี้เพราะส่วนมากที่ผมอ่านความคิดเห็นในการทดสอบรถในคลาสเดียวกัน มักมีหลายๆท่านในหลายการทดสอบ
แสดงความคิดเห็นว่า กินต่างกันนิดหน่อย ซึ่งตรงนี้ผมเห็นด้วยครับถ้าคิดที่น้ำมัน1ลิตร แต่ถ้ามันต้องใช้ขับกันเป็นหมื่นเป็นแสนกิโลมันต่างกันพอสมควร
นะครับผมเลยมาแสดงความคิดเห็นในมุมมองนี้ให้ทุกท่านได้ลองพิจารณากันบ้างครับ ไม่มีอะไรมากแค่มาขอแชร์ความรู้และมุมมองเพิ่ม
เท่านั้นเองครับ**
ผมว่าคุณเข้าใจผิดแล้วครับ การทดสอบของ HLM ค่าต่างๆดูจากหน้าปัทม์ของรถนะครับ ทั้งความเร็ววิ่งทดสอบ และระยะทางที่ได้ ส่วนความเรียวตาม gps ใช้แค่เปรียบเทียบกับความเร็วของรถที่แสดงบนจอ เพราะฉะนั้นไมล์แข็ง อ่อน ย่อมมีผลที่แตกต่างแน่นอน คงพอเข้าใจนะครับ
ถ้าเป็นอย่างที่พี่ว่ามาคือใช้เลขไมล์จากรถคันนั้นๆเป็นค่าที่ใช้ในการหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง อย่างนั้นไมล์แข็งอ่อนก็ย่อมมีผลอย่างที่พี่และหลายท่าน
ให้ความเห็นไว้ก็ถือว่าถูกต้องครับ ต้องขอขอบคุณมากครับ
ต้องขออภัยด้วยครับ ที่ความเข้าใจผมคลาดเคลื่อนในเรื่องของระยะไมล์ทดสอบ ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นเส้นทางที่ใช้วิ่งทดสอบจริง
และเป็นถนนเส้นเดียวและระยะเดียวกันครับ :'(
-
ทำไมหลังๆที่มีreview เกี่ยวกับ PPV รุ่นใหม่ ต้องดราม่ากันทุกครั้ง ไม่เข้าใจเลยครับ
คนไหนชอบคันไหนก็ใช้ไปสิครับ ทำไมต้องมาแคร์? แรง ประหยัด น้ำมันใครจ่ายมากกว่า ใครแรงกว่า ใคร่ชอบอะไรก็เชิญสิครับ
กัดกันเป็นเด็กโชว์ของซะงั้น :(
ส่วนตัวผมว่า PPV ใหม่ สวยแต่ภายนอกกับ option เรื่องเครื่องและการบริโภคน้ำมัน ไม่ได้ดีขึ้นเลย กลับแย่งลงด้วยซ้ำ
ทั้งๆที่มีเวลาพัฒนาเกือบๆ 10 ปี "ค่อนข้าง" น่าผิดหวังทุกค่ายครับ
-
ส่วนตัวผมมองว่าคนที่ซื้อรถ ppv จริงๆแล้วเนี่ย เรื่องอัตราสิ้นเปลืองที่ต่างกันแค่นิดหน่อย กับอัตราเร่งที่ต่างกันเล็กน้อย ทั้งสองเรื่องนี้ไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออะไรมากมายเลยนะครับ ดูแค่พอให้รู้เป็นพิธีเท่านั้นแหละ เพราะรถ ppv ให้ตายอัตราเร่งอัตราสิ้นเปลืองก็แย่กว่าเซ็กเม้นอื่นอยู่แล้ว
เรื่องสำคัญจริงของรถ ppv มันคือความเอนกประสงค์ ความสะดวกสะบาย ความปลอดภัย และรูปโฉมภายในภายนอก ว่าใครถูกจริตแบบไหนมากกว่า
-
ส่วนตัวผมมองว่าคนที่ซื้อรถ ppv จริงๆแล้วเนี่ย เรื่องอัตราสิ้นเปลืองที่ต่างกันแค่นิดหน่อย กับอัตราเร่งที่ต่างกันเล็กน้อย ทั้งสองเรื่องนี้ไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออะไรมากมายเลยนะครับ ดูแค่พอให้รู้เป็นพิธีเท่านั้นแหละ เพราะรถ ppv ให้ตายอัตราเร่งอัตราสิ้นเปลืองก็แย่กว่าเซ็กเม้นอื่นอยู่แล้ว
เรื่องสำคัญจริงของรถ ppv มันคือความเอนกประสงค์ ความสะดวกสะบาย ความปลอดภัย และรูปโฉมภายในภายนอก ว่าใครถูกจริตแบบไหนมากกว่า
ใช่เลยครับ ตัวเลขพวกนี้ อ้างอิงใช้งานจริงไม่ได้หรอกครับ
-
นี่อัตราเฉลี่ยจากรีโว่ครับ