แท่นอัดประจุคงไม่ต้องกังวลว่าคนจะแย่งกันเติมเท่าไร เพราะราคาขนาดนี้

ซิ่งเข้าส้วม

อัตราค่าบริการอัดประจุไฟฟ้า

- อัตราบริการค่าอัดประจุไฟฟ้าในการใช้เครื่องอัดประจุไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charger) ในช่วง Peak เท่ากับ 7.5887 บาท/หน่วย และในช่วง Off-Peak เท่ากับ 4.2061 บาท/หน่วย (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

- อัตราบริการอัดประจุไฟฟ้าในการใช้เครื่องอัดประจุไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Charger) ในช่วง peak เท่ากับ 7.5887 บาท/หน่วย และในช่วง Off-Peak เท่ากับ 4.2061 บาท/หน่วย (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)


เฉลี่ยรถ EV วิ่งทางไกลใช้ไฟประมาณ 0.18 unit แปลว่าค่าเดินทางราวๆ 1.5 บาทต่อ กม. เลยทีเดียว พอๆ กับรถ c segment เติม e20

ถ้าไม่ฉุกเฉินจริงๆ คงไม่เติมไฟตามแท่นครับ



Nutcracker

อาจจะได้ประโยชน์ทางอ้อมคือ การหาที่จอดด้วยครับ



koko86

คงเจอค่า demand charge เข้าไป คือเอา ค่าสร้างโรงไฟฟ้า กับค่าเดินสายมาคำณวนด้วย ราคาก็เลยเป็นแบบนี้แท่นชาร์จเอกชนเลยไม่ค่อยได้เปิดใช้งาน  แต่เห็นว่ากำลังแก้ปัญหากันอยู่
ถ้าชาร์จที่บ้านเคยเห็นคุยกันในคลับ 530e ตกประมาณ กิโลละ 50 สตางค์ครับ

เรื่องรถไฟฟ้า PHEV  ถ้าใช้กันได้ ก็ชาร์จๆ กันเถอะครับ ประหยัด และ ช่วยลดมลพิษด้วย



panjap

มติ กพช ออกมาแล้วสำหรับคำนวณค่าไฟฟ้าใหม่ เป็นประเภท EV โดยเฉพาะ จะทำให้ค่าไฟลดลง ไม่ต้องคำนึงถึง demand charge อีกต่อไป



delete

ว่าแต่ว่า ทำไมต้องคำนวแบ่งเป้น on peak off peak ครับ
แล้วยิ่ง dc fast charge ออกมาก็เพื่อจะทำให้คนใช้เวลาในการชาร์จให้น้อยที่สุด จะได้ไม่ต้องรอคิวกันนาน ก็ควรจะจูงใจทำราคาให้จุงใจมากกว่า เลยไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแบ่ง on peak off peak



XMSL

นโยบายภาครัฐเปลี่ยนทุกอย่างได้ครับ เอกชนลงทุนตอนนี้ก็เหมือนซื้อหวยรอ...ค่าโทรทางไกลนาทีละ 12/18 บาทสมัยก่อนยังจำไม่เคยลืมครับ ToT



DriveOnly

การจะรักษ์โลกมักต้องจ่ายอะไรๆ แพงกว่าปกติเสมอ ค่าตัวรถแพง+ค่าชาร์จไฟแพง+ค่าประกันแพง+ขายต่อราคาถูก น่าเห็นใจครับ หวังว่าในเร็ววันจะมีมาตราการมาจูงใจให้คนหันมาใช้รถปล่อยมลพิษน้อยๆ บ้างนะครับ เช่น ฟรีภาษีประจำปี, ลดหย่อนภาษี บลาๆ



polwath

ตอนนี้รอแค่กฎหมายอนุญาตระบบชาร์จเร็ว DC ที่เป็นไฟกระแสตรง ทุกตู้มันมีอยู่แล้ว แต่ยังให้บริการไม่ได้ เพราะยังไม่อนุญาตเนี่ยแหละ

ต่อให้ค่าไฟฟ้าจะถูกแค่ไหน ถ้าแท่นชาร์จสาธารณะยังชาร์จช้าแบบพวก AC แรงดันต่ำ ได้ไฟนิดเดียว วิ่งไม่เยอะก็แบตหมด ใครเข้าจะมาใช้รถไฟฟ้า เว้นแค่คนรวยที่มีบ้านเดี่ยวติดตู้ชาร์จในบ้าน หรือคอนโดที่มีจุดชาร์จให้ทุกช่องจอดพร้อมระบุเจ้าของชัดเจนก็ยังมีคนซื้อบ้าง แต่ไม่เยอะ



XMSL

ว่าแต่ว่า ทำไมต้องคำนวแบ่งเป้น on peak off peak ครับ
แล้วยิ่ง dc fast charge ออกมาก็เพื่อจะทำให้คนใช้เวลาในการชาร์จให้น้อยที่สุด จะได้ไม่ต้องรอคิวกันนาน ก็ควรจะจูงใจทำราคาให้จุงใจมากกว่า เลยไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแบ่ง on peak off peak
off peak rate ที่ถูกกว่า เป็นการจูงใจให้คนไปใช้กระแสไฟในช่วงนอก peak นัยว่าช่วยกระจายการใช้ให้คุ้มค่าลงทุนสร้างโรงไฟฟ้า..โดยรัฐจะได้ไม่ต้องมาเน้นสร้างโรงไฟฟ้ารองรับช่วง peak ที่มาแค่เป็นช่วงๆครับ บางครั้งจะเห็นคำว่าการคิดมิเตอร์แบบ TOU (time of use)



polwath

ว่าแต่ว่า ทำไมต้องคำนวแบ่งเป้น on peak off peak ครับ
แล้วยิ่ง dc fast charge ออกมาก็เพื่อจะทำให้คนใช้เวลาในการชาร์จให้น้อยที่สุด จะได้ไม่ต้องรอคิวกันนาน ก็ควรจะจูงใจทำราคาให้จุงใจมากกว่า เลยไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแบ่ง on peak off peak
off peak rate ที่ถูกกว่า เป็นการจูงใจให้คนไปใช้กระแสไฟในช่วงนอก peak นัยว่าช่วยกระจายการใช้ให้คุ้มค่าลงทุนสร้างโรงไฟฟ้า..โดยรัฐจะได้ไม่ต้องมาเน้นสร้างโรงไฟฟ้ารองรับช่วง peak ที่มาแค่เป็นช่วงๆครับ บางครั้งจะเห็นคำว่าการคิดมิเตอร์แบบ TOU (time of use)

ตอนนี้ต่อให้บอกให้ใช้ไฟฟ้าช่วง Off-peak ไฟฟ้าบ้านเราผลิตเองก็ไม่พอแล้ว ต้องไปพื่งเพื่อนบ้านที่เราไปลงทุนสร้างทั้งเขื่อนผลิตไฟฟ้า โรงไฟฟ้าต่างๆ แล้วทำข้อตกลงซื้อไฟจากเพื่อนบ้าน กลายเป็นว่าความมั่นคงทางไฟฟ้าแทบไม่มี ซึ่งบ้านเราควรจะเพิ่มโรงไฟฟ้าใช้งานเองในประเทศให้รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้แล้ว แทนที่จะไปพึ่งเพื่อนบ้านอย่างในตอนนี้ หากมีปัญหากับเพื่อนบ้านขึ้นมาแล้วตัดไฟนี่ เราเดือดร้อนแน่นอน

แต่ก็มาติดเพราะชาวบ้านและกลุ่มคนประท้วง ที่บางครั้งก็มาจากการจ้างวานจากคนมีอิทธิพลในท้องถิ่นอีก มันก็ไม่ไปไหนสักที ความมั่นคงทางไฟฟ้าก็แย่ลงไปมากกว่าเดิมจนมันจะสายเกินไปแล้วนะ



KKOOB

สงสัยได้โครงสร้างราคามาจากยุโรปมั้งครับ ฝั่งโน้นเค้ามี Fast charger ยี่ห้อ Ionity ซึ่งก็คิดราคามาโหดร้ายเหมือนกัน ถึงขนาดว่าใช้ดีเซลถูกกว่าชาร์จไฟจากที่นี่ แต่ของเค้าได้ Fast charger จริงๆ ถ้าจำไม่ผิดจะได้สูงสุดถึง 350kw แต่คนฝั่งยุโรปเค้าก็เข้าใจว่ารถไฟฟ้าก็ต้องชาร์จรถที่บ้านนะครับ จะใช้ super charger เฉพาะตอนเดินทางไกลๆเท่านั้น





HHHsung

การไฟฟ้าขายไฟ 2 ราคาครับ on peak จะแพงกว่า off peak ดังนั้นค่าชาร์จจึงสะท้อนตรงกับราคาขาย

ส่วนผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วไป มิเตอร์ไฟเป้นแบบจานหมุน ทำให้คิดแยกค่าไฟไม่ได้ เพราะไม่รู้เวลา

แต่อนาคตถ้าเป้นมิเตอร์ดิจิตอล ค่าไฟคงคิดแยกตามเวลา on peak off peak

ปล. ค่าชาร์จแพง สาเหตุมาจากหัวชาร์จราคาแพง กับใช้เวลาชาร์จนาน

รถน้ำมัน 1 คัน เติมเต็มถัง ยังงัยก็ไม่ถึง 5 นาที ขณะที่รถไฟฟ้าช่าร์จด่วน ไวสุดก็ 30 นาที ต่างกัน 6 เท่า

ไม่แปลกว่าทำไมถึงแพง เพราะระยะเวลาคืนทุนปกติ มันต่างกัน 6 เท่าตามเวลาที่ใช้ต่างกัน

 



MacH1

BEV ขับมันส์กว่าพวกรถเทคโนเก่าเยอะคับ ออกตัวที ดึงกันหลังติดเบาะ  เสียงมอเตอร์เหมือนเครื่องเจ็ท

พวกรถดีเซล  เทคโนเก่าๆมาโละแบบไฮบริด ใน segment และราคาไล่ๆกันนี้  นี้เทียบไม่ได้เลย 

เทียบกันแบบง่ายๆ

BEV ---> Airbus 330NEO ที่หางแดงเอ็กซ์ใช้
ICE, HEV ---> Turbo-prop ของสีเหลือง เสียงดังมาก คุยกันบนเครื่องไม่ได้ยิน



delete

ว่าแต่ว่า ทำไมต้องคำนวแบ่งเป้น on peak off peak ครับ
แล้วยิ่ง dc fast charge ออกมาก็เพื่อจะทำให้คนใช้เวลาในการชาร์จให้น้อยที่สุด จะได้ไม่ต้องรอคิวกันนาน ก็ควรจะจูงใจทำราคาให้จุงใจมากกว่า เลยไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแบ่ง on peak off peak
off peak rate ที่ถูกกว่า เป็นการจูงใจให้คนไปใช้กระแสไฟในช่วงนอก peak นัยว่าช่วยกระจายการใช้ให้คุ้มค่าลงทุนสร้างโรงไฟฟ้า..โดยรัฐจะได้ไม่ต้องมาเน้นสร้างโรงไฟฟ้ารองรับช่วง peak ที่มาแค่เป็นช่วงๆครับ บางครั้งจะเห็นคำว่าการคิดมิเตอร์แบบ TOU (time of use)

ตอนนี้ต่อให้บอกให้ใช้ไฟฟ้าช่วง Off-peak ไฟฟ้าบ้านเราผลิตเองก็ไม่พอแล้ว ต้องไปพื่งเพื่อนบ้านที่เราไปลงทุนสร้างทั้งเขื่อนผลิตไฟฟ้า โรงไฟฟ้าต่างๆ แล้วทำข้อตกลงซื้อไฟจากเพื่อนบ้าน กลายเป็นว่าความมั่นคงทางไฟฟ้าแทบไม่มี ซึ่งบ้านเราควรจะเพิ่มโรงไฟฟ้าใช้งานเองในประเทศให้รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้แล้ว แทนที่จะไปพึ่งเพื่อนบ้านอย่างในตอนนี้ หากมีปัญหากับเพื่อนบ้านขึ้นมาแล้วตัดไฟนี่ เราเดือดร้อนแน่นอน

แต่ก็มาติดเพราะชาวบ้านและกลุ่มคนประท้วง ที่บางครั้งก็มาจากการจ้างวานจากคนมีอิทธิพลในท้องถิ่นอีก มันก็ไม่ไปไหนสักที ความมั่นคงทางไฟฟ้าก็แย่ลงไปมากกว่าเดิมจนมันจะสายเกินไปแล้วนะ

กำลังการผลิตทุกวันนี้อยู่ที่ 43,000 เมกกะวัตต์ การใช้งานประจำวัน อยู่ที่ 29,000 พีคอยู่ที่ 30,000 ยังเหลือกำลังการผลิตอีก 13,000 เมกกะวัตต์  ต่อให้มีรถไฟฟ้าเพิ่มอีก 1 ล้านคัน ก็เพิ่มปริมาณการใช้ไฟไป4-5,000 เมกกะวัตต์ ก็ยังอยู่ในพิสัยของกำลังการผลิตอยู่ (มีคนคิดแล้ว อยู่ในเวบต้องห้าม เอามาแปะในนี้ไม่ได้
ซึ่ง ณ ตอนนี้ มีรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ไม่ถึง 3พันคัน phev อีกไม่น่าเกิน2-3 พันคัน อีกนาน กว่าจะถึง ล้านคัน

ส่วนเรื่องความมั่นคงทางพลังงาน อีกเรื่องนึง ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า หรือห้างสรรพสินค้า หรือโรงงานอุตสาหกรรม ก็ใช้ไฟจากแหล่งเดียวกัน รัฐบาลก็ต้องมีหน้าที่บริหารจัดการความมั่นคงด้านพลังงานนี้อยู่แล้ว

ปอลิง จากการสอบถามในกลุ่มผู้ใช้รถไฟฟ้ามา ได้คำตอบว่า กฟภ.คิดตามราคามิเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ ไม่มีหลักเกณฑ์อะไรมากกว่านี้ (คือต้องรอรัฐมาชี้อีกที) ตอนนี้แค่ทำไปก่อนด้วยตัวเอง ลงทุนเอง คิดค่าไฟเอง
ถ้าในอนาคตรัฐบาลก็คงจะกำหนดเป็นอัตราค่าไฟที่ผ่านการศึกษามาอีกทีว่า จะคิดแบบไหน มีผลการศึกษาการจัดเก็บของ
ประเทศอื่นๆมาเทียบว่าเขาคิดแบบไหน ยังไง อีกทีนึง

สรุปสั้นๆ คือ แค่เอาแค่ต้นทุนตามจริงไปก่อน ในระหว่างที่รอรัฐออกเกณฑ์ราคาอีกที