ผู้เขียน หัวข้อ: เทคนิคในการนำรถเข้าศูนย์บริการ  (อ่าน 42347 ครั้ง)

ออฟไลน์ adis

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,416
    • อีเมล์
เทคนิคในการนำรถเข้าศูนย์บริการ
« เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 09:35:17 »
  หลาย ๆ ท่านที่เคยใช้รถและเคยใช้บริการของศูนย์ คงเคยเจอปัญหาต่าง ๆ มาไม่มากก็น้อยนะครับ
ส่วนคนที่ไม่เคยเจอปัญหาเลยก็นับว่าโชคดี แต่อีกนั่นล่ะครับ ที่บอกว่าไม่มีปัญหาเลยมันก็มีอยู่สองประเด็นคือ
1. ไม่มีปัญหาจริง ๆ หรือ 2. มีปัญหาแต่เราไม่รู้ ????
 ส่วนหลาย ๆ ท่านที่ยังไม่เคยใช้รถ และกำลังตัดสินใจซื้อรถคันแรกในชีวิต ก็อาจจะมีความเป็นห่วง ว่าจะซื้อยี่ห้อไหนดีซึ่งมักจะกังวลว่า
ศูนย์บริการจะดีหรือเปล่า อะหลั่ยจะมีมั้ย  รถที่จะซื้อมันทนทานแค่ไหน มันจะเสียจุกจิกหรือเปล่า

จากประสบการณ์ของผมที่ใช้รถมาหลายคันหลายรุ่นหลายยี่ห้อ ทั้งป้ายแดง ทั้งมือสอง ใช้บริการมาหลายศูนย์   มีตั้งแต่ มาสด้า โตโยต้า BMW.  ฮอนด้า
  MITSU.  SUZUKI . ตั้งแต่ไม่มีความรู้เรื่องรถเอาเลย ( แต่ชอบรถมาก ๆ ๆ  )  มาจนถึงได้เคยเป็นหุ้นส่วนทำธุรกิจคาร์แคร์กับเพื่อนซี้มาร่วมสี่ปี ก็ไม่ใช่ว่าจะรู้อะไรมากมายนะครับ บางอย่างรู้มาผิด ๆ ด้วยซ้ำ  เคยครับที่ลูกค้าด่าเอาแรง ๆ แทบจะสวมวิญญาณนกกระจอกเทศกันเลย ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนครับ
มาหลัง ๆ นี่ ผมได้ความรู้จากผู้มีประสบการณ์หลาย ๆ ท่าน ทั้งคนรุ่นใหม่และคนรุ่นคุณพี่หรือรุ่นลุง ก็เลยมีความเข้าใจอะไรหลาย ๆ เรื่องดีขึ้น รู้จักใช้รถอย่างถูกต้อง
มากขึ้น  และว่าง ๆ ก็มานั่งคิดดูว่าทำไมเรามักจะพบปัญหาการใช้ศูนย์บริการ  ในเวปหลาย ๆ เวปก็มักจะมีปัญหาเหล่านี้มาพูดคุยกันเสมอ ๆ
บางทีก็ถึงกับ เอาศูนย์บริการระบุชื่อมาประจานกันในเวปเลยก็มีครับ

   อันดับแรกที่อยากจะให้ข้อคิดเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ กันก่อนครับว่า ศูนย์บริการจะดีหรือไม่ดีนั้น  มันไม่ได้อยู่ที่ยี่ห้อ รุ่น หรือมาตรฐาน หรือความมีมากหรือมีน้อยของศูนย์บริการเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ผู้ใช้รถหลาย ๆท่าน มักจะให้ความสำคัญในด้านศูนย์บริการแต่เพียงฝ่ายเดียวและฝากความหวังไว้ที่การบริการของศูนย์ทั้งหมด
พอไม่ได้อย่างที่หวังก็เสียอารมณ์และโทษศุนย์บริการเอาฝ่ายเดียวเหมือนกัน

ออฟไลน์ off_033

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,264
    • อีเมล์
Re: เทคนิคในการนำรถเข้าศูนย์บริการ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 09:45:00 »
บางคนคิดว่าเข้าศูนย์แล้วต้องสบายทุกอย่าง  มีน้ำ  มีขนม มีคนต้อนรับ อะไรไม่ถูกใจอาจจะหงุดหงิด ก็ว่ากันไปแล้วแต่ความชอบ

แต่ผมของานซ่อม ไม่มั่ว  ซ่อมจบ  งานบำรุงรักษาดีๆเป็นอย่างแรก  อย่างอื่นถ้ามีถือว่าเป็นกำไรให้ลูกค้าครับ

ออฟไลน์ adis

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,416
    • อีเมล์
Re: เทคนิคในการนำรถเข้าศูนย์บริการ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 09:47:28 »
สิ่งที่พิสูจน์เรื่องนี้ได้ ก็มีหลาย ๆ กรณีครับ ที่ผมพบเจอมา เช่นรถบางคันนะ เจ้าของแทบจะไม่ได้เอาเข้าศูนย์เลย แต่ทำไมมันถึงได้มีสภาพดีมาก ๆ
หรืออย่างผมเอง ที่เคยเจอศูนย์บริการทำห่วยแตกมา  แต่พอเราโวยวายต่อว่า เรียกผู้จัดการมาคุยด้วย ปรากฎว่าทุกอย่างมันก็ดีขึ้นมาได้อย่างทันตาเห็น
แล้วไม่เกิดปัญหาอย่างนี้ขึ้นมาอีกเลย
หรืออู่อิสระที่เล็ก ๆ รับซ่อมรถมันทุกยี่ห้อ  เจ้าของก็ไม่ได้ร่ำเรียนสูงอะไร  แต่ทำไมเค้าบริการดี แก้ไขปัญหาให้จบ ในราคาไม่แพง แถมแนะนำเราได้อย่างดี
มีเหตุมีผลที่สัมผัสจับต้องได้ ( ไม่ได้โม้อย่างเดียว )

ผมก็เลยคิดว่า มันไม่ได้ขึ้นกับศูนย์บริการว่าดีหรือไม่ดี มีมากหรือมีน้อยหรือไม่เท่านั้นแน่ ๆ
และพอจะประมาณสัดส่วนความสำคัญเรื่องนี้ออกมาได้ว่า  การบริการของศูนย์จะดีหรือไม่ดีนั้นขั้นอยู่กับผู้ใช้รถซะ 60 % การบริการของศูนย์ซะ 30 %
ปริมาณและราคาอะหลั่ยซะ 10 % อันนี้ประมาณด้วยประสบการณ์ส่วนตัวเท่านั้นนะครับ ไม่ได้มีหลักวิชาการอะไรรองรับหรอกครับ

เดี๋ยวมาต่อแล้วกันนะ ไปประชุมก่อนครับ งานเข้า

ออฟไลน์ boykung

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,174
  • ตอนเด็กๆ โคตรอยากเป็นจีบันเลย
Re: เทคนิคในการนำรถเข้าศูนย์บริการ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 09:57:26 »
ความใส่ใจครับ และคิดว่ารถทุกคันเป็นรถเราเอง
Hyundai Grand Starex 2012
Kia Rio 2013
Volvo XC60 D4 Hybrid with Engine Oil 2013
Mercedes Benz S300Hybrid AMG 2014
BMW 420D Coupe M Sport 2016

ออฟไลน์ adis

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,416
    • อีเมล์
Re: เทคนิคในการนำรถเข้าศูนย์บริการ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 10:54:28 »
ต่อครับ...
ผมก็เลยคิด ๆ ดูว่า เวลาเราเอารถเข้าศูนย์บริการ เราควรมีเทคนิคอะไรบ้างที่จะทำให้เกิดปัญหาน้อยที่สุด
แล้วได้นำไปปฏิบัติด้วยตัวเองมาระยะหนึ่ง ซึ่งได้ผลดีมากครับ  เลยนำมาแชร์ เล่าสู่กันฟัง
และหากเพื่อน ๆ ท่านใดจะมีอะไรเพิ่มเติม ก็ยินดีมากนะครับ..
เริ่มเข้าเรื่องเลยนะครับ


เวลาที่ท่านนำรถเข้าเช็คตามระยะ หลาย ๆ ท่านก็อาจจะเจอปัญหาที่ทำให้เสียอารมณ์กันบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ  เช่น ทำเกิน, ทำขาด,  ไอ้ที่มีปัญหาแล้วให้เค้าแก้ไขให้ ดันไม่ได้ทำอะไร หรือบอกว่าทำแล้วแต่ปรากฏว่าอาการมันยังไม่หาย   หรือไอ้ที่มันไม่มีปัญหาดันมาเปลี่ยนให้, ทำสกปรก, ของหาย , หรือบางทีช่างก็รู้มากแต่รู้ผิด ๆ แนะนำเจ้าของรถผิด ๆ , ราคาแพงเกินไป  ฯลฯ.  ผมเจอมาเยอะเลยครับ  ที่ทำให้เสียอารมณ์มากที่สุดคือรถ CITY คันเก่าของผมเอาเข้าศูนย์ครั้งแรกเพื่อเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง  รถยังป้ายแดงอยู่เลย แต่ช่างทำพรมในรถเปื้อนน้ำมัน  , ครั้งต่อมา มีรอยถลอกและรอยด่างแถมมาให้ที่ข้างฝากระโปรงหน้า เข้าใจว่าเวลาซ่อมช่างไม่ได้เอาผ้ายางกันรอยมาปิดไว้ (ทุกวันนี้รอยนั่นก็ยังอยู่เลยครับ 8 ปีแล้วนะ ผมเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกครับ )   แล้วยังมีรถ Volvo เจ้านายผมนะเอาไปให้ศูนย์เปลี่ยนยาง ช่างฝึกงานทำเกลียวหวานไปเลยครับ  cronos คันเก่าของผมที่ขายไปก็เจอช่างรู้มาก ผมเอารถไปให้เค้าเช็คเพื่อจะเดินทางไกลเท่านั้นเอง บอกเค้าช่วยเช็คน้ำ, น้ำกลั่น , สายพาน,ลมยาง
แต่ช่าง เติมหัวเชื้ออะไรสักอย่างในเครื่องให้โดยไม่ได้บอกเราเสียก่อน แต่เติมไปแล้วก็ต้องเสียตังค์ ไอ้เสียตังค์ไม่เท่าไหร่ครับ  แต่พอผมเอาไปขับทางไกล รถตายกลางทางนี่สิครับ ไม่รู้ว่าสาเหตุคืออะไร จะเป็นเพราะหัวเชื้อที่ช่างรู้มากเติมเข้าไปให้รึเปล่าก็ไม่ทราบ เพราะตั้งแต่นั้นผมก็ไม่เอา cronos เข้าศูนย์อีกเลย ขี้เกียจจะไปยุ่งยากแล้วครับ มันไม่มีประโยชน์แล้ว   เลยเอามาซ่อมอู่นอกของพรรคพวกกันดีกว่า รถก็เก่าแล้วไม่ต้องเอาเข้าศูนย์ก็ได้
พอมีรถใหม่ใช้  ด้วยเหตุนี้เวลาเอารถเข้าศูนย์แต่ละทีรู้สึกไม่สบายใจทุกที  กลัวได้ของแถมที่ไม่พึงประสงค์กลับมาครับ
    ตอนหลังนี่ผมเลยหาเทคนิคที่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเสียอารมณ์พวกนี้และก็ใช้ได้ผลดีก็เลยนำมาแชร์กันครับ และหากเพื่อน ๆ สมาชิกมีอะไรดี ๆ เพิ่มเติมเข้ามาก็ยินดีครับ
   เรื่องแรกเลยก็คือสาเหตุที่ทำให้เกิดสิ่งไม่พึงประสงค์เหล่านี้  ผมแยกแยะออกมาได้ดังนี้ครับ
1.   มาตรฐานของศูนย์บริการ
2.   ทักษะ ความรู้และฝีมือรวมทั้งวินัยของช่างประจำศูนย์
3.   อารมณ์ของช่าง
4.   ความรู้ของเจ้าของรถ
 
 
 
 

ออฟไลน์ adis

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,416
    • อีเมล์
Re: เทคนิคในการนำรถเข้าศูนย์บริการ
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 10:55:24 »
ข้อแรก มาตรฐานของศูนย์บริการ  เมื่อก่อนผมไม่ค่อยจะซีเรียสสักเท่าไรครับ เพราะเดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะศูนย์เล็กศูนย์ใหญ่ก็จะมีการแข่งขันกันสูง  อีกทั้งระเบียบข้อบังคับของศูนย์ต่าง ๆ ก็มักจะถูกกำหนดมาจากบริษัทแม่อยู่แล้ว
ถ้าไม่มีมาตรฐาน เครื่องมือต่าง ๆ ไม่ครบ หรือไม่ได้มาตรฐาน ก็ไม่สามารถเป็นดิลเลอร์ได้อยู่แล้ว
แต่เวลาเราเอารถเข้าใช้บริการของศูนย์มาตรฐานเหล่านี้ก็ควรสังเกตสักหน่อยนะครับ ว่ามาตรฐานจริงหรือเปล่า
หรือมีแต่เพียงชื่อว่ามาตรฐาน มีเครื่องไม้เครื่องมือครบถ้วน  แต่ไม่มีการจัดการที่ได้มาตรฐานเพียงพอ
เพราะคำว่ามาตรฐานไม่ได้วัดจากเครื่องมือ อุปกรณ์หรือสถานที่เท่านั้น แต่ต้องดูที่ระบบการจัดการด้วย
มีสามประเด็นที่เราควรสังเกตุครับ
ประเด็นแรก  ให้สังเกตุว่าเวลาช่างเค้าทำงานกัน ระบบการรับรถลูกค้าเค้าทำยังไง พนักงานที่มารับรถเค้าสนใจลูกค้ามากแค่ไหน มีการตรวจสภาพเบื้องต้นตอนที่รับรถเราหรือเปล่า  มีการพูดคุยซักถามอะไรเราบ้างหรือไม่  มีเอกสารให้เราลงชื่อก่อนหรือไม่  ถ้าไม่มีพฤติกรรมพวกนี้ในการทำงานอยู่ ต่อให้เป็นศูนย์ใหญ่ดูดีแค่ไหน  ก็ถือว่าไม่ได้มาตรฐานแล้วครับ   
ประเด็นที่สอง ต่อไปลองถือวิสาสะเข้าไปเดินสังเกตดูในพื้นที่ที่ช่างเค้าทำงานกันครับ
( บางศูนย์เค้าไม่ให้ลูกค้าเข้าไปในพื้นที่ทำงานนะครับ แต่ลองไปยืนห่าง ๆ ดูพอให้เห็นก็ได้ครับ)
สังเกตที่เครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ จัดเก็บไว้เป็นระเบียบหรือไม่  เครื่องมือต่าง ๆ สกปรกหรือไม่ พื้นที่ทำงานสกปรกหรือไม่  ถ้ามันดูแล้วสกปรก ไม่เป็นระเบียบ ก็แสดงว่าไม่มีระบบการทำงานที่ได้มาตรฐาน
สองประเด็นนี้ถ้าเราดูแล้วไม่ดี ถ้าเป็นไปได้ก็เปลี่ยนศูนย์ที่เราจะไปใช้บริการดีกว่านะครับ
ประเด็นที่สาม ลองสังเกตว่าเวลาเค้าส่งมอบรถที่ดำเนินการเสร็จแล้วให้ลูกค้า เค้ามีการให้ลูกค้ามาตรวจสอบความเรียบร้อยด้วยหรือไม่  ถ้าไม่มี ก็แสดงว่ายังไม่ได้มาตรฐานเช่นกันครับ 
  เรื่องของศูนย์มาตรฐานนี้ข้อแนะนำก็คือ อย่าได้ไว้วางใจว่าศูนย์ที่บอกเราว่าเป็นศูนย์มาตรฐาน แล้วเราก็ปล่อยรถอันเป็นที่รักของเราไปตามยะถากรรมนะครับ  ควรสังเกตสามประเด็นหลัก ๆ นี้ให้ดีเสียก่อน ยอมเสียเวลาสักหน่อยนะครับ ไม่ต้องมาสังเกตทุกครั้ง เอาแค่ครั้งเดียวก็น่าจะเพียงพอที่จะฟันธงได้แล้ว ว่าเราควรเอาของรักของเราไปใช้บริการหรือเปล่า  เมื่อก่อนนี้ผมสังเกตแค่สองเรื่องแรกครับ เรื่องที่สามตอนส่งมอบรถผมไม่คิดว่าจะสำคัญมากเท่าไหร่ แต่มีประสบการณ์ที่ไม่ดีเมื่อปีที่แล้วนี้เองก็เลยเพิ่มเข้ามาอีกเรื่องครับ  เล่าให้ฟังเลยแล้วกัน  ตอนนั้น GV. ผมมีปัญหาไฟสัญญาณ ABS. ติดค้างอยู่ เข้าศูนย์ที่ปัตตานี ปรากฏว่าตอนนั้นศูนย์ปัตตานียังไม่มีคอมพ์เช็คครับ  ก็เลยเอาไปเข้าศูนย์หาดใหญ่ซึ่ง SUZUKI จะอยู่ในศูนย์เบนซ์ด้วย  แต่คอมพ์ของ SUZUKI ก็ยังไม่มีเช่นกัน  แต่ก็ตัดสินใจเอารถเข้าเช็คครับ เพราะตอนเย็นผมต้องเดินทางกลับ  กลัวว่าจะไม่ปลอดภัยหากระบบเบรคมีปัญหาขึ้นมา ระหว่างทาง  แล้วเห็นว่าเป็นศูนย์ใหญ่ที่ตั้งมานานแล้ว   ผมก็ไว้วางใจได้พอสมควร ซึ่งช่างเค้าก็บอกว่าถึง ABS มีปัญหาแต่ไม่เป็นไรเพราะ ระบบธรรมดาก็ยังทำงานได้ตามปกติ  แต่ช่างเค้าก็จะลองเช็คให้ดูก่อนครับ เผื่อว่ามีอะไรไปติดหรือสกปรกอยู่ตรงเซนเซอร์ หรือสายอาจจะขาดก็ได้ ถ้าเจอก็จะได้ซ่อมให้เลย   ทุกอย่างดูดีมากครับ พนักงานต้อนรับอย่างดีสมกับศูนย์ใหญ่และเป็นศูนย์เบนซ์อีกต่างหาก
ขั้นตอนการรับรถก่อนซ่อมของเค้า OK ครับ ตรวจละเอียดรอบคัน แม้กระทั่งกระจกทุกบานก็มีช่างที่รับรถตรวจหารอยขีดข่วนแล้วก็เอาเอกสารให้ผมเซ็นต์เรียบร้อย ทบทวนกันเรียบร้อยครับว่าจะให้ทำอะไรบ้าง   จากนั้นพนักงานต้อนรับสาวสวยก็พาผมไปห้องรับรองหรู มี  internet wifi บริการให้  ผมนั่งเล่นสักพักก็ลงมาครับ จะไปดูในพื้นที่ที่เค้าทำรถให้ผม แต่พนักงานบอกว่าห้ามเข้าไปในพื้นที่  ผมก็ OK นะ ชมในใจว่าเค้ารักษาระเบียบดีจังเลย  ผมก็ไม่เข้าไปครับ แต่ยืนดูห่าง ๆ นอกพื้นที่ห้ามเข้าของเค้า   แต่ก็สังเกตทุกอย่างได้พอสมควร  พนักงานก็ทำงานกันได้ดีครับ ทุกอย่างก็เป็นระเบียบเรียบร้อยดีมาก   ผมวางใจได้ก็เลยมานั่งเล่นนั่งคุยกับยามครับ เพราะจะได้เห็นในระยะห่าง ๆ ด้วยว่ารถผมทำอะไรไปถึงไหนแล้ว    จนกระทั่งทุกอย่างเสร็จครับ ผมเห็นช่างเค้าเอารถลงมาจากลิฟแล้วก็ช่างคนที่รับรถก็เข้าไปตรวจงาน   ผมก็มารอในออฟฟิสต่อ   สักพักพนักงานก็บอกผมว่ายังแก้ไขไม่ได้  เพราะเบื้องต้นไม่พบอะไรผิดปกติ  แต่ถ้าเช็คละเอียดเลยต้องใช้เวลาในการรื้อสายไฟอีกนาน และตอนแจ้งซ่อมตอนแรกผมบอกว่าผมต้องขับรถกลับต่างจังหวัดเย็นนี้   พนักงานก็เลยนัดใหม่ว่าวันไหนผมว่าง ๆ จะเอารถมาทิ้งไว้ให้เช็คอีกที   หรือให้ผมรออีกสักสองเดือนก็ได้เพราะคอมพ์จะมาแล้ว  เช็คกับคอมพ์จะเร็วกว่า  ค่าใช้จ่ายก็ไม่มีครับ  ผมก็เลยบอกว่างั้นผมรอคอมพ์มาก่อนดีกว่า  พนักงานก็ขับรถมาส่งให้ที่หน้าออฟฟิส  แต่ไม่ได้มีการให้ผมตรวจรถให้เรียบร้อยก่อน ไอ้ผมเองก็ไม่ได้ตรวจความเรียบร้อยด้วยครับ เพราะวางใจตั้งแต่แรกว่าเค้าคงตรวจให้เราเรียบร้อยก่อนส่งมอบแล้ว   ก็ขับรถกลับบ้านที่ปัตตานีเลย  อีกสองวันถัดมาครับ ผมจะเดินทางไปหาดใหญ่อีกก็เลยเอารถมาตรวจความเรียบร้อยก่อนเดินทาง เปิดกระโปรงเพื่อจะเติมน้ำล้างกระจก ปรากฏว่าฝาครอบกล่องฟิวมันไม่ได้อยู่ในที่ของมันครับ มันวางครอบอยู่ตรงหัวโชคอัพ   ทุกอย่างที่ผมคิดชื่นชมไว้ว่าเค้ามีมาตรฐานดี หายไปหมดสิ้นเลยครับ  มาคิดว่าถ้าเกิดตอนผมขับรถอยู่แล้ว ฝาครอบกล่องฟิวมันตกลงไปในเครื่องจะเกิดอะไรขึ้น   พนักงานที่ตรวจรถก่อนส่งมอบทำไมเค้าไม่ตรวจให้ดีพอเสียก่อนล่ะเนี่ย….
ผมก็เลยโทรไปบอกทางศูนย์เค้าเลยนะครับ  พนักงานเค้าก็ขอโทษและขอบคุณที่ผมแจ้งให้ทราบ
   มันก็เลยมีเรื่องที่สามที่สำคัญขึ้นมาครับ จะเห็นว่าเรื่องนี้ทุกอย่างดีหมดตั้งแต่เริ่มต้น แต่มาตายตอนจบครับ

ออฟไลน์ adis

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,416
    • อีเมล์
Re: เทคนิคในการนำรถเข้าศูนย์บริการ
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 10:56:01 »
มาเรื่องที่ 2. ทักษะ ความรู้และฝีมือรวมทั้งวินัยของช่างประจำศูนย์ และเรื่องที่ 3 อารมณ์ของช่าง
   สองข้อนี้ขอพูดรวมกันไปเลยแล้วกันนะครับ
 ก่อนอื่นก็ต้องบอกสัจธรรมว่า  ทุก ๆ ที่ ย่อมมีคนที่เก่งและไม่เก่งปน ๆ กันอยู่เสมอ แล้วในศูนย์มาตรฐานก็มักจะรับนักศึกษาฝึกงานเข้ามาทำงานด้วย
ดังนั้นหากเราจะคาดหวังว่าช่างในศูนย์ทุกคน จะมีความรู้ ทักษะหรือวินัยเท่าเทียมกัน มันย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน   ถ้าเกิดคราวซวยที่รถของเราไปโดนช่างที่อ่อนประสบการณ์หรือขาดวินัย ก็อาจจะให้เกิดความเสียหายได้ เหมือนประสบการณ์ที่ผมเคยเจอมาแล้ว  หรือแม้กระทั่งคนที่มีประสบการณ์ดี แต่ก็อาจจะพลาดได้เช่นกัน
แล้วสัจธรรมอีกข้อนึงก็คือ อารมณ์คนเราเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ถึงคราวซวยที่รถเราไปใช้บริการ แล้วเจอช่างที่ถึงแม้จะเก่งฉกาจ  แต่วันนั้นเค้าไม่มีอารมณ์ทำงานล่ะครับ อาจจะทะเลาะกับทางบ้านมา หรืออาจจะโดนเจ้านายเล่นงานมา  มันก็ทำให้เราซวยได้เช่นกัน
   เทคนิคที่ผมใช้บรรเทาเรื่องนี้ก็คือการตีสนิทกับหัวหน้าช่าง หรือผู้จัดการศูนย์ครับ  ฝากฝังเค้าให้ช่วยดูแลให้เราเป็นพิเศษสักหน่อย  ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ    โชคดีหน่อยสำหรับผมเพราะศูนย์ SUZUKI ที่ปัตตานี ผู้จัดการทั่วไปสนิทกับผมครับเป็นคนนิสัยดี ดูแลพนักงานดี   มีอะไรก็คุยกันตรง ๆ เลย  ง่ายหน่อย  ผมไม่ได้ออกรถที่ปัตตานีนะครับ ออกที่ กทม. ก็บอกเพื่อนมันตรง ๆ มันก็เข้าใจครับ  เพราะตอนนั้นหาสีบรอนซ์ให้ผมไม่ได้แล้วโปรโมชั่นต่างจังหวัดก็ไม่มีอะไรให้สักอย่าง  ผมบอกเพื่อนผมว่ารถของกรู ให้หัวหน้าช่างมาดูแลโดยตรงนะเว้ย คนอื่นไม่เอา เด็กฝึกงานไม่ต้องมายุ่งเด็ดขาด  ส่วน CITY คันเก่าคันเก่งอีกคัน ภรรยาผมก็เคยอาละวาดช่างไปตั้งแต่ทำพรมเปื้อนน้ำมันแล้วครับ   พอครั้งที่สองที่ทำรอยด่างอีกผู้จัดการต้องมาขอโทษด้วยตัวเองและรับว่ารถคันนี้จะดูแลเป็นพิเศษให้ จนเดี๋ยวนี้ก็สนิทกับผู้จัดการและหัวหน้าช่างไปแล้วครับ โทรตามให้มารับรถที่บ้านได้เลย  หัวหน้าช่างต้องมาเองด้วยนะ จะได้พูดคุยกันก่อนว่าให้ทำอะไรเป็นพิเศษบ้าง ตอนเอารถมาส่งหัวหน้าช่างก็จะมาส่งเองเป็นส่วนใหญ่ครับ 
    เพื่อน ๆ ลองดูนะครับ ทำความสนิทสนมคุ้นเคยกับเค้ามาก ๆ หน่อย เค้าจะได้ดูแลให้เราเป็นพิเศษ  เค้าจะหาคนที่มีฝีมือ มีประสบการณ์มาทำให้  แล้วไม่ใช่เฉพาะผู้จัดการหรือหัวหน้าช่างนะครับ  พนักงานของเค้า เราก็ควรมีน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ตามโอกาสอันสมควร  ผมมักจะซื้อเครื่องดื่มชูกำลัง หรือกาแฟกระป๋อง หรือน้ำอัดลม ไปแจกให้พนักงานเค้าครับ ทั้งช่าง ทั้งพนักงานต้อนรับ  หรือบางทีก็มีทิปพิเศษให้ในโอกาสสำคัญที่อำนวยพอดี เช่นใกล้ปีใหม่ ใกล้ตรุษจีน  น้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ  เราไม่ได้เสียอะไรมากมายหรอกครับ แต่มันได้มาซึ่งมิตรภาพที่ดีระหว่างเค้ากับเรา และส่งผลให้เค้าดูแลรถเราเป็นพิเศษ  บางครั้งเค้าอาจจะอารมณ์ไม่ดีอยู่ แต่น้ำใจของเราเล็กน้อยเหล่านี้ก็ทำให้เค้าอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้าง  แล้วเราได้อะไรกลับมาที่คุ้มมาก ๆ ได้ของแถมดี ๆ กลับมาทุกครั้ง  รถผมทั้งสองคัน สองศูนย์นี่นะครับ ตรวจเช็คระยะเสร็จ เค้าจะเอารถผมไปล้างอัดฉีดให้ใหม่เอี่ยมทุกครั้ง  บางทีมีรอยถลอก รอยขนแมวนิดหน่อยเค้าก็เอาไปขัดเคลือบสีให้ฟรี ๆ ก็มีครับ   บางทีนะ ไม่ต้องสรรหาข้าวของอะไรมาเป็นน้ำใจก็ยังได้ เพียงแต่เรารู้จักพูดคุย   เป็นกันเองกับพวกเค้า ให้กำลังใจเค้าบ้าง ก็ทำให้คนเรามีความรู้สึกที่ดีต่อกันแล้วครับ   ยอมเสียเวลาแรก ๆ ไม่กี่ครั้งดูครับ หลัง ๆ พอสนิทกัน ทุกอย่างก็ง่ายขึ้น

ออฟไลน์ adis

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,416
    • อีเมล์
Re: เทคนิคในการนำรถเข้าศูนย์บริการ
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 10:56:45 »
เรื่องที่ 4 ความรู้ของเจ้าของรถ
เมื่อก่อนผมไม่เคยดูคู่มือรถเลยครับ บางอย่างก็รู้มาผิด ๆ อีกต่างหาก  รถพังคามือมาหลายคัน เพราะไม่ได้ให้ความสำคัญ  ข้อนี้สำคัญมากครับ เจ้าของรถควรจะศึกษาคู่มือของรถอย่างละเอียด ต้องรู้ว่าถึงเวลาไหนที่จะต้องเอารถไปเปลี่ยน หรือไปปรับแต่งอะไรบ้าง   เทคนิคคือเมื่อถึงระยะที่ต้องเข้าบำรุงรักษาตามคู่มือ
เราซึ่งเป็นเจ้าของรถ ควรจะมีรายการในมือเราเสียก่อนว่า เราต้องทำอะไรบ้าง  แล้วจึงเอาไปไปเข้าเช็คตามรายการนั้น  ซึ่งทางศูนย์เค้าก็จะมีรายการของเค้าเช่นกัน เอารายการของเราและของเค้ามาชนกันเสียก่อนครับว่าถูกต้องตามคู่มือหรือไม่  ถ้าไม่ตรงกันก็งัดเอาคู่มือมาดูด้วยกันเลยครับ หรือถ้าช่างเค้ามีความเห็นอย่างโน้นอย่างนี้นอกเหนือจากคู่มือ ก็ต้องมีเหตุผลที่รับฟังได้เท่านั้น ถ้าไม่แน่ใจก็อย่าไปทำอะไรนอกเหนือจากคู่มือกำหนดมาจะดีกว่าครับ  ตกลงกันได้ค่อยลงมือให้ช่างเค้าดำเนินการ  และหากระหว่างที่ช่างเค้าดำเนินการใด ๆ แล้วมันมีอะไรที่จะต้องทำเพิ่มเติมขึ้นมา เราต้องตกลงกับเค้าให้ชัดเจนก่อนว่า ไม่ให้เค้าทำอะไรทั้งสิ้นก่อนที่จะแจ้งให้เราทราบเสียก่อนและให้เราตัดสินใจเท่านั้นนะครับ
    ถ้าน้ำมันเครื่องก็แนะนำว่า เราซื้อไปเองจะดีกว่าเอาน้ำมันเครื่องของศูนย์ เพราะของศูนย์เค้ามักจะใช้ถังใหญ่ ที่มันอาจจะมีความชื้นเพราะเปิดใช้หลายครั้งแล้วก็ได้  เราหิ้วแบบแกลลอนไปเองดีกว่าครับ  จะเลือกใช้เกรดไหนก็แล้วแต่ แต่ต้องไม่ต่ำกว่ามาตรฐานที่คู่มือบอกมาก็แล้วกัน
    และหากจะประหยัดค่าบริการในการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแต่ละครั้ง  ถ้าเปลี่ยนน้ำมันเครื่องอย่างเดียวไม่ได้เปลี่ยนใส้กรอง เราก็อาจหาอู่หรือคาร์แคร์ที่ไว้ใจได้ในฝีมือและเครื่องมือของเค้าก็ได้ครับ  ไม่ต้องเอาเข้าศูนย์ทุกครั้งก็ได้  เพราะค่าบริการที่ศูนย์มักจะแพงกว่าครับ
          สุดท้ายที่ต้องทำให้เป็นนิสัยก็คือ เมื่อเค้าส่งมอบรถให้เรา เราจะต้องตรวจให้ละเอียดเสียก่อนทุกครั้งนะครับ  ไม่ต้องไปเกรงใจช่างว่าจะว่าเราจู้จี้  เพราะทำอย่างนี้มันจะสบายใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย  หากพบอะไรผิดปกติก็พูดคุยกันให้จบเสียก่อนครับ  มาพูดกันทีหลังมันไม่ค่อยจะมีประโยชน์เท่าไหร่   แล้วพอเราทำอย่างนี้ทุกครั้ง ช่างเค้าก็จะรู้ว่า เค้าต้องทำให้เราเรียบร้อยทุกครั้ง จะได้ไม่มีปัญหาครับ

    เทคนิค 4 เรื่องนี้ ทำให้ผมสบายใจขึ้นมาก และไม่มีเหตุการณ์ที่ทำให้เสียอารมณ์อีกเลย
ลองนำไปใช้กันนะครับ
 

ออฟไลน์ THEKHAM

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 487
    • อีเมล์
Re: เทคนิคในการนำรถเข้าศูนย์บริการ
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 12:04:11 »
ขอบคุณมากครับ สำหรับเทคนิค ต่างๆ

ผมพอมีทั้ง 4 ข้อเลย ออกรถคันเเรกในชีวิต มา 1 ปี  ผมเข้าศูนย์ไป หลายครั้งเเล้ว

รถมีปัญหาเรื่อยๆ (ขอใช้คำนี้เลย) เเต่ผมรอรับรถตลอด

เคยทิ้งไว้ 2 คืน รอวิเคราะห์อาการ+รออะไหล่เปลี่ยน รถกลับมาก็มาสภาพปกติดีครับ

มาใช้บริการบ่อยจนสาวๆ ฝ่ายเซอร์วิสคุ้นหน้า คุ้นตาอย่างดี

ผมเป็นคนไม่ชอบนั่งรอ จะเดินดูนู่นนี่นั่น สงสัยไรก็ถาม

ศูนย์รถสาขานี้ ใหญ่โตอยู่ครับ ได้มาตรฐานเลย

ล่าสุดเข้าไปอีกผมก็หยอดไป " สงสัยรถผมมันติดใจสาวๆ ที่นี่ "

เล่นเอายิ้มเลย หลังจากตกลงเปลี่ยนอะไหล่นิดๆ หน่อย (ไม่ใช่งานเคลม)

ช่างถามคิดค่าเเรงมั้ยพี่ สาวตอบว่า "ไม่ต้อง" 5555+
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 14, 2012, 12:08:49 โดย THEKHAM »

ออฟไลน์ MC Stradale

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,520
Re: เทคนิคในการนำรถเข้าศูนย์บริการ
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 20:43:30 »
ขอบคุณครับ จะนำเอาไปลองสังเกตุลองปรับใช้ดู แต่ปกติที่บ้านจะไม่ค่อยได้ทำความสนิทกับหัวหน้าช่างหรือใครๆซักเท่าไหร่ แต่จะไปสนิทกับเซลล์ซะมากกว่า ก้ถือว่าไม่แย่ครับ เพราะเค้าก้ช่วยประสานงานได้พอสมควรครับ แต่ก้อีกหละ ผมก้ไม่ชอบที่เวลาเราไปร้องเรียนเรื่องงานซ่อมที่ไม่เรียบร้อยแล้วพนักงานไม่ใส่ใจ

ออฟไลน์ mrtonyocz

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 35
Re: เทคนิคในการนำรถเข้าศูนย์บริการ
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 21:11:09 »
ขอบคุณมากครับ

ออฟไลน์ boyce

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 335
Re: เทคนิคในการนำรถเข้าศูนย์บริการ
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 23:24:23 »
ขอบคุณมากครับ แล้วจะนำไปใช้ ยังไงต่างจังหวัด+รถรุ่นใหม่ ๆ +ไม่ชอบใช้เจ้าตลาด
หาช่างเก่ง ๆ ยาก คงต้องเข้าศูนย์ล่ะครับ

promt

  • บุคคลทั่วไป
Re: เทคนิคในการนำรถเข้าศูนย์บริการ
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: มีนาคม 15, 2012, 08:57:37 »

เรื่องที่ 4 ความรู้ของเจ้าของรถ

เจ้าของรถควรจะศึกษาคู่มือของรถอย่างละเอียด ต้องรู้ว่าถึงเวลาไหนที่จะต้องเอารถไปเปลี่ยน หรือไปปรับแต่งอะไรบ้าง 

น้ำมันเครื่อง เราซื้อไปเองจะดีกว่าเอาน้ำมันเครื่องของศูนย์ เพราะของศูนย์เค้ามักจะใช้ถังใหญ่ ที่มันอาจจะมีความชื้นเพราะเปิดใช้หลายครั้งแล้วก็ได้ 

เราหิ้วแบบแกลลอนไปเองดีกว่าครับ  จะเลือกใช้เกรดไหนก็แล้วแต่ แต่ต้องไม่ต่ำกว่ามาตรฐานที่คู่มือบอกมาก็แล้วกัน

และหากจะประหยัดค่าบริการในการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแต่ละครั้ง  ถ้าเปลี่ยนน้ำมันเครื่องอย่างเดียวไม่ได้เปลี่ยนใส้กรอง

เราก็อาจหาอู่หรือคาร์แคร์ที่ไว้ใจได้ในฝีมือและเครื่องมือของเค้าก็ได้ครับ ไม่ต้องเอาเข้าศูนย์ทุกครั้งก็ได้  เพราะค่าบริการที่ศูนย์มักจะแพงกว่าครับ

ต้องทำให้เป็นนิสัยก็คือ เมื่อเค้าส่งมอบรถให้เรา เราจะต้องตรวจให้ละเอียดเสียก่อนทุกครั้งนะครับ

ไม่ต้องไปเกรงใจช่างว่าจะว่าเราจู้จี้  เพราะทำอย่างนี้มันจะสบายใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย 

ขอตัดเอาเฉพาะข้อความที่ผมทำเป็นประจำ

แค่ ข้อ 4 ข้อเดียว ทำให้ผมประหยัดเงินไปได้หลายบาทครับ

ขับแล้วสบายใจเฉิบ