ขอลองรีวิวครับ จากการใช้รถมาได้ครึ่งปี เลยจะมาแชร์ความเห็นนิดหน่อยครับ
เนื้อหารายละเอียดไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใช้สอย ดีไซด์ หรือวิศวกรรมยานยนต์ของ S60 คงทราบกันดีอยู่แล้วจาก Full Review ของคุณจิมมี่
รีวิวของผมคงเกี่ยวกับปัญหาเล็กน้อยที่พบเจอหลังจากการใช้รถครับ
ก่อนอื่นขอเล่าที่มาในการตัดสินใจซื้อรถคันนี้นิดนึงครับ ตอนที่จะซื้อนั้นเป็นช่วงปลายปี11 ซิ่งตอนนั้นมีอีก 2ตัวเลือกคือ 320D และ C200 kom ส่วนโจทย์ในการซื้อคือ รถที่ภรรยาใช้เป็นหลัก และตัวเองใช้เป็นบางครั้ง เพราะฉะนั้นช่วงล่างจะต้อง comfort พอสมควร ส่วนความแรงนั้น 3 ตัวนี้แรงพอๆกันคือที่180 แรงม้า จริงๆตอนแรก S60 จะไม่อยู่ในตัวเลือกเลยถ้าไม่ได้อ่านรีวิวของคุณจิมมี่ในตัวเครื่อง 2พันก่อน บวกกับฟรี maintenance 5ปี เลยทำให้ตัวเลือกนี้ขึ้นมาอยู่ในใจลำดับต้นๆเลย หลังจากที่ลอง test drive ทั้ง3คัน ผลที่ผมสรุปมาเป็นดังนี้ครับ
320D – ราคาสูงสุด 2.9ล้าน (รวมชุดแต่ง M3) เรื่องความแรงอัตราเร่งผมปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ถ้าผมซื้อขับเองผมเลือกตัวนี้ชัวร์ แต่เนื่องจากคุฅณภรรยาขับ เลยรู้สึกว่าช่วงล่างแข็งไปนิด (ตามสไตล์บีเอ็มครับ)
C200 – ราคา2.8ล้าน ตัวนี้ขับแล้วไม่ได้รู้สึกอะไรพิเศษครับ ได้คุณภาพตามมาตราฐานเบนซ์ทุกอย่าง เรียบหรู ช่วงล่างนุ่มสบายอัตราเร่งดีไม่หวือหวามาก ข้อเสียเปรียบอย่างเดียวที่เป็นข้อใหญ่คือไม่มีฟรี Maintenance เมื่อเทียบแล้วก็ยังเลือกบีเอ็มอยู่
S60 –ราคา2.15ล้าน ความรู้สึกไม่ต่างจากขับเบนซ์ ส่วนตัวแล้วกลับรู้สึกว่าห้องโดยสารเงียบที่สุดในทั้ง 3รุ่น เบาะนั่งสบายสุด อัตราเร่งดีมากเมื่อเทียบว่ามันเป็นแค่เครื่อง1.6 เท่านั้น ระบความปลอดภัยที่ให้มาเยอะกว่า บวกกับโปรแกรมฟรี Maintenance 5 ปี เลยทำให้ตัดสินใจไม่ยากเลย ข้อเสียอย่างเดียวที่ผมไม่ชอบคือมันขับเคลื่อนล้อหน้า แต่สิ่งที่ได้มาโดยรวมก็ถือว่าทดแทนได้โดยเฉพาะระบบความปลอดภัย
สรุปเลยจับ S60 มาด้วยความคิดที่ว่าคุ้มค่ากับราคาและความต้องการมากที่สุด ซึ่งตัวที่เลือกคือ S60 1.6 DRIVe S สี ICE WHITE บวกชุดแต่งสเกิร์ตรอบคันพร้อมปลายท่อคู่ ออกกับเซลล์ที่ศูนย์พระราม 2แต่รับรถที่ศูนย์ลาดพร้าวครับ



รายการแต่งภายนอก
1.Wrap หลังคาดำเงา ให้เหมือนหลังคาแก้ว
2.Wrap ดำด้านโลโกตรงกระจังหน้า สเกิร์ตรอบคัน (ตรงไหนเป็นโครเมี่ยมผม wrap หมดครับ เพื่อความสปอร์ต)
3.Wrap ฟิล์มดำที่ไฟท้าย
4.เปลี่ยนแมกซ์ HRE MATT BLACK 19 นิ้ว + ยาง DUNLOP 245, 35 R19
ทีนี้เข้าเรื่องการใช้งานในส่วนของภายในนะครับ ถือว่าเป็นคำติเล็กน้อยจากผู้ใช้ครับ

การตกแต่งภายในเรียบหรูสไตล์สแกนดิเนเวี่ยน โดยเฉพาะคอลโซลกลาง แต่แอบไม่ชอบหัวเกียร์นึดนึงครับตรงที่วัสดุสัมผัสมันด้านไปหน่อย คือไม่แน่ใจว่าวัสดุอะไร อารมณ์เหมือนหนังผสมพลาสติก


เบาะหนังนุ่มแน่นกำลังดี บวกกับการออกแบบรูปทรงของเบาะให้รับกับสรีระ ที่ดันเบาะด้านหลังและปีกเบาะ ทำให้นั่งแล้วรู้สึกกระชับตั้งแต่หลังอ้อมมาจนถึงเอว เป็น sport + comfort ที่ลงตัว สำหรับผมปัญหาอย่างเดียวที่เจอคือเปื้อนง่ายมากครับ ต้องใช้น้ำยาทำความสะอาดเบาะอย่างน้อยเดือนละครั้ง


ต่อมาครับ เป็นเรื่องงานประกอบภายใน
การเก็บงานของผ้าบุเพดานในรถเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบที่สุดในรถคันนี้ คือ ปล่อยปลายไม่พับเก็บขอบเข้าไป สามารถเอานิ้วล้วงไปข้างในได้หน่อยนึง ทั้งแนวกระจกหน้าและหลังเลยครับ อันนี้ไม่ใช่ defect นะครับ เป็นทุกรุ่นแม้แต่ S80
ก้านไฟเลี้ยวและที่ปัดน้ำฝน เป็นพลาสติกประกบกันซึ่งผมว่าไม่เรียบร้อยอย่างที่ควรจะเป็น จะเป็นแนวขอบพลาสติกคมๆตรงที่ชี้ลูกศรทั้งแนวก้านเลยครับ (ไม่คมขนาดบาดนิ้วนะครับ แต่เป็นขอบให้รำคาญใจเฉยๆ)

อีกจุดหนึ่งที่ใช้ยากคือ การปลด Shift Lock เวลาจอดเพื่อเข้าเกียร์ว่าง ต้องเปิดแผ่นยางด้านหลังคอนโซลกลางออกก่อน แล้วค่อยเอาใส้กุญแจเสียบเข้าไปในรูตามรูปครับ ทุกวันนี้ผมก็ไม่ได้ใช้ครับ หาที่จอดในซองตลอด

ที่เปิดฝากระโปรงหน้าอยู่ที่พื้นฝั่งคนนั่ง จะเปิดทีไรต้องลุกออกไปฝั่งที่นั่งข้าง เอื้อมจากฝั่งคนขับไม่ถึง (ถามเซลล์ก็ไม่รู้ทำไมไปอยู่ตรงนั้น)

มาดูการพื้นที่ใช้งานด้านหลังกันบ้าง พื้นที่จุของเยอะครับแต่เน้นไปทางลึก กว้างกำลังดีแต่ไม่อาจพูดได้เต็มปากได้ว่าใส่ถุงกอล์ฟได้

สำหรับคนเล่นกอล์ฟอย่างผมแล้วถ้าพูดว่าใส่ถุงกอล์ฟได้ต้องหมายถึงใส่แนวขวางได้ทั้งใบครับ ในกรณีนี้ถ้าจะใส่ต้องรื้อคอนโดรองเท้าของภรรยาออกก่อน แล้วค่อยทิ่มถุงกอล์ฟเข้าไปในสุดแล้ววางเฉียงออกมา
ฝาปิดช่องเติมน้ำมันก็เป็นอีกอันที่เด็กปั๊มชอบบ่นว่าวางยาก วางทีไรหล่นห้อยลงมาทุกที วิธีวางต้องวางบนร่องที่เตรียมไว้แล้วหมุนบิดเกลียวเหมือนหมุนปิดฝาเข้าไปจึงจะอยู่

ที่ปัดน้ำฝนด้านคนขับยกขึ้นค้างไม่ได้ (หรือมันต้องมีวิธียกก็ไม่รู้) คือพอยกขึ้นนิดหน่อยโคนก้านปัดน้ำฝนก็จะติดขอบฝากระโปรงรถแล้วครับ
เรื่องอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน
เนื่องจากรถคันนี้สามารถเติม E85 ได้ แต่ก็ต้องมีหลักการเติมนิดนึงเมื่อใช้ผสมกับน้ำมันอื่นเช่น E20หรือE10
1.ให้เติมน้ำมันให้มากกว่าปริมาณน้ำมันที่เหลืออยู่ในถัง
2.หลังจากเติมแล้วให้ใช้รถต่อไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง ห้ามดับเครื่องก่อน
หากไม่ทำตาม 2ข้อนี้ไฟ engine อาจเตือนได้เมื่อเติมน้ำมันชนิดอื่นที่ไม่ใช่ชนิดเดียวกันในถัง (ข้อมูลนี้ได้มาจากช่างประจำศูนย์ตอนรับรถน่ะครับ)

จากรูปครับ น้ำมันที่ใช้คือ E85 ใช้ในเมืองล้วนๆ ที่เรือนไมล์จะโชว์อยู่ที่ 18.3 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือที่ 5.5 กิโลเมตรต่อลิตรครับ
จากตัวเลขแล้วดูกินน้ำมันสุดๆ ตอนแรกก็ไม่เชื่อครับเลยลองจับเลขกิโลเองแล้วเช็คจากน้ำมันที่เติม ก็ได้ที่5.6 กิโลเมตรต่อลิตรครับ
ส่วนน้ำมันตัวอื่นไว้จะหาโอกาสลองอีกทีครับ
เรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องพึงระวังเกี่ยวกับการใช้ระบบ Adaptive Cruise Control with Queue Assist ของรถคันนี้ เนื่องระบบนี้รถสามารถเร่งและชะลอความเร็วเองได้โดยใช้ Sensors จับที่รถคันหน้า ปัญหาที่เกิดคือเมื่อใช้ระบบนี้ในจังหวะที่รถเข้าโค้งที่เป็นโค้งค่อนข้างแคบ เมื่อรถคันหน้าชะลอความเร็วเพื่อเข้าโค้ง ระบบจะสั่งให้รถลดความเร็วตามคันหน้าซึ่งทำให้ความต่ำกว่าความเร็วที่ตั้งไว้ตอนแรก ในจังหวะต่อมาที่รถคันหน้าเริ่มหลุดโค้งแล้วเร่งความเร็วออกจากโค้ง ในจังหวะนั้นรถคันหน้าจะหลุดจากแนวSensor ทำให้รถเข้าใจว่างด้านหน้าว่างแล้ว แล้วรถก็จะเร่งความเร็วขึ้นเองเพื่อที่จะทำความเร็วให้ถึงความเร็วที่ตั้งไว้ตอนตั้ง Cruise Control ในจังหวะที่รถเราอยู่ในโค้ง ซึ่งเป็นอัตราเร่งที่สูงพอที่จะทำให้รถหลุดโค้งออกไปได้ จึงเป็นจังหวะที่ผู้ขับขี่ต้องคอยระวังหรือปลดล็อคระบบCruise Control ก่อนเข้าโค้งเพื่อความปลอดภัย
ถึงแม้ระบบที่ออกแบบมานั้นจะอำนวยความสะดวกให้ผู้ขับขี่ แต่ระบบคอมพิวเตอร์นั้นคงไม่สามารถใช้ได้ในทุกสถานะการณ์ ยิ่งเป็นระบบที่ออกแบบมาตามมาตราฐานของต่างประเทศ การนำมาใช้ในบ้านเรานั้นยิ่งต้องระมัดระวังการใช้งานยิ่งขึ้นเนื่องจากสภาพถนนและการใช้งานบ้านเรานั้นมีความแตกต่างกัน
สรุป ถึงแม้จะมีข้อติบ้างจากการใช้งาน แต่ล้วนเป็นจุดที่ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร การใช้งานจริงถือว่าเป็นรถที่สรรถนะดีรวมถึงระบบอำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัยที่มีแค่ Volvo ที่มี สำหรับผมแล้วถือว่าตอบโจทย์กับความต้องการของผมมากที่สุด ณ เวลานี้ครับ
ขอจบรีวิวเบื้องต้นไว้เท่านี้ครับ หากมีข้อติอย่างเราเกี่ยวกับข้อมูลที่ให้ หรือการใช้คำพูดผิดกฏของบอร์ด รบกวนแจ้งผมด้วยครับ จะได้แก้ไขครับ
ฝากรูปไว้ด้วยครับ


