ผู้เขียน หัวข้อ: ถ้าน้ำมันลิตรละ 15-18 บาท ระหว่างรถไฟฟ้ากับสันดาปจะเลือกอะไรครับ?  (อ่าน 3424 ครั้ง)

ออฟไลน์ Akrachai

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 350
    • อีเมล์
ผมเลือกน้ำมันเพราะชอบกลิ่นเบนซิล  ;D ;D



ออฟไลน์ panupong508

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 688
    • อีเมล์
ข้อเสียของรถไฟฟ้า ณ ตอนนี้ ผมยังมองไม่เห็นข้อเสียนอกจาก เวลาชาร์จ ต้องใช้เวลารอ  ถ้าซักวันนึงทำให้เป็นแบบ ถอดเปลี่ยนแบต ใช้เวลาพอๆกับการเติมน้ำมันคงจะดีไม่น้อยเลยครับ

น้ำมันครับ
ถ้าถามในช่วง 10 ปีนี้ ต่อให้ลิตรละ 100 ผมก็เลือกรถน้ำมันครับ
การใช้งาน มันยังไม่ตอบโจทย์จริงๆ
ผมเป็นคนที่ใช้รถแต่ละคันนานกว่า 10-12 ปี
มีเป็นเซลล์ออกต่างจังหวัดเป็นพักๆ
ซึ่งถ้าไม่รู้ว่าการใช้งานประมาณไหน ถามพวกดีเทลยา หรือ เซลล์ขายอะไหล่รถยนต์ได้ครับ
โรงแรมตามต่างจังหวัด ไม่มีที่ชาร์จ และในระหว่างวันแทบไม่มีเวลาให้เสียไปกับการชาร์จไฟเลย
บางวันต้องวิ่งเกือบ 10 อำเภอบ้าง 3 จังหวัดบ้าง 4 จังหวัดบ้าง ปกติก็วิ่งกัน 14-16 วันต่อรอบเดือน
บางเดือนฟิตจัดควบภาคอีสาน-ภาคเหนือเลยก็มี

นี่ยังไม่คิดถึงค่าซ่อมบำรุงแบตเตอรี่ที่แพงมากๆ ถ้าถึงเวลาต้องเปลี่ยน หรือมอเตอร์ไฟฟ้าที่เสื่อมลง (รึเปล่า)

ออฟไลน์ GT3

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 508
เลือกรถไฟฟ้าเพราะชอบอัตราเร่งครับ

ออฟไลน์ Devil13

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,010
รถไฟฟ้าครับ
ชอบแบบชาทที่บ้านได้ เหมือนมือถือ
ผมเดินทางจุดเดิมๆ ไม่มีปัญหากับที่ชาทอยู่แล้ว
สตาทเครื่องนอนได้ ไม่ต้องกลัวหลับไม่ตื่น

ออฟไลน์ เนื้อน่องไม่หนัง

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,779
ถ้าตอนนี้ แบรนใหญ่ๆ ทำรถไฟฟ้า เข้ามาขาย ในราคาที่ โอเคอาจประมาน รุ่น top+20% ผมจะลองนะ
แต่ใน ปจบ มีแต่แบรนใหม่ๆ ที่เพิ่งเข้ากับ ยุโรปเลย อาจไปหา Hybrid / PHEV ก่อน

ถ้ามีสองคัน คันนึงไฟฟ้าล้วน วิ่งบ่อยๆ ใช้งานประจำวัน กับน้ำมัน/Hybrid อีกคัน ไว้วิ่งทางไกลน่าจะลงตัว

ออฟไลน์ jinnchuuriki

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 69
    • อีเมล์
น้ำมันถูกแบบนั้นก็ต้องน้ำมันสิ

แต่ความเป็นจริงคงไม่มีทางแบบนั้นได้

PKS8

  • บุคคลทั่วไป
15-18 บาท น้ำมันไม่ต้องคิดเลยครับ ไม่ต้องรอชาร์จ 45-60 นาที ขึ้นเขาเหยียบไปเลยต้องกลัวไฟเต่า

ออฟไลน์ RERFz

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 569
    • อีเมล์
ถ้ารถหาง่าย ไม่ต้องรอ แล้วจำเป็นต้องซื้อรถใหม่จริงๆ ไม่ใช่กิเลสอยากขายคันเก่านะ
เลือกไฟฟ้าครับ

ชอบเงียบๆ รถไม่สั่นจากเครื่อง ออกจากบ้านแบตเต็มทุกวัน
เวลาเบรคไม่เสียพลังงานไปเปล่าๆ ชาร์ตกลับคืนได้
และก็นอนรอแฟนในรถได้ ตอนไปทำธุระ

ออฟไลน์ Spada_Valess

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 750
    • อีเมล์
ไฟฟ้าแน่นอนครับ ขับดีกว่าเยอะ บำรุงรักษาก็แทบไม่มี

ออฟไลน์ Left lane driver

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 712
ถ้า ณ ตอนนี้ ที่ราคาน้ำมันลิตรละ 40 50 บาท ผมยังเลือกรถน้ำมันเลยครับ

ไว้ให้ที่ชาร์ตทั่วถึงกว่านี้ ไม่ต้องแย่งหรือจองที่ชาร์ต และมีเทคโนโลยีแบตดีกว่านี้อีกนิดนึง ผมถึงจะเลือกรถไฟฟ้าครับ ต่อให้ราคาน้ำมันจะลิตรละ 10 บาทก็เถอะ

อีกอย่างคือ รอรถไฟฟ้ารุ่นที่มี "คุณภาพ" ที่ดีกว่านี้ ในราคาปกติ เพราะรถไฟฟ้าที่ราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท ทุกรุ่นตอนนี้ มีเรื่องที่ผมทนรับกับมันไม่ได้ทุกรุ่นเลย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 13, 2022, 15:25:25 โดย Left lane driver »

ออฟไลน์ I-PULSE

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 977
เลือกไฟฟ้าครับเพราะชอบอัตราเร่งและไม่มีชิ้นส่วนให้บำรุงรักษาเยอะ

ออฟไลน์ mongolias

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,364
เอาแค่ ลิตรละไม่เกิน 30 บาท ผมก็ยังเลือกใช้รถน้ำมันครับ
ผมยังมีปัญหากับหนูแทะสายไฟในบ้าน และยังขี้เกียจเสียเวลารอชาร์จแบตทีละ 30 - 60 นาที เวลาเดินทางไกล

ออฟไลน์ DiKiBoyZ

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 7,253
    • อีเมล์
มันเป็นคำถามที่น่าจะมีคำตอบในตัวแล้วนะครับ

เพราะรถ BEV, PHEV พวกนี้ หลักๆ เขาเน้นเรื่องประหยัดน้ำมัน เพราะมันคือค่ายใช้จ่ายหลักในการใช้รถเลย

ถ้าน้ำมันแพง ก็หนีไป PHEV, BEV ทั้งนั้น

แต่ถ้าน้ำมันไม่แพง หรือ เรียกว่าถูก และ ไม่มีผลว่าน้ำมันมันจะหมดไปจากโลก ผมว่าคนเขาก็คงมอง ICE ไว้ก่อน เพราะหลักๆ ความชาร์จช้า ของ BEV แต่เติมน้ำมันแค่ 5 นาที

แต่ถ้า BEV ทำได้แบบนี้
1, ชาร์จเร็วมาก 10-20 นาทีเต็ม
2, วิ่งได้สัก 600-1000km ต่อ 1  การชาร์จ
3. แบตเตอรี่ ว่ากันที่ 500,000km ขึ้น จะด้วยการรประกัน สัก 100,000-200,000km ที่เหลือ ก็อยู่ด้วยความ realiable ของตัวแบตเตอรี่เอง
4. เรื่องความแรง แรงม้า แรงบิด หายห่วงอยู่แล้ว
5. ราคาพอๆ กับรถน้ำมัน ใน seg เดียวกัน

ถ้าแบบนี้ น้ำมันลิตรละ 10 บาท ผมก็ซื้อ BEV ครับ

ออฟไลน์ shando

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,878
ขนาดตอนนี้น้ำมันลิตรละเกือบ50บาทยังเลือกน้ำมันเลยครับเพราะเช่าคอนโดอยู่ไม่มีที่ชาร์จ

ไว้มีบ้านของตัวเองแล้วค่อยคิดซื้อรถไฟฟ้า

ออฟไลน์ rtong

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,185
    • อีเมล์
ราคาน้ำมันเท่าตอนนี้ก็เลือกรถที่ใช้น้ำมันครับ  ถ้ามันยังมีรุ่นที่ option ดีๆให้เลือกนะ

กังวลเรื่องความปลอดภัย  เพราะขนาดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่คุณภาพดี  ยังมีโอกาสรั่ว ช็อต หรือลัดวงจรได้   


ออฟไลน์ Akrachai

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 350
    • อีเมล์
มันเป็นคำถามที่น่าจะมีคำตอบในตัวแล้วนะครับ

เพราะรถ BEV, PHEV พวกนี้ หลักๆ เขาเน้นเรื่องประหยัดน้ำมัน เพราะมันคือค่ายใช้จ่ายหลักในการใช้รถเลย

ถ้าน้ำมันแพง ก็หนีไป PHEV, BEV ทั้งนั้น

แต่ถ้าน้ำมันไม่แพง หรือ เรียกว่าถูก และ ไม่มีผลว่าน้ำมันมันจะหมดไปจากโลก ผมว่าคนเขาก็คงมอง ICE ไว้ก่อน เพราะหลักๆ ความชาร์จช้า ของ BEV แต่เติมน้ำมันแค่ 5 นาที

แต่ถ้า BEV ทำได้แบบนี้
1, ชาร์จเร็วมาก 10-20 นาทีเต็ม
2, วิ่งได้สัก 600-1000km ต่อ 1  การชาร์จ
3. แบตเตอรี่ ว่ากันที่ 500,000km ขึ้น จะด้วยการรประกัน สัก 100,000-200,000km ที่เหลือ ก็อยู่ด้วยความ realiable ของตัวแบตเตอรี่เอง
4. เรื่องความแรง แรงม้า แรงบิด หายห่วงอยู่แล้ว
5. ราคาพอๆ กับรถน้ำมัน ใน seg เดียวกัน

ถ้าแบบนี้ น้ำมันลิตรละ 10 บาท ผมก็ซื้อ BEV ครับ


มันก็เป็นตัวเลือกที่ดีครับ แต่จริงๆที่ผมตั้งกระทู้ว่าสันดาป สันดาปในส่วนตัวของผมคือเครื่องยนต์ล้วนๆไม่มีระบบอื่นผสม

ออฟไลน์ เต๋า AV

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,393
เวลาชาร์ตเต็ม == เวลาเติมน้ำมันเต็มถัง then รถไฟฟ้า else รถน้ำมัน

ออฟไลน์ mamaman

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,418
    • อีเมล์


มันก็เป็นตัวเลือกที่ดีครับ แต่จริงๆที่ผมตั้งกระทู้ว่าสันดาป สันดาปในส่วนตัวของผมคือเครื่องยนต์ล้วนๆไม่มีระบบอื่นผสม

ต่อไปมันจะไม่มีสันดาปล้วนแล้วไงครับ
ด้วยระบบ Hybrid ชนิดใหม่ที่ ตัดระบบเกียร ลดขนาดเครื่อง ใส่มอเตอร์
มันทำให้เรา ใช้ น้ำมันน้อยลงมากๆ
ต่อไป   ถ้าทึกคันเป็น Hybrid เราจะใช้น้ำมันน้อยลง
น้ำมันก็ ควรราคาถูกลง ไปอีกไง

ออฟไลน์ คุณ นมๆ

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 716
เอาแค่ลิตรละ20บาทผมก็เลือกรถสันดาปแบบไม่คิดเลย5555

ไปกลับ กทม.-หัวหิน 500-600บาทผมว่ามันก็สมเหตุสมผล

ออฟไลน์ kiwiwi

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,889
ผมยังไม่มีเงินขนาดซื้อรถเงินสดครับ

ศักยภาพ​ตอนนี้สามารถผ่อนรถราคา 1ล้าน โดยไม่ได้เดือดร้อนอะไร ที่ผ่านมาใช้วิธี ขายรถ แล้วเอาเงินที่ขายได้ไปดาวน์คันใหม่

ทีนี้ พอเห็นเพื่อนๆที่ใช้ไฮบริดแล้วโดนกดราคาตอนขาย ซึ่งบางคนโดนไปร่วมแสน ผมคิดว่า อนาคตรถไฟฟ้าคงไม่ต่างกัน

ถ้าน้ำมันราคาตามที่คุณจขกท.บอกมา มันก็ไม่น่าจะเดือดร้อนอะไรหากใช้รถน้ำมันต่อ

ส่วนรถไฟฟ้า เคยคำนวนเล่นๆ หากหยอดกระปุกได้พอๆกับที่ใช้น้ำมัน ก็จะเข้าสู่วงจรดาวน์และผ่อนได้เช่นกัน

เพียงแค่ตอนนี้ยังไม่มีรถที่ชอบครับ

ออฟไลน์ AkE

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 7,399
ผมให้ถึง ลิตรละ 35 บาทเลยครับ แค่ตอนนี้มันเกินมาพอสมควร ผมไม่ได้ว่ารถไฟฟ้าไม่ดีนะ แต่ผมไม่ได้รู้สึก

ว่าจำเป็นต้องใช้ แล้วรุ่นที่น่าใช้จริงๆก้คือพวก taycan & e tron ราคาก้สูงมากสำหรับผมครับ

ออฟไลน์ D Water Law

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 292
ถ้าต้องเลือกแค่ 1 คัน  ณ เวลานี้ ต่อให้น้ำมันลิตรละ 100 บาท ผมก็เลือกน้ำมันครับ   แต่ชีวิตจริงเรามีทางเลือกมากกว่านั้น

ถ้าไม่ถูกบังคับให้เลือกว่าต้องมีแค่ 1 คัน  ก็คิดว่าจะมี 2 คันเลยครับ  คันนึงรถเป็นไฟฟ้า ไว้ใช้งานชีวิตประจำวันในกทม. ไป-กลับที่ทำงาน   ใช้รับ-ส่งลูก
ส่วนอีกคันก็เป็นรถครอบครัว เวลาปกติคงใช้ไม่มากแค่พอได้ใช้ไม่ให้จอดนาน   แล้วเอาไว้ใช้วิ่งไกลๆ เวลาออกทริป

แต่ถ้าอีกหน่อยข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาและสถานีชาร์จดีกว่านี้แล้ว  คงไม่คิดจะมองรถน้ำมันอีกต่อไปครับ

ออนไลน์ apinui

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,015
    • อีเมล์
นึกถึงราคาน้ำมันช่วงโควิทปีแรกขึ้นมาเลยผมอะ ...

มันเป็นช่วงที่ขับรถเที่ยวสนุกมาก

ออฟไลน์ Darkart

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,191
    • อีเมล์
ผมให้ราคา น้ำมัน 20 บาท
เลือก น้ำมัน ครับ
ณ ปัจจุบันนี้ เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ รถน้ำมันกับรถกึ่งน้ำมันกึ่งไฟฟ้า ครับ
ผู้ไม่มีแผลเป็น คือ ผู้ไม่มีประสบการณ์

Bornplanet

  • บุคคลทั่วไป
มันเป็นคำถามที่น่าจะมีคำตอบในตัวแล้วนะครับ

เพราะรถ BEV, PHEV พวกนี้ หลักๆ เขาเน้นเรื่องประหยัดน้ำมัน เพราะมันคือค่ายใช้จ่ายหลักในการใช้รถเลย

ถ้าน้ำมันแพง ก็หนีไป PHEV, BEV ทั้งนั้น

แต่ถ้าน้ำมันไม่แพง หรือ เรียกว่าถูก และ ไม่มีผลว่าน้ำมันมันจะหมดไปจากโลก ผมว่าคนเขาก็คงมอง ICE ไว้ก่อน เพราะหลักๆ ความชาร์จช้า ของ BEV แต่เติมน้ำมันแค่ 5 นาที

แต่ถ้า BEV ทำได้แบบนี้
1, ชาร์จเร็วมาก 10-20 นาทีเต็ม
2, วิ่งได้สัก 600-1000km ต่อ 1  การชาร์จ
3. แบตเตอรี่ ว่ากันที่ 500,000km ขึ้น จะด้วยการรประกัน สัก 100,000-200,000km ที่เหลือ ก็อยู่ด้วยความ realiable ของตัวแบตเตอรี่เอง
4. เรื่องความแรง แรงม้า แรงบิด หายห่วงอยู่แล้ว
5. ราคาพอๆ กับรถน้ำมัน ใน seg เดียวกัน

ถ้าแบบนี้ น้ำมันลิตรละ 10 บาท ผมก็ซื้อ BEV ครับ

BEV ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจครับ เพราะภายในปี 2035 จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก

ออฟไลน์ Fragile

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 487
ผมเลือกรถไฟฟ้าเพราะไม่ต้องการเป็นทาสกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันครับ

นึกอยากจะปั่นราคาก็ระเบิดโรงกลั่นบ้าง ทำสงครามบ้าง เบื่อจริงๆ

ออฟไลน์ PREM

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,206
ถ้าเลือกได้คันเดียวเลือกน้ำมันครับ ขอเครื่องใหญ่ๆ แรงๆ
ขับรถน้ำมันยังไงมันก็มีเสน่ห์กว่า power delivery เสียงเครื่อง คาแรกเตอร์ที่ยังไงรถไฟฟ้าก็ให้ไม่ได้

แต่ถ้าเลือกได้มากกว่า 1 คัน คงมีไฟฟ้าคันไว้ขับประจำวัน เพราะสบาย เงียบ ดูแลง่าย
อีกคันน้ำมันก็เอาไว้ขับเที่ยว หรือขับเล่นวันหยุด
2014 Mazda CX-5 2.5 S
2016 Volvo XC60 D4 
2019 Honda Jazz RS+
2020 Volvo V60 T8 Inscription
2022 Mazda CX-30 SP

ออฟไลน์ U9WS

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,176
  • slower is better
ตอนเบนซินเพียวจริงๆ 15-18บาท
ผมใช้ Jeep Grand​ Cherokee​ WJ V8 4,700cc แบบไม่ติดแก๊​สอยู่ครับ

ตอนนี้เครื่องใหญ่สุดในบ้านคือ V6 2,800cc แบบไม่ติดแก๊ส

หลังจากนี้ถ้าซื้อรถใหม่เข้าบ้าน ตัวเลือกเดียวที่มีคือ BEV ไม่มอง Hybrid​ หรือ PHEV แล้วครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 13, 2022, 21:51:29 โดย U9WS »

ออฟไลน์ Niti

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,033
  • Live is short. Live it!
คันที่ใช้ทุกวัน ไปไฟฟ้าครับ

คันสะสม...ยังน้ำมันอยู่
-------------------------------------------------------------
In: 350Z DE / New Fortuner TRD / Harrier XU60*2 / Alphard AH30
Out: Miata NC RHT / 86 / IS250
-------------------------------------------------------------