ขอแจมหน่อย ที่เปรียบเทียบมันคนละเรื่องคนละประเด็นกันเลยครับ
ขับรถช้าลง ความรุนแรงตอนชนมันย่อมเบาลง จากตายเป็นไม่ตาย (ถ้ากรณีคาดเข็มขัด) หรือจะเถียงข้อนี้ครับ รถเทพก็ฝืนหลักฟิสิกส์ไม่ได้หรอกครับ
แล้วก็การเปรียบเทียบแอร์บ้าน ค่าไฟ มันเทียบกับรถไม่ได้
การใช้รถ คือคุณใช้ถนน ซึ่งเป็น "สาธารณะสมบัติ" ที่เป็นของประชาชนคนอื่นทุกคน รัฐย่อมต้องมีการออกกฎหมายเพื่อจำกัด สิทธิ และ "ความต้องการส่วนบุคคล" เพื่อให้สังคมมันเกิดระเบียบวินัย ถนนเกิดความปลอดภัยสูงสุด และเกิดประโยชน์สูงสุด ความปลอดภัยสูงสุด แก่คนจำนวนมากที่สุด
เมื่อคุณเลือกจะใช้ของส่วนรวม หรือถนน ร่วมกับคนอื่น ก็ควรจะเคารพกฎของของเขา ไม่ควรจะเอาความต้องการส่วนตัวเป็นที่ตั้ง
อยากสนุกไปสนาม อยากมีความต้องการ ไปสนาม จะเร็วเสี่ยงตาย รถช่วงล่างเทพ เอาอยู่ ก็ทำไปคนเดียว ตายคนเดียว ไม่เดือดร้อนส่วนรวมครับ
ถนนก็เหมือนทางเท้า ที่คนทุกคนจะต้องใช้ร่วมกันก็ควรจะเคารพกฎ มีมารยาท ไม่มาเล่นโรลเลอร์เบลดบนทางเท้า หรือขับมอเตอร์ไซค์บนทางเท้าครับ
กฎ+ มารยาท ผมหมายความรวมถึงทุกอย่าง แช่ขวา ปาด มุด ซิ่ง ฝ่าไฟแดง ขับรถเร็ว แซงเส้นทึบ รวมถึงมารยาท ทางเอกทางโท
ถ้าลองสังเกตดีๆ กฎจราจรที่เราๆเจอกันเนี่ย เค้าก็ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยทั้งนั้น (แม้บางอย่างจะล้าสมัยไปนิดก็ตาม)
ห้ามแช่ขวา ในถนนหลวง 2 เลน เพราะช่องขวา มันมีจุดกลับรถ และสี่แยก
คาดเข็มขัด ก็เพื่อตัวคนโดยสารปลอดภัย เวลาเกิดการชน
จำกัดความเร็ว เพื่อให้ความเร็วน้อยลง เกิดอุบติเหตุความรุนแรงต่ำลง ระยะเบรคมากขึ้น คนเรามันพลาดกันได้ แต่การพลาดที่ความเร็วต่ำ กับสูง ผลลัพธ์ แรงกระแทก มันต่างกัน
ช่องทางเดินรถต่างๆ จุดห้ามจอด ทั้งหมดก็เพื่อให้การจราจรเป็นไปได้โดยคล่องตัว ไม่เกิดการกีดขวางการจราจร
และยังมีอีกหลายๆกฎระเบียบ
สังเกตดีๆ มีไว้เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนนทั้งนั้นแหละครับ
ออกตัวก่อนว่า 1 ปีให้หลังนี้ผมขับแทบจะไม่มีเกิน 80 (พูดจริงครับ จิ้ม Isuzu Insights ดูได้เลย)
ขับไปเที่ยวประจวบ 85 ตลอดทางก็ทำมาแล้ว (จริงๆ ไม่ใช่อะไร อยากประหยัดน้ำมันครับ
)
แต่ที่ผมเข้าข้างความเร็ว เพราะผมเห็นว่า มันเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของอุบัติเหตุเท่านั้น ซึ่งมีปัจจัยใหญ่ๆ ซ่อนอยู่อีกมาก
แต่กลับไม่ได้รับความสนใจ ทั้งๆ ที่บางทีมันเป็นเรื่องใหญ่กว่าการขับรถเร็วด้วยซ้ำ เช่น สภาพของรถ
ผมเห็นด้วยครับ ความช้ามันลดความรุนแรงของอุบัติเหตุ และถนนก็เป็นสาธารณสมบัติ โดยรถยนต์ เป็นทรัพย์สินส่วนตัวที่ใช้สมบัติสาธารณะ
(แต่ขอแทรกว่าที่ผมยกตัวอย่างนั้น
"พลังงานไฟฟ้า" ก็เป็นสาธารณสมบัติเช่นกันนะครับ โดยมีเครื่องปรับอากาศ เป็นทรัพย์สินส่วนตัว จึงสามารถเทียบได้ครับ)
กฎหมาย สำหรับผม มีไว้เพื่อกำหนดขอบเขตของสิทธิเสรีภาพของตัวเองตราบเท่าที่ไม่เบียดเบียนคนอื่น
หากใครมีประสิทธิภาพที่จะใช้ขอบเขตนั้นอย่างคุ้มค่ากว่าคนอื่น ก็มีสิทธิที่จะได้ทำตามความต้องการเพิ่มครับ
ไม่ใช่ว่าใช้ประสิทธิภาพคุ้มค่าแล้วเราจะไปลดขอบเขตของคนๆ นั้นลง แบบนี้ไม่เป็นธรรมครับ
คนที่ขับ 80 แต่สภาพรถสมบูรณ์ กับคนที่ขับ 80 สภาพรถไม่สมบูรณ์ คนที่สภาพรถไม่สมบูรณ์ถือว่าละเมิดความปลอดภัยของผู้อื่นนะครับ
แต่คุณกำลังจะเปรียบเทียบ 2 คนนี้ให้มีค่าเท่ากัน แบบนี้ไม่ถูกครับ การจะตั้งกฎหมายบนพื้นฐานความปลอดภัยด้วยการกำหนดความเร็วเพียงอย่างเดียว
มันไม่เมคเซนส์ครับ ต้องนำด้วยสภาพรถ และตามด้วยความเร็ว
การจำกัดความเร็ว ไม่ใช่ไม่ควร ควรมีและทำอย่างจริงจัง แต่ไม่ใช่กำหนดไว้เป็นเต่าแค่ 80-90 ถ้าเกินนี้ให้ไปสนาม
(เหมือนสั่งให้ปรับแอร์ 28 เกินนี้จะไล่ไปอยู่บ้านข้างโรงไฟฟ้า??)
ซึ่งสุดท้ายแล้วมันเหมือนกฎที่ขึ้นหิ้งบูชาไว้เฉยๆ ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่สามารถบังคับและจับปรับกันอย่างจริงจังได้
หรือต่อให้ทำได้ เชื่อเถอะครับ อุบัติเหตุบนถนนไม่ได้ลดลงแบบวูบวาบอย่างที่คาดหวัง ในเมื่อยังมีรถที่ขาดการดูแลวิ่งกันกระจายอยู่แบบนี้
รถศูนย์ไม่ตรง ล้อไม่ถ่วง โช๊คไม่หนืด สปริงไม่เด้ง ยางไม่มีดอก ผมว่ารถพวกนี้ต่างหากที่เห็นแก่ตัว ไม่เคารพผู้อื่น
"ขัดต่อระเบียบวินัย ทำให้ถนนไม่ปลอดภัย ไม่เกิดประโยชน์สูงสุด แก่คนจำนวนมากที่สุด" ตามที่คุณกล่าวทุกประการ
พร้อมที่จะบินไปประสานงาคนอื่นที่อาจจะขับอยู่ดีๆ ได้ทุกเมื่อ ถึงแม้จะขับแค่ 60 ก็ตามที ในขณะที่รถสภาพสมบูรณ์ จะลดปัญหานี้ได้มากครับ
และหากเรามีเป้าหมายจะ "ลดอุบัติเหตุบนท้องถนน" อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ซี๊ซั้วจับปรับเอาความสะใจ
เราควรเริ่มจาก "สภาพรถ" ก่อน ค่อยไปถึง "ความเร็ว" ครับ การเริ่มจากความเร็ว มันดูเป็นปิระมิดกลับหัวครับ