ผมเสนอทางออกให้เลยนะ
ข้อแรก เลิกใช้บริษัทิจัยตลาด แบบเดิมๆ นั่นทิ้งซะ พวกนั้น อาจจะใช้่ได้ดีในบางตลาด แต่บางประเทศ เช่นเมืองไทย มันไม่ใช่แบบที่ควรจะเป็น
ข้อต่อมา เลิกทำงาน ตามสั่ง ขอไปที เจ้านายควรมีแรงจูงใจกระตุ้นลูกน้องกว่านี้ ทำยังไงให้รักองค์กรกว่านี้ อย่ามาหวังแค่การลดต้นทุน
สร้างผลกำไร ทำให้นักลงทุนแฮปปี้ แต่พนักงานเกลียดขี้หน้า หนะ เลิกกันได้แล้วทั้งคู่!
ข้อถัดไป งานบริการหลังการขาย ของทั่วโลก เช็คกันหน่อยดีไหม ว่าเกิอะไรขึ้นบ้าง
ข้อสุดท้าย ศึกษาตลาดกันเองได้แล้ว ว่าลูกค้าที่ซื้อรถ ต้องการอะไร และทำรถให้ได้ตามนั้น
แต่ข้อสำคัญที่สุด ดีไซน์ ต้องโดน
บังเอิญผมทำงานในสายงานวิจัยตลาดพอดี อยากขอแชร์ข้อมูลเบื้องลึกนิดนึงครับ (เคยรับผิดชอบโปรเจคของแบรนด์รถญี่ปุ่นแบรนด์ไม่เล็กแบรนด์หนึ่ง ทำให้ได้รู้...)
สิ่งที่เป็นปัญหาน่าปวดหัวมากๆเวลารับงานวิจัยจากลูกค้าคือ ลูกค้าบางคนไม่เข้าใจการทำวิจัยการตลาด ไม่ว่าจะเป็น Quantitative research ที่ทำพวก Questionnaire Survey ต่างๆนานาหรือ Qualitative Research ที่ทำโฟกัสกรุ๊ปหรือ depth interview ก็ตาม
ลูกค้ามักจะพยายามยัดคำถามต่างๆนานาสารพัดเพื่อให้คุ้มค่าเงินค่าทำวิจัย (ซึ่งราคาค่อนข้างสูง) โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงจากบริษัทวิจัยตลาดว่ามันจะส่งผลกระทบอย่างไรต่อคุณภาพงานวิจัยและข้อมูลที่เขาจะนำไปใช้ได้
ตัวอย่างเช่น แบบสอบถามในการทดสอบโฆษณา โดยปกติจะมีความยาวไม่เกิน 30 นาทีตามมาตรฐานในแพคเกจที่ขายให้ แต่สุดท้ายลูกค้าก็จะยัดเข้าไปจนมีความยาวเกือบ 50 นาที แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือ คนที่มาให้สัมภาษณ์นั้นถูก intercept เอาตามห้าง ซึ่งกำลังเดินช๊อปปิ้งอยู่ พอแบบสอบถามมันนานๆเข้า ก็จะเริ่มตอบแบบขอไปที ไม่มีสมาธิแล้ว บางรายโวยวายด้วยซ้ำไป
หรือแม้แต่การทำวิจัย Quali เช่นโฟกัสกรุ๊ป ลูกค้าแทนที่จะเสนอแค่โจทย์ว่าอะไรคือสิ่งที่อยากรู้ แล้วปล่อยให้บริษัทวิจัยที่เชี่ยวชาญการทำตรงนี้มากกว่า เป็นคนหาวิธีการ
แต่กลับกลายเป็นลูกค้ามาชี้นิ้วสั่ง ให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้เสียเอง ตามที่ชั้นคิดชั้นต้องการ ไม่สนว่ามันจะถูกจะผิดยังไงทั้งๆที่ทางบริษัทวิจัยมักจะต้องทักท้วงอยู่แล้วแน่นอนว่าบางอย่างมันไม่เวิก คุณไปใช้คำถามตรงๆแบบนั้นไม่ได้ มันจะไม่ใช่คำตอบที่แท้จริง อะไรแบบนี้เป็นต้น
มันทำให้รู้สึกว่า เหมือนทีมการตลาดของบริษัทลูกค้าขาดความเข้าใจในการทำวิจัยการตลาด แต่หลงคิดว่าตัวเองแน่ ที่มาจ้างบริษัทวิจัยกัน ก็เพราะขี้เกียจเขียน report ส่งเจ้านายกันหรือเปล่า? อะไรแบบนั้นครับ
แต่...ลูกค้าก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกคน เพียงแต่แชร์ให้ฟังว่า การทำวิจัยตลาดนั้นบางครั้งมันหินมากกว่าที่คิด มันไม่ได้จบแค่เขียนแบบสอบถามขึ้นมา ไปสัมภาษณ์ แล้วเขียน report ไปตาม fact ที่มี แล้วส่งลูกค้า แล้วจบ...ปัจจัยต่างๆมากมายที่มีผลกระทบต่อตัวข้อมูลเองทั้งในแง่ความแม่นยำและคุณภาพ
ลูกค้าชาวญี่ปุ่นเนี่ยจะดื้อด้านมากจนน่าเบื่อหน่ายเลยครับ คิดว่ากุเก่งกุแน่ สุดท้ายก็แพ้ตลาดไทยแลนด์ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ -0-"
เป็นอีกด้านนึงที่น่าสนใจครับ
อีกด้านนึง ผมว่าวิจัยการตลาดแบบละเอียดจัดมากๆ ผมว่าน่าจะทำสำหรับ
1) รถ segment ใหม่ที่ไม่เคยทำตลาดในเมืองไทยมาก่อน
2) รถที่ยอดขายไม่ดีมาตลอดและต้องการเอาชนะจ้า่วตลาด
และผมว่าบางทีบางครั้งการวางเป้าหมายเพื่อเอาชนะรถที่ดีที่สุดในโลกก็ดีเหมือนกัน
แต่ก็อาจจะทำให้ควบคุมงบลำบาก ดังนั้น เอาแค่เป้าหมายคือจ้าวตลาดปัจจุบันเป็นพอ
แต่เชื่อว่า นอกจาก survey จากผู้บริโภคทั่วๆ ไปแล้ว ภายในองค์กร ในกลุ่มผู้บริหาร
และความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญในวงการ อีกไม่น้อย น่าจะถูกเอามารวมด้วยทั้งหมดจนใน
ที่สุด ก็จะเป็น หม้อใบใหญ่ที่รวม ความเห็นที่หลากหลายมากมาย อยู่ภายใน ซึ่งก็ทำให้
การออกแบบรถยนต์หนึ่งคัน ยากเหมือนเข็นรถขึ้นภูเขา
ผมว่ารถตลาดๆ ธรรมดาๆ ที่ต้องจับกระแสคนหมู่มาก และยังต้องคงลักษณะที่มีสมรรถนะที่ดี
นี่แหล่ะผลิตยากที่สุด เพราะต้องรวมความเห็นของคนหลายๆ กลุ่มให้มากที่สุด ในขณะที่
รถอย่าง GTR คุณเพียงแค่วางเป้าหมาย เป็นรถที่มีสมรรถนะที่ดีที่สุด มีรูปร่างหน้าตาที่สปอร์ต
และดูดีที่สุด ให้ได้อันดับ 1 เป็นพอ ซึ่ง มันไม่ได้ยากตรงการ survey แต่มันจะไปยากตรง
ด้าน technical ด้าน engineering ตรงนั้นมากกว่า ในขณะที่รถ family บ้านๆ ธรรมดา จะมีความ
สับสนในการพัฒนาง่ายกว่า