พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)
เปิดเผยว่า ป.ป.ท.ได้หารือกับนายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมศุลกากร หลังจากตรวจสอบพบว่ามีเจ้าหน้าที่ประจำด่านกรมศุลกากรระดับ 7
ที่ประจำเขตท่าเรือแหลมฉบัง คลองเตย ระยอง ฯลฯ จำนวน 40 คน เกี่ยวข้องกับขบวนการนำเข้ารถยุโรปจำนวน 1,500 คัน
รถมินิคูเปอร์ 600 คัน รถญี่ปุ่น 2,000-3,000 คัน รวมประมาณ 5,000 คัน มูลค่าความเสียหาย 1 หมื่นล้านบาท (3 ปี)
และมีบริษัทที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการนำรถดังกล่าวเข้ามารวม 222 บริษัท ซึ่งน่าเชื่อว่าในจำนวนนี้เป็นการเปิดบริษัทบังหน้าและไม่มีตัวตนจริง
ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท.อยู่ระหว่างการตรวจสอบ
พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าวว่า จากการตรวจสอบบริษัทนำเข้ารถหลีกเลี่ยงภาษีนั้นพบพิรุธหลายประเด็น ทั้งการแสดงราคาซื้อรถยนต์ต่ำกว่าปกติถึง 60%
ซึ่งเป็นไปไม่ได้ บางคันมีประวัติการซ่อมบำรุงทั้งๆ ที่เป็นรถยนต์ใหม่ รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงสกุลเงินจากเงินปอนด์เป็นเงินเหรียญสหรัฐ
และมีการซื้อขายราคาต่ำกว่าความเป็นจริง โดยการตรวจสอบอย่างละเอียดพบว่ามีการทำเป็นขบวนการและมีการปกปิดข้อเท็จจริงในใบสำแดงภาษีให้เป็นเท็จเพื่อนำรถออกมา บางบริษัทแสดงใบขนส่งทางอากาศ แต่ข้อเท็จจริงมีการสำแดงการเสียภาษีนำเข้าทางท่าเรือแทน
ทางอธิบดีกรมศุลกากรได้รับที่จะเข้าไปดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ของตนเอง ซึ่ง ป.ป.ท.ขอให้เจ้าหน้าที่ที่มีรายชื่อทั้ง 40 คน
ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าผลการตรวจ สอบจะแล้วเสร็จ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำรถเข้ามา และ ป.ป.ท.จะส่งรายชื่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ให้ ป.ป.ช. (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) ดำเนินการในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าว
ฐานเศรษฐกิจ
พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)
เปิดเผยความคืบหน้าการตรวจสอบรถยนต์นำเข้าจากประเทศอังกฤษหลีกเลี่ยงภาษีเข้าประเทศไทยว่า
ป.ป.ท.พบข้อพิรุธหลายประเด็น โดยเฉพาะในส่วนของเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรที่ขณะนี้นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมศุลกากรได้แจ้งว่า
ได้มีคำสั่งย้ายเจ้าหน้าที่ 40 คน ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวให้พ้นจากการทำหน้าที่กำหนดราคารถยนต์นำเข้าพร้อมทั้งตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง
สำหรับการตรวจสอบร่วมกับสถานฑูตและผู้ประกอบการในประเทศอังกฤษ เบื้องต้นพบข้อสงสัยโดยบริษัทรถยนต์ในประเทศอังกฤษที่ส่งรถยนต์นำเข้า
จำนวน 120 บริษัท มีหลายบริษัทมีใบนำเข้าสินค้าหรืออินวอย และลายมือชื่อผู้ลงนามไม่ตรงกันขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าบริษัทดังกล่าวมีอยู่จริงหรือไม่
พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าวอีกว่า ส่วนการตรวจสอบบริษัทนำเข้าในประเทศไทยจำนวน 222 บริษัท
ป.ป.ท.สุ่มตรวจสอบบริษัทที่มีการนำเข้ารถยนต์มากที่สุดจำนวน 10 บริษัท พบบางบริษัทกรมธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งปิดกิจการตั้งแต่ปี 2551
แต่กลับพบว่ายังมีการทำธุรกิจนำรถยนต์เข้าจากต่างประเทศอยู่จนถึงปัจจุบัน ขณะนี้กรมสรรพากรกำลังเร่งเรียกเก็บภาษีจากกรรมการบริษัทดังกล่าว
ในส่วนของ ป.ป.ท.จะตรวจสอบบริษัทเหล่านี้เพื่อให้มาเสียภาษีเพิ่มเติม แต่จะยังไม่ใช้วิธียึดรถเพื่อให้ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคน้อยสุด
อย่างไรก็ตามแม้บางบริษัทจะปิดกิจการไปแล้วแต่ป.ป.ท.จะตรวจสอบรายชื่อหุ้นส่วนเพื่อประสานงานให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)
และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เอาผิดตามกฎหมายฟอกเงินและคดีแพ่งต่อไป
สำหรับรถยนต์ที่นำเข้ามาในประเทศและอยู่ระหว่างรอจำหน่าย ป.ป.ท.จะดำเนินการอย่างไร
พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าวว่า เบื้องต้นจะตรวจสอบรายชื่อบริษัทที่นำเข้าว่ามีชื่ออยู่ในบริษัทต้องสงสัยของป.ป.ท.หรือไม่
โดยเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องมีตั้งแต่ข้าราชการระดับ 7 เช่น นักวิชาการกรมศุลกากร ระดับชำนาญการ ไปจนถึงเจ้าหน้าที่พิมพ์เอกสาร
โดยเอกสารนำเข้ารถยนต์ 1 ใบ จะมีเจ้าหน้าที่อย่างน้อย 3 คนลงนามรับรองความถูกต้องของเอกสาร
ส่งผลให้มีเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเอื้อประโยชน์ให้กับการสำแดงเท็จนำเข้ารถยนต์กว่า 100 คน
จากการตรวจสอบพบเจ้าหน้าที่ศุลกากร 1 ราย เซ็นอนุญาตนำเข้ารถยนต์ราคาต่ำกว่าความเป็นจริงมากกว่า 200 คัน
ผู้สื่อข่าวถามพฤติกรรมการฟอกเงินของบริษัทในต่างประเทศ พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าวว่า
จากการตรวจสอบร่วมกับทางการประเทศอังกฤษพบว่ามีพฤติกรรมฟอกเงินจริง เบื้องต้นอังกฤษตรวจสอบพบว่ามีบริษัท 10 แห่งที่ไม่มีตัวตนจริง
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่าบริษัทที่นำเข้ารถจดประกอบและรถยนต์เลี่ยงภาษีเพียงบริษัทเดียวมีการนำเข้าสูงสุด 200 คันต่อเดือน
โดยมีการหลีกเลี่ยงภาษีคิดเป็นมูลค่ากว่า 800 ล้านบาท
เนชั่น
สรุปคือ
1. สำหรับผู้บริโภคที่ซื้อรถยนต์เลี่ยงภาษีเพราะอาจจะไม่ได้จงใจ ศุลกากรจะไม่ทำอะไร ไม่ยึดรถคืน
2. สำหรับผู้ประกอบการที่เจตนาเลี่ยงภาษี จะเรียกเก็บภาษีย้อนหลังกับกรรมการบริษัท และอาจจะเอาผิดทางกฎหมายต่อไป แต่แค่ คดีแพ่ง