ผู้เขียน หัวข้อ: อยากรู้ความแตกต่างของเครื่องเบนซินกับดีเซลอะคับ  (อ่าน 9305 ครั้ง)

ออฟไลน์ ekimike

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 90
  • ???
    • อีเมล์
สงสัยมานานแล้วว่ามันเปนยังไงอะคับ เพราะหลังๆนี่เหนรถหรู (bmw benz ford ...) เอาเครื่องดีเซลมาวาง
คือมันมีข้อดีข้อเสียต่างกันยังไงเหรอคับ ไม่อย่างงั้นเค้าไม่ทำเครื่องดีเซลหรือเบนซินไปเลย
ขอบคุนมากคับ


ออฟไลน์ Ruksadindan

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 12,041
ช่วงหลังนี้เทคโนโลยีดีเซลก้าวหน้าครับ วิ่งรอบต่ำ แต่แรงบิดเยอะ เลยประหยัดน้ำมัน มลพิษก็น้อยลง ส่วนเรื่องเทคนิครอท่านต่อไปมาตอบครับ

ออฟไลน์ sirisak_ac118

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,579
    • อีเมล์
ดีเซลสมัยใหม่ แรงบิดมาก ในรอบต่ำ แรงม้าดีในรอบต่ำ แต่อาจจะเดินไม่เรียบและนุ่มเหมือนเครื่องเบนซิน เสียงเบาลงเยอะถ้าเที่ยบกับดีเซลรุ่นเก่า ประหยัดน้ำมันเพราะรอบการใช้งานต่ำกว่า
การบำรุงรักษาง่ายกว่า ไม่ต้องไปสนใจระบบไฟมากเพราะจุดระเบิดได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องใช้หัวเทียนและระบบไฟ มลพิษในอากาศมากกว่าเบนซินแต่ในอนาคตก็อาจจะใกล้เคียงกัน

เบนซิน แรงม้ามาก แต่ใช้รอบสุง แรงบิดน้อยกว่า แล้วใช้รอบสุงกว่า การสึกหรอและค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุ่งสูงกว่า กินน้ำมันมากกว่า แต่เครื่องเดินเรียบกว่าและเงียบกว่า เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าดีเซล

สรุป 
เบนซินดี แต่ดีเซลก็มีดีกว่า.....อิอิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 16, 2009, 16:00:23 โดย sirisak_ac118 »

จากที่ผมเคยอ่านในหนังสือต่างๆ เครื่องดีเซลจะปล่อยCO2น้อยกว่าเบนซินนะ
หรือว่ามันมีอย่างอื่นรวมด้วยไม่ได้มีแค่CO2อย่างเดียว  ;)

ออฟไลน์ PREM

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,190
จากที่ผมเคยอ่านในหนังสือต่างๆ เครื่องดีเซลจะปล่อยCO2น้อยกว่าเบนซินนะ
หรือว่ามันมีอย่างอื่นรวมด้วยไม่ได้มีแค่CO2อย่างเดียว  ;)

ปล่อยน้อยกว่าเฉพาะ CO2 ครับ
แต่เขม่า อะไรอื่นๆ บางอย่าง (จำไม่ได้ แต่รู้ว่าก็ไม่ได้ environmentally friendly เหมือนกัน) เยอะกว่าเบนซินครับ
2014 Mazda CX-5 2.5 S
2016 Volvo XC60 D4 
2019 Honda Jazz RS+
2020 Volvo V60 T8 Inscription
2022 Mazda CX-30 SP

ออฟไลน์ Preceda2

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 498
    • อีเมล์
ดีเซล5สูบ ของวอลโว่ขับมันส์มากๆๆๆๆๆๆๆ

เสียงตอนรอบสูงๆนี่ไม่เหมือนดีเซลเลยครับ เหมือนเครื่องเบนซิน5สูบของวอลโว่มากกว่า อิอิ ประหยัดอีกต่างหาก  ;D

พอกลับไปขับเทียน่าแล้วรู้สึกว่าแรงไม่พอ 55
2009 Volvo S60 D5
2010 Honda CRV 2.0
2011 Subaru Impreza 2.0R MT {R.I.P.}
2014 Harley-Davidson Sportster Iron 883
2015 Honda HR-V

ออฟไลน์ Pan Paitoonpong

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,457
  • Long live M/T
เบนซินมีข้อดีตรงที่ต้นทุนการสร้างจริงๆเม็ดต่อม้าแล้วถูกกว่าเครื่องดีเซล การที่ชิ้นส่วนภายในไม่ต้องทนแรงกระทำสูงมาก ก็สามารถออกแบบให้มันมีน้ำหนักเบาได้โดยที่ต้นทุนไม่ต้องสูง สามารถปั่นรอบจัดได้เพราะใช้หัวเทียนจุดระเบิด ไม่ใช่ต้องรออัดส่วนผสมให้ร้อนแล้วระเบิดเอง เบนซิน 2.0 หมุน 7000รอบเป็นเรื่องปกติ ดีเซล 2.0 หมุน 6000รอบเป็นเรื่องที่เริ่มไม่ปกติครับ

เบนซินมีข้อเสียคือ ถ้าหากต้องการทำเบนซินที่ให้แรงบิด 300Nm เครื่องเบนซินตัวนั้นจะปล่อย CO2 เยอะกว่าเครื่องดีเซลที่มีแรงบิดสูงสุดเท่ากัน นอกจากนี้ในสเป็คเครื่องที่เท่าๆกัน ดีเซลมักใช้เชื้อเพลิงต่อระยะทางน้อยกว่า

ทางฝั่งดีเซล ทุกวันนี้ข้อจำกัดเพียงอย่างเดียวของมันน่าจะเหลือเพียงแค่การที่ไม่สามารถปั่นรอบจี๋ได้ เพราะการจุดระเบิดของมันคือการอัดอากาศในกระบอกสูบจนร้อนจัด แล้วฉีดเชื้อเพลิงเข้าไป บางรุ่นมีฉีดนำร่องก่อนฉีดตามอีก ดังนั้นหากปั่นเร็วเกินไปมันก็จะถึงจุดหนึ่งที่พลังงานไม่สามารถถูกนำมาใช้ได้ดี คือลากน่ะลากไปเถอะ แต่แค่ 5,000รอบดีเซลส่วนมากก็หมดแรงไต่แล้ว ทำไมไม่ลงเกียร์สักหน่อยเพื่อพาเครื่องยนต์เข้าสู่ย่านรอบเครื่องที่มีแรงบิดมหาศาล

ดังนั้นแทนที่จะใช้รอบเครื่องกับเกียร์ทดสั้นยิกๆ ดีเซลควรใช้อัตราทดที่ยาวหน่อยแล้วก็ให้แรงบิดมหาศาลทำงานของมันไป หรืออัตราทดชิดก็ได้ แต่ให้เลี้ยงเครื่องอยู่ในรอบที่แรงบิดดีๆ

การที่ดีเซลให้แรงบิดได้ดี เพราะไม่มีหัวเทียนมาจุดระเบิด การจุดระเบิดสร้างพลังก็จริง แต่ทุกครั้งที่จุดระเบิด พลังงานส่วนหนึ่งเสียไปกับการจุดตรงนั้น แต่ดีเซลใช้ิวิธีอัดอากาศจนร้อนแล้วค่อยระเบิด ดังนั้นพลังทุกอณูในละอองน้ำมันจึงถูกนำมาใช้ได้มาก ทำให้ดีเซลประหยัด และมีแรงลากที่ดี

แต่นอกเหนือไปจากนี้ ตัวการสำคัญที่ทำให้ีดีเซลไม่รุ่งซะทีเดียวก็คือมลพิษ NoX ที่สูงกว่าเครื่องเบนซินครับ

ค่ายญี่ปุ่นไม่มีเก๋งดีเซลให้เลือก มีแต่กระบะ แต่ฝั่งยุโรป เรามี S60D5, S80D5, XC90D5, XC60D5, 120d, 320d, 520d, X3 2.0d, X5 3.0d, Focus TDCi, E220CDi และถ้าดูในตลาดช่วงขณะนี้ S60, 3-Series, Focus มีรุ่นสูงสุดที่แรงที่สุดเป็นเครื่องดีเซล นี่ก็คงเป็นตัวบอกได้ว่าไม่มีความกลัวเรื่องภาพลักษณ์เครื่องดีเซลเหลือในหัวอกรถยนต์เหล่านี้แล้ว เพราะสิ่งที่ได้กลับมาในเรื่องของพลังที่ได้ใช้จริงทุกวัน รวมกับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงนั้นจะดึงดูดผู้ใช้ได้มากกว่า

- Nissan Tiida บ้านๆ/NX Coupe/AE111/190E1.8

ออฟไลน์ U9WS

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,180
  • slower is better
เก๋งดีเซล คงเป็นเรื่องใหม่ที่จะยอมรับสำหรับคนไทย

แต่เป็นเรื่องปกติสำหรับ ตลาดทางยุโรป
อย่าง Merc-Benz ที่ขายได้ในอังกฤษ 90%ในนั้นเป็นดีเซล เหลือที่ให้เบนซินเพียง 10%เท่านั้นเอง

และในอนาคตอันใกล้นี้ ถ้าเทียบ CC. ต่อ CC. แล้วเก๋งดีเซลหาตัวจับอยากครับ
2.1 Merc-Benz ไปไกลถึง 200hp แล้ว
2.0 BMW ก็ซุ่ม 200hp อยู่เช่นกัน
2.0 Ford สำหรับ All New Focus ก็ขึ้นไปแตะๆระดับ 170hp กันแล้ว
(ส่วนแรงบิต ของดีเซลนั้นไม่ต้องสืบ มากกว่า 2-3เท่าของเบนซินอยู่แล้ว)

ถ้ารถเบนซินตลาดไม่มีระบบอัดอากาศ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามากู้สถานการณ์ คงเห็นช่องว่างของดีเซลกับเบนซินห่างกันขึ้นในไม่ช้านี้

หลายคนยังคงติดยึดกับเบนซิน และแอนตี้ข้อเสียเดิมๆในดีเซล
แต่วันนี้ ดีเซลไปไกลเกินกว่าเราจะคิดไว้
แชมป์ Le Mans ก็เป็น ดีเซล TDi จาก Audi
แล้วถ้า F1 ไม่มีกฏ คงเห็นสักทีมที่ลงเครื่องดีเซล แน่นอน