ขอสอบถามต่อเลยนะครับ กรณีที่ได้ภาษีคืนจากโครงการนี้ ทางสรรพากรจะนับเป็นรายได้ด้วยหรือไม่
1.ถ้านันเป็นรายได้ด้วยหมายความว่าเราจะต้องยืนเสียภาษีเพิ่มเติมด้วยสิครับ
2.ถ้าต้องเสียภาษีรายได้เพิ่มแสดงว่าเราต้องคิดให้รอบคอบขึ้นถึงมูลค่าภาษีที่จะได้คืนว่าจริงๆแล้วเหลือเท่าไหรเพราะแต่ละท่านมีฐานภาษีไม่เท่ากัน
ขอบคุณครับ
อันนี้คุณหมายถึงภาษีส่วนบุคคลเปล่าครับ
นโยบายนี้ไม่เกี่ยวกับรายได้หรือภาษีส่วนบุคลชาวไร่ชาวนานิสึตนักศึกษาก็ซื้อได้ครับถ้าเข้าข่ายนี้
1. ต้องเป็นรถยนต์คันแรกของผู้ซื้อ
2. ต้องทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2554-31 ธันวาคม พ.ศ.2555
3. เป็นรถยนต์ราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อคัน
4. เป็นรถยนต์นั่ง ขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร/รถกระบะ (Pick up)/รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Double Cab)
5.เป็นรถยนต์ที่ผลิตขึ้นในประเทศ ไม่รวมถึงรถยนต์ที่ประกอบจากชิ้นส่วนนำเข้าใช้แล้วจากต่างประเทศ (รถยนต์จดประกอบ)
6. คืนเงินเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อคัน
7. ผู้ซื้อต้องมีอายุ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
8. ผู้ซื้อต้องครอบครองรถยนต์ไม่น้อยกว่า 5 ปี หากผู้ซื้อรถไม่สามารถผ่อนต่อได้ หรือมีเหตุอย่างอื่น จะต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับให้กรมสรรพสามิต หากไม่ดำเนินการ ทางกรมสรรพสามิตจะใช้วิธีการทางศาล เพื่อให้สั่งให้คืนทะเบียนรถยนต์
9. การคืนเงินจะคืนเมื่อครอบครองรถยนต์ 1 ปีไปแล้ว โดยจะเริ่มจ่ายคืนให้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป ซึ่งกรมสรรพสามิตจะจ่ายผ่านทางเช็คเงินสดครั้งเดียวเต็มจำนวน
10. สามารถซื้อรถแบบเงินผ่อนผ่านไฟแนนซ์ หรือเงินสดก็ได้
11. รถมือสองไม่สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ เนื่องจากรถมือสองไม่มีภาษีสรรพสามิตในการซื้อ-ขาย
1. จะต้องเป็นผู้ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 21 ปี และไม่เคยเป็นเจ้าของรถยนต์คันใดมาก่อน
2. จะต้องซื้อในระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2554 ถึง 31 ธันวาคม 2555
3. ต้องเป็นรถยนต์นั่งขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,500 ซีซี หรือรถกระบะไม่จำกัดขนาดเครื่องยนต์ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท
4. ต้องขึ้นทะเบียนเพื่อประทับตราห้ามซื้อขายแลกเปลี่ยนมือลงในสมุดทะเบียนรถยนต์คันดังกล่าว เป็นระยะเวลา 5 ปี
5. ต้องจ่ายเงินในราคาเต็มไปก่อน และเมื่อถือครองรถยนต์ครบ 1 ปี ให้มาติดต่อทางกรมสรรพสามิตพื้นที่ เพื่อขอเงินชดเชยคืนในอัตราที่จ่ายภาษีไป