สวัสดีครับ พี่น้องชาว HLM ทุกท่าน ก่อนอื่นก็ต้องขออภัยสำหรับรูปภาพนะครับ เพราะใช้มือถือถ่าย ความละเอียดภาพจึงได้แค่นี้จริงๆ
สำหรับวันนี้ผมจะมาบอกเล่าเรื่องราว ของสมาชิกคันล่าสุด แต่อายุมากที่สุด ของครอบครัวผมครับ
เรื่องราวของเจ้าคันนี้ ต้องย้อนกลับไปช่วงปลายปี53 เป็นช่วงที่ผมเบื่อ กับการใช้ทรัพยากรรถของที่บ้าน
เพราะไม่ว่าจะไปไหนก็หาที่จอดยาก แต่ละคันไซล์XLกันทั้งนั้น พอจอดเสร็จก็ต้องคอยระวัง ระแวง กว่าจะลงรถได้ต้องคอยล๊อคสารพัดอุปกรณ์
ลงรถก็พอดีเหงื่อออก คงเห็นภาพนะครับ ผมจึงเริ่มมองหารถคันเล็กๆเอาไว้ขับในเมือง แต่ถ้าจะให้ผมไปถอยรถเก๋งราคาเรือนแสน
คงได้โดนผู้ใหญ่ในบ้านโบกแน่ๆเพราะที่ใช้ๆกันอยู่ก็ยังผ่อนไม่หมดสักคัน = = จนมาเจอกับเจ้าคุณปู่คันนี้
รถคันนี้ในอดีตเป็นรถของเพื่อนผม ที่ได้ร่วมทุกข์และสุขกันมาตั้งแต่สมัยมอปลาย แต่เมื่อเจ้าของมันไปเรียนอยู่เมืองกรุงฯ
จึงไม่มีเวลาและไม่สามารถดูแลมันได้อีก ประจวบเหมาะกับที่ผมกำลังควาญหารถสักคันอยู่พอดี ผมจึงขอซื้อมาในราคาที่ ...
เอาไว้บอกตอนท้ายดีกว่า และได้ครอบครองในวันที่ 21/11/2553 เป็นต้นมา
ด้านตัวรถตัวรถ เป็นรถที่มีตัวถังค่อนเล็กที่ดูเหมือนจะเบา แต่เมื่อนำไปชั่งน้ำหนักก่อนขึ้นชกแล้วได้ถึง 1710kg
ด้านหน้า ดูดุดันจากเส้นสายของไฟหน้าคู่ และกระจังหน้าขนาดใหญ่ตัดขอบด้วยสแตนเลสโดยที่ไฟหน้า
มีลักษณะเป็นโคมคู่ไม่มีไส้ถ้าเสียก็ต้องเปลี่ยนทั้งโคมเลย และในแต่ละข้างจะแยกเป็นไฟสูง1ดวง ไฟต่ำอีก1ดวง
ถัดลงมาเป็นกันชนเหล็กชุบด้วยโครเมียม ในกันชนจะฝังไฟเลี้ยวและไฟหรี่อยู่ในโคมเดียวกัน
ด้านข้างประตูหน้าอยู่ห่างจากฐานล้อหน้าพอสมควร แต่จากที่ดูผมว่ามันหน้ายาวนะ ตัดขอบประตูและลางน้ำด้านบนด้วยสแตนเลส
มีจับประตู เป็นแบบสแตนเลส ไม่ต้องกลัวจะหัก กลัวแต่จะหมองเท่านั้นเองมีโลโก้ เขียนว่า COLONA อยู่ตรงมุมหลัง
ด้านท้ายโลโก้ตรงมุมขวาบน สลักคำว่าTOYOTA ไฟท้ายเป็นแบบคู่พร้อมไฟส่องป้ายทะเบียน
ช่วงล่าง เป็นแบบแหนบหลัง มีดิสเบรกหน้า
และดรัมเบรกหลัง ซึ่งทันสมัยมากในช่วงนั้น
ภายใน มาตราวัดแบบวงกลม 3วง ด้านซ้าย ในรุ่นท๊อปจะมีนาฬิกา ตรงกลางเป็นวัดไมล์ บอกเป็นกม./ชม. ด้านขวาวัดความร้อน
วัดปริมาณน้ำมัน และเซนเซอร์ฉุกเฉิน เช่นเตือนเบรกมือ เตือนน้ำมันเครื่อง เตือนแบตเตอรี่
เครื่องเสียงเดิม เสื่อมสภาพ จึงจับ DVD 2Din ใส่แทน ส่วนที่ขัดใจคือ ช่องแอร์ที่ทำไว้ต่ำมาก
เวลารถติดในเมืองเข้าเกียร์บ่อย โดนแอร์เป่าจนมือชาเลยก็มี
เบาะนั่งเป็นเบาะหนังแทั้งหมด หัวหมอนในเบาะคู่หน้าสลักโลโก้ลายเฉพาะของ Corona
พื่นที่เหมาะสำหรับผู้โดยสารตอนหลังที่สูงไม่เกิน180 (ผมสูง169) ไม่อย่างนั้นหัวท่านจะชนหลังคา และขาจะชนเบาะหน้าแน่นอนครับ
เครื่องยนต์ 12 R : เบ็นซิน 4 สูบเรียง โอเวอร์เฮดวาล์ว
ปริมาตรกระบอกสูบ : 1,587 ซีซี
กระบอกสูบ X ช่วงชัก : 80.5 X 78 มม.
แรงม้าสูงสุด : 66 kw ที่ 5,400 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด : 133 nm
เกียร์5สปีด
เฟืองท้ายเริ่มหอนช่วง80-100
ท๊อปสปีดเคยทำได้ที่ 135km/h. จริงๆแล้วไหลได้อีก แต่คนขับไม่ไหวจริงๆ เสียงลมดังเข้ามาจนน่ากลัว
อัตราสิ้นเปลืองในเมือง อยู่ที่ 8-10km/L.
- นอกเมือง วิ่ง80 อยู่ที่ 10-12km/L.
วิ่งแก๊สLpg ตกกม.ละ 1.3บาท [12บาท/ลิตร]
โดยปกติผมจะใช้ เบนซิน91 ตลอดเวลา นอกจากจะขับเที่ยวข้ามจังหวัด ถึงจะใช้Lpg
การขับขี่ เป็นรถเล็ก อาจมีโยก มีโยนบ้าง ตามสไตล์รถแหนบ แต่ถึงจะอย่างนั้น ผมก็ว่ามันยังเด้งน้อยกว่า Tiger D4D ที่บ้านอีกนะ
การที่เจ้านี่อายุก็มากแล้ว ย่อมต้องมีอะไรที่หมดสภาพไปบ้าง เวลาขับเกิน80 ก็จะเริ่มมีเสียงลม เสียงกลอนประตูดังบ้าง แต่โดยรวมแล้ว
ถือว่ายังอยู่ในสภาพที่พอรับได้
สรุป. กับรถคันนี้ ที่บางคนมองว่ามันแก่เกินแกงแล้ว แต่สำหรับผมคิดว่าเราสามารถค่อยๆเก็บไปทีละอย่างได้
อะไหล่แต่ละตัวถือว่าถูกมากๆเมื่อเทียบกับอะไหล่เบิกศูนย์ของรถบางรุ่น
และที่สำคัญผมซื้อเจ้าคันนี้มาด้วยราคาที่ถูกกว่า Yamaha Fino ป้ายแดงซะอีก!!
ขนาดรถประมาณนี้ ราคาเท่านี้ แอร์เย็น เพลงเพราะ ลัดเลาะในเมืองได้สบายๆ ขับชิลๆได้ในย่านความเร็ว80-110 กับพาหนะวัย36ปีคันนี้
ขอบอกได้ว่า "โคตรรักเอ็งเลย..."
ขอบคุณ HLM ที่ให้ผมได้บอกเล่าเรื่องราวของเจ้าคุณปู่คันนี้
ขอบคุณคุณแม่ที่ทำโกโก้เย็นๆให้กิน , ขอบคุณคุณยายที่ให้กำลังใจด้วยเสียงกรน
และ ขอขอบคุณ พี่ๆน้องๆ ที่ติดตามชมครับ