ผู้เขียน หัวข้อ: ถ้าน้ำมันลิตรละ 15-18 บาท ระหว่างรถไฟฟ้ากับสันดาปจะเลือกอะไรครับ?  (อ่าน 3432 ครั้ง)

ออฟไลน์ Devil13

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,011
ผมเลือกรถไฟฟ้าเพราะไม่ต้องการเป็นทาสกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันครับ

นึกอยากจะปั่นราคาก็ระเบิดโรงกลั่นบ้าง ทำสงครามบ้าง เบื่อจริงๆ

+1 ครับ ;)

ออฟไลน์ Altima

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,149
ลิตรละ 60 ผมก็ยังขับรถครับ

ไม่ชอบนั่งไกล้คนแปลกหน้า ไม่ชอบที่แออัด

กลางและปลายปี 2020 ตอนน้ำมันราคาถูกๆผมนั่งรถไฟมากกว่าขับรถอีกครับ คนน้อย ไม่ต้องไปแตะต้องใคร จะนั่งหรือยืนก็ได้ตามสะบาย

ตอนนี้ขอขับรถอย่างเดียว

ออฟไลน์ Ruksadindan

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 12,048
ยังคงเน้นเป็น PHEV อยู่ครับ

ออฟไลน์ nnss

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 580
ลิตรละ 60 ผมก็ยังขับรถครับ

ไม่ชอบนั่งไกล้คนแปลกหน้า ไม่ชอบที่แออัด

กลางและปลายปี 2020 ตอนน้ำมันราคาถูกๆผมนั่งรถไฟมากกว่าขับรถอีกครับ คนน้อย ไม่ต้องไปแตะต้องใคร จะนั่งหรือยืนก็ได้ตามสะบาย

ตอนนี้ขอขับรถอย่างเดียว

เค้าน่าจะหมายถึงรถ bev นะครับ

ออฟไลน์ #อินเดียหน้าโจร

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,402
    • Need for slow - ดังแต่ท่อ ล้อไม่หมุน
    • อีเมล์
น่าจะไฟฟ้าคัน น้ำมันคันครับ ถ้าให้มีคันเดียวน่าจะน้ำมันครับ จนกว่าความนิยมรถน้ำมันจะลดลงมากๆ จนหาอู่ซ่อมเริ่มยาก อะไหล่แพงๆ
Altis 1.6 AT 2004 (Swap 2zz-ge 6MT)
Mazda 1.3 Sky

ออฟไลน์ DiKiBoyZ

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 7,262
    • อีเมล์
มันเป็นคำถามที่น่าจะมีคำตอบในตัวแล้วนะครับ

เพราะรถ BEV, PHEV พวกนี้ หลักๆ เขาเน้นเรื่องประหยัดน้ำมัน เพราะมันคือค่ายใช้จ่ายหลักในการใช้รถเลย

ถ้าน้ำมันแพง ก็หนีไป PHEV, BEV ทั้งนั้น

แต่ถ้าน้ำมันไม่แพง หรือ เรียกว่าถูก และ ไม่มีผลว่าน้ำมันมันจะหมดไปจากโลก ผมว่าคนเขาก็คงมอง ICE ไว้ก่อน เพราะหลักๆ ความชาร์จช้า ของ BEV แต่เติมน้ำมันแค่ 5 นาที

แต่ถ้า BEV ทำได้แบบนี้
1, ชาร์จเร็วมาก 10-20 นาทีเต็ม
2, วิ่งได้สัก 600-1000km ต่อ 1  การชาร์จ
3. แบตเตอรี่ ว่ากันที่ 500,000km ขึ้น จะด้วยการรประกัน สัก 100,000-200,000km ที่เหลือ ก็อยู่ด้วยความ realiable ของตัวแบตเตอรี่เอง
4. เรื่องความแรง แรงม้า แรงบิด หายห่วงอยู่แล้ว
5. ราคาพอๆ กับรถน้ำมัน ใน seg เดียวกัน

ถ้าแบบนี้ น้ำมันลิตรละ 10 บาท ผมก็ซื้อ BEV ครับ

BEV ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจครับ เพราะภายในปี 2035 จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก

อย่างที่บอกแหละครับ ถ้าทุกอย่างในง่ายขึ้น สะดวกขึ้น ผมก็เลือก BEV

ซึ่งต่อไป มันจะไม่ใช่ตัวเลือกนะซิ มันจะเป็นตัวเลือกหลักเลยด้วยซ้ำ

โลกหมุนไป คนก็ต้องปรับตัวตามครับ ปฏิเสธได้ไม่นานหรอก

ออฟไลน์ MyName

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 8,164
  • I'm............................
ถ้าค่าใช้จ่ายไม่ต่าง ผมจะเลือกรถ PHEV ครับ

เติมน้ำมันก็ถูก เติมไฟก็ประหยัดและยังตอบโจทย์ infrastructure ที่เป็นทุกวันนี้

แต่ขอให้มีรุ่นดีๆ ราคาคบได้ และมั่นใจได้หน่อยเถิด
Cars
2022 - Nissan Almera 1.0 Turbo VL
2016 - Mazda 2 1.5XD High Plus L
2008 - Mitsubishi Space Wagon 2.4 GLS Ltd. !User'Review Click here!
1997 - Daihatsu Mira

Motorcycles
2023 - Vespa Sprint S 150 i
2012 - Yamaha Mio 125 GTX

ออฟไลน์ 5ume7h

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 887
EV ครับ ไม่เอาไฮบริดด้วย

เพราะราคาเชื้อเพลิงเป็นแค่ปัจจัยนึง แต่ชอบที่จำนวนชิ้นส่วนน้อยกว่ามาก
รำคาญรถที่มีเครื่องยนต์สันดาปตรงที่พอใช้ไปหลายปี ไอ้นู่นเสื่อม ไอ้นี่เสื่อม
ต่อให้เข้าอู่นอกจะประหยัดค่าใช้จ่ายได้บ้าง แต่สิ่งที่ประหยัดไม่ได้คือเวลาที่เสียไปกับการที่รถต้องไปจอดที่อู่ ซึ่งปีหลังๆ มันก็จะถี่ขึ้นบ่อยขึ้น

ส่วนตัววิ่งทางไกลน้อยมาก ปีนึงอาจจะต้องไปชาร์จทางไกลไม่ถึง 10 ครั้ง
การที่รถ BEV เติมเชื้อเพลิงเองที่บ้าน ทำให้แทบไม่ต้องไปแวะปั๊ม
ในเมืองรถติด ช่วงที่รถไม่ขยับถ้าเป็นเครื่องสันดาปก็เผาน้ำมันไปโดยเปล่าประโยชน์ รถ BEV มอเตอร์ไม่หมุนก็ไม่กินไฟ เสียไฟไปกับแอร์และเครื่องเสียงนิดหน่อย