« ตอบกลับ #6 เมื่อ: มิถุนายน 16, 2009, 22:37:10 »
เบนซินมีข้อดีตรงที่ต้นทุนการสร้างจริงๆเม็ดต่อม้าแล้วถูกกว่าเครื่องดีเซล การที่ชิ้นส่วนภายในไม่ต้องทนแรงกระทำสูงมาก ก็สามารถออกแบบให้มันมีน้ำหนักเบาได้โดยที่ต้นทุนไม่ต้องสูง สามารถปั่นรอบจัดได้เพราะใช้หัวเทียนจุดระเบิด ไม่ใช่ต้องรออัดส่วนผสมให้ร้อนแล้วระเบิดเอง เบนซิน 2.0 หมุน 7000รอบเป็นเรื่องปกติ ดีเซล 2.0 หมุน 6000รอบเป็นเรื่องที่เริ่มไม่ปกติครับ
เบนซินมีข้อเสียคือ ถ้าหากต้องการทำเบนซินที่ให้แรงบิด 300Nm เครื่องเบนซินตัวนั้นจะปล่อย CO2 เยอะกว่าเครื่องดีเซลที่มีแรงบิดสูงสุดเท่ากัน นอกจากนี้ในสเป็คเครื่องที่เท่าๆกัน ดีเซลมักใช้เชื้อเพลิงต่อระยะทางน้อยกว่า
ทางฝั่งดีเซล ทุกวันนี้ข้อจำกัดเพียงอย่างเดียวของมันน่าจะเหลือเพียงแค่การที่ไม่สามารถปั่นรอบจี๋ได้ เพราะการจุดระเบิดของมันคือการอัดอากาศในกระบอกสูบจนร้อนจัด แล้วฉีดเชื้อเพลิงเข้าไป บางรุ่นมีฉีดนำร่องก่อนฉีดตามอีก ดังนั้นหากปั่นเร็วเกินไปมันก็จะถึงจุดหนึ่งที่พลังงานไม่สามารถถูกนำมาใช้ได้ดี คือลากน่ะลากไปเถอะ แต่แค่ 5,000รอบดีเซลส่วนมากก็หมดแรงไต่แล้ว ทำไมไม่ลงเกียร์สักหน่อยเพื่อพาเครื่องยนต์เข้าสู่ย่านรอบเครื่องที่มีแรงบิดมหาศาล
ดังนั้นแทนที่จะใช้รอบเครื่องกับเกียร์ทดสั้นยิกๆ ดีเซลควรใช้อัตราทดที่ยาวหน่อยแล้วก็ให้แรงบิดมหาศาลทำงานของมันไป หรืออัตราทดชิดก็ได้ แต่ให้เลี้ยงเครื่องอยู่ในรอบที่แรงบิดดีๆ
การที่ดีเซลให้แรงบิดได้ดี เพราะไม่มีหัวเทียนมาจุดระเบิด การจุดระเบิดสร้างพลังก็จริง แต่ทุกครั้งที่จุดระเบิด พลังงานส่วนหนึ่งเสียไปกับการจุดตรงนั้น แต่ดีเซลใช้ิวิธีอัดอากาศจนร้อนแล้วค่อยระเบิด ดังนั้นพลังทุกอณูในละอองน้ำมันจึงถูกนำมาใช้ได้มาก ทำให้ดีเซลประหยัด และมีแรงลากที่ดี
แต่นอกเหนือไปจากนี้ ตัวการสำคัญที่ทำให้ีดีเซลไม่รุ่งซะทีเดียวก็คือมลพิษ NoX ที่สูงกว่าเครื่องเบนซินครับ
ค่ายญี่ปุ่นไม่มีเก๋งดีเซลให้เลือก มีแต่กระบะ แต่ฝั่งยุโรป เรามี S60D5, S80D5, XC90D5, XC60D5, 120d, 320d, 520d, X3 2.0d, X5 3.0d, Focus TDCi, E220CDi และถ้าดูในตลาดช่วงขณะนี้ S60, 3-Series, Focus มีรุ่นสูงสุดที่แรงที่สุดเป็นเครื่องดีเซล นี่ก็คงเป็นตัวบอกได้ว่าไม่มีความกลัวเรื่องภาพลักษณ์เครื่องดีเซลเหลือในหัวอกรถยนต์เหล่านี้แล้ว เพราะสิ่งที่ได้กลับมาในเรื่องของพลังที่ได้ใช้จริงทุกวัน รวมกับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงนั้นจะดึงดูดผู้ใช้ได้มากกว่า