และ แถม Zafira ให้ไปเลย
----------------------------
*** การทดลองขับ และวัดอัตราเร่ง***
การ ทดลองอัตราเร่ง ใช้ทางยกระดับบางนา-บางปะกง เป็นสถานที่ทดลอง โดยมีผู้เขียน น้ำหนักตัว 85 กิโลกรัม เป็นผู้ขับ และมีผู้ร่วมทดสอบซึ่งคอยจดบันทึกและจับเวลา
อีก 1 คน น้ำหนักตัว 65 กิโลกรัม รวม 150 กิโลกรัม อุณหภูมิภายนอก 30.องศาเซลเซียส เติมลมยางไว้ คู่หน้า 28 ปอนด์/ตารางนิ้ว คู่หลัง 29 ปอนด์/ตารางนิ้ว ผลทีได้มีดังนี้
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทดลองแบบเปิดแอร์ 4 ครั้ง
ครั้งที่ 1...13.14 วินาที
ครั้งที่ 2...13.08 วินาที
ครั้งที่ 3...13.58 วินาที
ครั้งที่ 4...12.90 วินาที
เฉลี่ย...13.17 วินาที (สเป็กจากโรงงานระบุว่า ทำได้ในระดับ 10.5 วินาที)
อัตราเร่ง 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทดลองแบบเปิดแอร์ 4 ครั้ง
ครั้งที่ 1...9.09 วินาที
ครั้งที่ 2...9.31 วินาที
ครั้งที่ 3...9.05 วินาที
ครั้งที่ 4...9.48 วินาที
เฉลี่ย...9.23 วินาที
เมื่อ เหยียบคันเร่งจนสุด เพื่อเร่งความเร็วจาก 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทอร์ก คอนเวอร์เตอร์ จะเปลี่ยนเกียร์จาก 4 ลงสู่เกียร์ 2 และจะคงไว้อย่างนั้น ก่อนเปลี่ยนขึ้นเป็น
เกียร์ 3 ให้เมื่อเข็มความเร็วผ่านหลัก 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง พอดี
ความเร็วสูงสุดในแต่ละเกียร์ "อ่านจากมาตรวัด" (เกียร์จะเปลี่ยนเอง ณ รอบเครื่องยนต์ประมาณ 6,250 รอบ/นาที)
เกียร์ 1 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 6,250 รอบ/นาที
เกียร์ 2 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 6,250 รอบ/นาที
เกียร์ 3 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 6,250 รอบ/นาที
เกียร์ 4 197 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 4,700 รอบ/นาที
ความ เร็วสูงสุด อ่านจากมาตรวัดได้ 197 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 4,700 รอบ/นาที ขณะที่ข้อมูลจากทางโรงงานระบุว่า เวอร์ชันไทยทำได้ 192 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนเวอร์ชัน
ยุโรป ทำได้ 188 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้รอบเครื่องยนต์ 2,250 รอบ/นาที
เครื่อง ยนต์ ECOTEC 2,200 ซีซี ของซาฟิรา ให้อัตราเร่งที่น่าพอใจ ช่วงออกตัวด้วยเกียร์ 1 อาจจะช้าไปเล็กน้อย แต่เมื่อเข้าสู่เกียร์ 2 และ 3 นั้น เรียกพละกำลังออกมาได้
ดี ความเร็วขึ้นจากระดับ 80 - 160 กิโลเมตร/ชั่วโมงในเวลาไม่นานนัก และยังมีทีท่าจะขึ้นไปได้อีกเรื่อยๆจนถึงระดับ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง หลังจากนั้นต้องใช้เวลานาน
พอสมควรถึงจะไต่ไปถึงระดับความเร็วสูงสุด
เกียร์ อัตโนมัติ ของซาฟิรา เป็นแบบ 4 จังหวะ พร้อมปุ่ม SPORTMODE หรือตัว S อยู่บนคันเกียร์ หากใช้โหมดนี้ สมองกลจะคอยเปลี่ยนเกียร์ในรอบเครื่องยนต์ที่สูงกว่า
ปกติ เพื่อเรียกอัตราเร่งให้ได้ดังใจ แต่เมื่อใช้งานจริงกลับพบว่า หากต้องการเรียกอัตราเร่งสูงสุดในเวลาอันสั้น ผู้ขับควรจะเปลี่ยนคันเกียร์เอาเองจะดีกว่า เพราะการตอบสนอง
ยังไม่ทันใจ นัก (แต่ต้องระวังอย่าปล่อยรอบเครื่องยนต์พุ่งทะลุเกินขีดแดง REDLINE ณ 6,500 รอบ/นาที โดยไม่เปลี่ยนเกียร์ในตำแหน่งสูงขึ้น )
ส่วนปุ่มรูป เกล็ดหิมะ หมายถึงระบบช่วยออกรถบนทางลื่น โดยจะออกตัวด้วยเกียร์ 3 นอกจากนี้ยังมีระบบเอนจิน เบรก โดยใช้วิธีเลื่อนตำแหน่งเกียร์จาก 3 ลง 2 และ
ลง 1 แต่ถ้าใช้เกียร์ 1 ที่ความเร็วสูงเกินไป เกียร์จะค้างอยู่ที่เกียร์ 2 จนกว่าความเร็วจะลดต่ำลงจนถึงระดับที่เหมาะสม จึงจะเปลี่ยนลงสู่เกียร์ 1 ให้ นอกจากนี้ยังมีระบบ
แทร็กชันคอนโทรลเสริมให้ในกรณีที่ล้อข้างใดข้างหนึ่งเกิดหมุนฟรี โดยไฟสัญญาณของระบบนี้จะเตือนขึ้นเมื่อระบบทำงาน
ระบบ กันสะเทือนอาจจะแข็งจนถ่ายทอดความรู้สึกจากผิวถนนขรุขระอยู่บ้างเล็กน้อยใน ช่วงความเร็วต่ำ แต่ให้กลับความมั่นใจได้ดีมากช่วงความเร็วระดับเดินทางปกติจนถึง
ย่าน ความเร็วสูงไม่เกิน 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง เมื่อเจอคอสะพาน ที่ระดับความเร็วไม่เกิน 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไม่ปรากฎอากาศโยนตัวแต่อย่างใด ดังนั้นหากผู้ขับเกิด
เบรกไม่ทันเมื่อ เห็นคอสะพานข้างหน้า แค่เพียงลดความเร็วลงต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ และถือพวงมาลัยให้นิ่งๆ ที่เหลือ ปล่อยให้ระบบกันสะเทือนได้ทำหน้าที่ของมันอย่าง
สมบูรณ์ นอกจากนี้ ยังให้ความมั่นใจในขณะเข้าโค้ง ในช่วงความเร็วระดับ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับมุมองศาของทางโค้ง การหักหลบสิ่งกีดขวาง ทำได้อย่างคล่องตัว
แต่ไม่ถึงกับเฉียบคม
โครง สร้างตัวถังถุกออกแบบมาค่อนข้างดี แน่นหนาตามแบบฉบับรถยุโรป ในช่วงเปลี่ยนเลนกระทันหัน แทบไม่รู้สึกถึงการบิดตัวหรือให้ตัวของตัวถังมากนัก ถือว่า TORSION STIFFNESS ค่อนข้างดีแต่
พอจะมีอาการวูบอยู่บ้างเล็กน้อย หากมีลมปะทะเมื่อใช้ความเร็วสูง ซึ่งเป็นเรื่องปกติของรถที่มีจุดศูนย์ถ่วงอยู่สูง และถึงแม้ว่าน้ำหนักพวงมาลัย อาจจะยังถือว่าเบาไปเล็กน้อย
แต่ภาพรวมทั้งหมด ยังให้ความมั่นใจได้ในการเดินทาง
การ ตอบสนองของระบบเบรก ให้ความมั่นใจได้ดีมาก ไม่ว่าจะเป็นภาวะปกติ หรือเบรกกระทันหัน การหน่วงความเร็วเกิดขึ้นอย่างฉับไว แต่ไม่ใช่แตะเบรกแล้วระบบจะทำงาน
ฉับพลันจนหน้าทิ่ม หากแต่หยุดรถได้อย่างนุ่มนวล
ทัศนวิสัย รอบคันโปร่งตา มองเห็นได้ชัดเจน ยกเว้นบริเวณเสาหลังคาคู่หลังสุด D-PILLAR ซึ่งบางครั้งอาจจะบดบังไปบ้างเล็กน้อยขณะจะเร่งแซง หรือเตรียมเลี้ยวซ้าย
แต่ ด้วยขนาดกระจกมองหลังที่ยาว สามารถปรับให้ผู้ขับมองเห็นได้ทั้งรถที่มาจากด้านหลังและด้านข้างได้ใน ตำแหน่งเดียวกัน จึงช่วยลดอุปสรรคตรงนี้ไปได้บ้าง
**ทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เดินทางไกล 110 กม./ชม.***
วัน ต่อมา เราได้ทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง โดยยึดรูปแบบการทดลองเช่นเดียวกับทุกครั้งที่ผ่านมาที่ทำโดย THAIDRiVER เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน
นั่นคือ เริ่มเติมน้ำมันที่ปั้มน้ำมันย่านพระราม 9 แล้วมุ่งหน้าข้ามสะพานแยกพระราม 9 -ศรีนครินทร์ มุ่งหน้าสู่ถนนมอเตอร์เวย์ จนสุดสาย จากนั้นออกสู่ถนนบายพาส ชลบุรี-
พัทยา ไปสิ้นสุดที่หน้าสนามพีระอินเตอร์เนชันแนลเซอร์กิต แล้วขับกลับย้อนเส้นทางเดิม กลับมาเติมน้ำมันให้เต็มถังอีกครั้งที่ปั้มน้ำมันแห่งเดิม โดยระยะทางไปกลับนั้นอยู่ที่
ประมาณ 250-260 กิโลเมตร และใช้ความเร็วระดับ 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง
น้ำมัน เชื้อเพลิงที่เราเลือกเติมในการทดลอง เป็นค่าออกเทน 95 เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันกับการทดลองครั้งก่อน อีกทั้งในคู่มือผู้ใช้ของซาฟิรา ระบุว่า ให้เติมได้เฉพาะ
น้ำมันที่มีค่าออกเทน 95
ถัง น้ำมันมีความจุ 58 ลิตร เมื่อเติมเต็มจนหัวจ่ายตัดการทำงานแล้ว ยังต้องช่วยกันเขย่ารถเพื่อให้น้ำมันไหลเข้าสู่ถัง แล้วค่อยๆ เติมหยอดๆ ต่อเนื่อง จนกระทั่งน้ำมันไม่
สามารถไหลผ่านลิ้นกันกระฉอก เต็มเอ่อขึ้นมาถึงคอถังและล้นออกมาข้างนอก เพื่อให้แน่ใจว่าน้ำมันไหลลงไปจนเต็มถังจริงๆ ทั้งช่วงก่อนและหลังเสร็จการทดลอง
น้ำหนักรถเปล่าไม่รวมของเหลวตาม สเป็กระบุไว้ที่ 1,490 กิโลกรัม หากชั่งจริงอาจจะแตกต่างจากนี้ รวมน้ำหนักของผู้ขับ 85 กิโลกรัม และผู้โดยสาร น้ำหนัก 60 กิโลกรัม
จักรยาน 1 คัน น้ำหนัก 11 กิโลกรัม รวมทั้งสิ้นประมาณ 156 กิโลกรัม รวมแล้วน้ำหนักตัวของซาฟิราคันที่เราทดลองขับจะอยู่ที่ประมาณ 1,646 กิโลกรัม (ไม่รวมของเหลว)
เติมลมยางไว้ตามสเป็กที่กำหนด 32 ปอนด์/ตารางนิ้ว ทั้ง 4 ล้อ
ตลอด การขับ เปิดแอร์ เร่งน้ำยาแอร์ในระดับสูงสุด แต่ด้วยสภาพอากาศที่ค่อนข้างร้อน อยู่ในระดับตั้งแต่ 32.5 - 35 องศาเซลเซียส (อ่านจากแผงหน้าปัด) จึงเปิดสวิชต์พัดลม
ไว้ที่เบอร์ 2 เท่านั้น และไม่มีการเหยียบคันเร่งจนจมมิดเพื่อคิ๊กดาวน์เพื่อเรียกอัตราเร่งแต่อย่าง ใด แต่การทำความเร็วนั้น จะค่อยๆกดคันเร่งเบาๆและให้ความเร็วของรถ
เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
จาก นั้น ใช้ระบบควบคุมความเร็ว หรือ ครุยส์ คอนโทรล ที่ติดตั้งมาให้ โดยชุดควบคุมติดตั้งอยู่ที่ก้านไฟเลี้ยวฝั่งซ้าย วิธีการใช้งาน เพียงแค่เร่งความเร็วให้ถึงระดับที่ต้องการ
แล้วกดปุ่ม I (มาจาก INCRESE) เพื่อล็อกความเร็วที่ต้องการ หากต้องการเพิ่มความเร็วขึ้น กดปุ่ม I เพื่อเพิ่มความเร็วได้ครั้งละ 2 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ถ้ากดถี่ๆ ความเร็ว
จะ เพิ่มขึ้นค่อนข้างรวดเร็ว แต่หากต้องการลดความเร็วลง เพียงแต่กดปุ่ม R (มาจาก REDUCE) เรื่อยๆ และระบบจะยกเลิกการทำงานเมื่อแตะเบรก หากต้องการให้
ความเร็วกลับมาอยู่ที่ระดับเดิมก่อนแตะเบรก ก็เพียงแค่กดปุ่ม R อีก 1 ครั้ง
ปริมาณ รถหนาแน่น ทำให้ยังคงใช้ความเร็วป้วนเปี้ยนที่ระดับ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่เมื่อเลยด่านเก็บเงินแรกมาได้แล้ว สภาพการจราจรคล่องตัวมากขึ้น และใช้ความเร็ว
ได้ถึงระดับ 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ตั้งไว้อย่างต่อเนื่องเกือบตลอดเส้นทาง
จาก นั้นจึงแวะพักทานข้าวเที่ยง ณ ร้านอาหารบริเวณ จุดพักริมทางมอเตอร์เวย์ ดับเครื่องยนต์ เมื่อแล่นมาได้ถึงระยะทาง 53.2 กิโลเมตร (จากมาตรวัด) ประมาณครึ่งชั่วโมง
แล้วเดินทางต่อจนถึงสนามพีระ จากนั้นจึงเลี้ยวกลับ โดยไม่มีการหยุดพักอีกครั้ง เพื่อมุ่งหน้ากลับเข้ากรุงเทพฯโดยใช้เส้นทางเดิม เมื่อถึงปั้มน้ำมันแห่งเดิม เราได้เติมน้ำมัน
อีกครั้งด้วยวิธีการเหมือนกับการเติมครั้งแรก และคำนวนหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ผลที่ได้มีดังนี้
ระยะทางที่แล่นมาทั้งหมด จากตัวเลขบนมาตรวัด 260 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันที่ใช้ไป 20.78 ลิตร
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 12.512 กิโลเมตร/ลิตร
-----------------------------------
สรุป
ถึงจะเก่า แต่ก็เก่าแค่เพราะอยู่มานานกว่า
การที่ซาฟิราอยู่ในตลาดมานานกว่าใครเพื่อนนั้น เราสามารถมองได้ทั้ง 2 มุม
แน่ นอนว่าการที่ซาฟิรายังขายได้อยู่ในระดับเดือนละ 200-300 คันคงที่มาตลอดจนถึงทุกวันนี้นั้น ย่อมเป็นเรื่องที่ยืนยันได้ว่าซาฟิราเองก็ยังสามารถยึดเหนี่ยวใจลูกค้าที่ ชอบ
ความมั่นใจในการขับขี่ได้ไม่น้อย ทั้งเรื่องการออกแบบปรับปรุงระบบกันสะเทือนและระบบเบรกที่ตอบสนองได้ มั่นใจที่สุดในกลุ่ม ผสานกับโครงสร้างตัวถัง ถูกออกแบบมา
ค่อนข้างแน่น หนาดี รวมทั้งคุณภาพในการประกอบที่มีมาตรฐานระดับโลก จนทำให้หลายประเทศในยุโรป เช่นอังกฤษ ไปจนถึงออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และแม้กระทั่งญี่ปุ่น
ยอมรับในฝีมือของคนไทยในเวทีอุตสาหกรรมยานยนต์โลกที่พัฒนาศักยภาพขึ้นไปมาก
อย่าง ไรก็ตาม ในอีกมุมหนึ่ง การที่อยู่ในตลาดมานานกว่าใคร ทำให้ย่อมเสียเปรียบคู่แข่งที่มีความสดใหม่มากกว่า เป็นธรรมดาตามอายุการทำตลาดของรถยนต์ 1 รุ่น อีกทั้ง
ซาฟิราเองก็เริ่ม เข้าใกล้ช่วงปลายของอายุตลาดแล้ว ดังนั้นจึงมีสิ่งที่น่าจะนำไปปรับปรุงปรากฎให้เห็นอยู่หลายจุด มีทั้งอุปกรณ์ที่กลายเป็นสิ่งจำเป็นในการใช้งานบนแผง
หน้าปัดและห้องโดยสารบางรายการ เช่นไฟบอกตำแหน่งเกียร์อัตโนมัติ ฯลฯ
และ ด้วยขนาดตัวถังที่เล็กกว่าคู่แข่ง ทำให้ห้องโดยสารมีขนาดเล็กไปสักหน่อยเมื่อเทียบคู่แข่ง อีกทั้งตำแหน่งพวงมาลัยนั้น เงยมากเกินไป แม้ว่าจะปรับระดับแล้ว ก็ยังยากที่
จะลงตัว ใครที่คิดจะซื้อแนะนำว่า ควรทดลองขับเพราะเป็นจุดเดียวที่จะตอบใจตัวคุณเองได้ว่าคุณรับได้กับท่านั่ง ขับลักษณะของซาฟิรา หรือไม่? เพราะถ้าคุณผู้อ่านรับได้
ซาฟิรา ก็เป็นรถที่เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวันที่ให้ความคล่องตัวในเมืองด้วย ขนาดตัวถังที่เล็กกว่า แต่มั่นใจได้หากต้องขับทางไกลด้วยระบบกันสะเทือน เบรก และ
การออกแบบโครงสร้างตัวถังที่ดี