สวัสดีครับเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆทุกท่าน ผมเขียนรีวิวนี้เป็นครั้งแรก หลังจากที่ตั้งใจว่าจะทำมานานแล้วแต่ยังไม่มีเวลาซักที การเขียนครั้งนี้จะเป็นการเขียนจะประสบการณ์จริงๆในการใช้รถ อาจจะไม่ตรงกับความคิดเห็นคนอื่นบ้าง มีข้อความไม่ถูกใจใครบ้าง หรือโม้เกินจริงไปบ้าง ผมก็ขออภัยไว้นะที่นี้
รถที่จะทำการรีวิวในครั้งนี้คือ Toyota Corolla Altis 1.8 E 2010 Dual vvti CVT
ก่อนจะพูดถึงรถคันนี้ ผมขอเล่าถึงประสบการณ์การใช้รถของผมก่อนนะครับ ว่าที่ผ่านมาใช้รถอะไรมาบ้าง รถที่ผ่านมือมานั้น สามารถเป็นbenchmark ในการเปรียบเทียบกับคันปัจจุบันได้
Kia Sportage 1998 (USA) คันนี้เป็นรถมือ8 สภาพเหมือนผ่านสงครามโลกมาแล้วสองครั้ง ได้มาหลังจากได้ไปขับขี่ตอนสมัยเรียนhigh school ตอนนี้ยังเลือกรถไม่เป็น โดนเค้าหลอกมาเต็มๆ กุญแจได้มาสาม 3 ดอก ดอกแรกไว้สตาร์ทรถ ดอกที่สองไขเข้าฝั่งคนนั่ง ดอกที่สามเข้ารถด้านคนขับ การขับขี่ไม่ต้องพูดถูก เลวร้ายมาก โดยเฉพาะหน้าหนาวหิมะตก ขึ้นเนินไม่ไหว ขับเกิน20นาทีมีกลิ่นเหม็นไหม้ อัตราเร่ง0-100 รอเป็นชาติ ผมได้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนับครั้งไม่ถ้วนกับรถคันนี้ ครั้งแรกเบรคล๊อคด้านหลัง เนื่องจาก brake pad ในdrum brake ด้านหลังมันหมดสภาพ หลุดมาขัดกับตัวเบรคทำให้ล้อล๊อค ครั้งนั้นจำได้ ว่าหมุน 360องศากลางถนนhighway แล้วรอดตายได้อย่างหวุดหวิด รถคันนี้ผมสันนิฐานว่าน่าจะมีพลังงานบางอย่างสิงสถิตอยู่ครับ มีครั้งนึงเคยแกะแผงประตูมาซ่อมกลอน พบว่ามีคราบเลือดติดอยู่ด้านในฝั่งคนขับ หลอนเลยครับตอนนั้น
Toyota Yaris Sedan 2007 (USA) คันนี้เป็นคันแรกที่ซื้อมาเป็นมือหนึ่ง เนื่องจากต้องขับรถทางไกลบ่อยขึ้น ต้องการรถที่ไว้ใจได้ ไม่พังกลางทาง และปลอดภัยในระดับ แน่นอนครับ อัตราเร่งต่างกันฟ้ากับเหว ช่วงล่างก็ดีขึ้นกว่าคันแรกมาก พวงมาลัยก็คล่อง กระชับมือกว่าเยอะ ทำให้ผมไม่วิตกจริตเวลาขับรถ สุขภาพจิตดีขึ้น แต่ก็ไม่มีอะไรน่าจดจำ ตื่นตาตื่นใจมากนัก เว้นแต่ service ห่วยๆของช่างที่นู่น ครั้งนั้นทำให้ผมเสียเงินเสียเวลาไปเยอะ เพียงเพราะการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแล้วขันปะเก็นแน่นไปจนเกลียวพัง ทำให้น้ำมันเครื่องรั่วออกมาหมด ตอนนั้นขับไปก็ไม่รู้เรื่อง แถมพยายามสตาร์ทเครื่องแล้วไปต่อ จนได้เรื่องครับ เปลี่ยนเครื่องเลย
กลับมาไทย ก็ยังได้ใช้ Toyota เป็นVios 2009 1.5 E เหมือนตัวที่เคยใช้ ต่างที่อุปกรณ์เสริม ที่ตัดออกไปเยอะพอสมควร ไม่มี cruise control, aux, พวงมาลัย multifunction, เบาะพับได้แบบ 60:40การเก็บเสียงสู้ตัวUSไม่ได้ แถมช่วงล่างตัว US รู้สึกว่าน่าจะดีกว่าด้วยซ้ำ โช้คอัพที่นู่นหนืดกว่าพอสมควร
ปัจจุบันมี Mazda 2 1.5 Spirit 2011 ใช้ควบคู่กันไปอีก1คันครับ
กลับมาพูดถึงคันปัจจุบัน Altis 1.8 E 2010 ตอนนั้นมีตัวเลือกมากมายอยู่ในใจ ไม่มียี่ห้อ Toyota อยู่ในหัวแม้แต่นิดเดียว เพราะไม่ชอบการขับขี่ หน้าตา อุปกรณ์ ความสบายในการนั่งโดยสาร ความต้องการในตอนนั้นคือ อยากได้รถที่ใหญ่ขึ้น นิ่งขึ้น ไม่ปวดหลังเวลาขับทางไกล ตัวเลือกแรกคือ Mazda 3 แต่ด้วยความที่ครอบครัวคัดค้าน คนรอบข้างไม่สนับสนุน กินน้ำมัน อะไหล่แพง ไม่ทนบ้าง เครื่องไม่ดีบ้าง เหมือนท่องจำกันเป็นสูตรคูร ผมจึงต้องจำใจตัดทิ้งไป Lancer Ex 1.8 จึงเป็นอีกตัวเลือกนึงที่ข้ามไปทันที เนื่องจากสถาณการณ์ลูกลอยในเวลานั้นยังไม่น่าไว้วางใจ BMW E46 ตอบได้ทุกความต้องการ ชอบที่สุดในบรรดารถที่เคยลองมา เป็นรถในฝันจริงๆ แต่กลัวการบำรุงรักษาบวกกับเข็ดแล้วกับรถมือสองเลยตัดทิ้ง ผมเลยเลือกจอง Honda Civic FD e as เนื่องจากได้ขายรถคันเก่าไปแล้ว จึงต้องรีบรับรถใหม่ ผมจึงเลือกศูนย์บริการที่สัญญาว่าจะได้รถภายในเดือนนึงหลังจอง เวลาผ่านไปเดือนนึง ผมจึงโทรเข้าไปเช็ค เซลล์ก็บอก รถมาแล้ว กำลังติดเซนเซอร์ ของแถม รับรถได้ภายใน3วัน จนเป็นอาทิตย์ผ่านไป โทรไปก็มีอยู่มุขเดียว รถมาแล้ว รออีกวันนึง กำลังติดฟิล์ม ทำให้ผมขอยกเลิก และไปจองAltis แทนในที่สุด ซึ่งปัจจุบัน ผมก็ยังไม่ได้เงินจองคืนจากศูนย์นั้นเลย แถมเมื่อก.ค. 2012 ที่ผ่านมาก็ยังโดนศูนย์ honda อีกที่นึงใช้มุขเดิมกับรถ civic fb รวมทั้งสิ้น hondaติดเงินจองรถผมอยู่ 10,000นะจ๊ะ แต่ไม่เป็นไรครับ เข้าใจว่าชอบให้ผ่อน พอจะซื้อสด เลยไม่อยากขายให้
ยืดยาวไปหน่อย เข้าเรื่องเลยละกัน พอหลังจากได้รถaltis มา ผมก็พบว่า ชิบ-าย (ไม่ได้ลองรถเลย เพราะตอนนั้นสถานการณ์มันบังคับแล้ว) มันไม่ได้ขับดีขึ้นไปกว่า vios คันเก่าซักเท่าไหร่เลยนะ จริงอยู่มันคันใหญ่ขึ้น กว้างขึ้น แต่การอาการปวดหลัง เกร็ง ตูดขมิบเวลาเข้าโค้งมันยังอยู่ครบ ทำให้ผมสงสัยว่า เวลาToyota เค้าผลิตรถยนต์ เค้าเคยลองนั่งขับรถตัวเองนานๆมั้ย ซึ่งอาการปวดหลังน่าจะมาจากเบาะรองขาที่สั้นมาก พนักพิงไม่กระชับตัว ที่รองตูดแหงนขึ้นทำมุมสูงเกิน ทำให้ภาระน้ำหนักทั้งหมดไปลงที่หลังส่วนล่าง ผมพบว่าอาการนี้เกิดขึ้นในรถToyota ทุกรุ่นของที่บ้าน คือ Vios 2009, Camry 2005 นอกจากเบาะที่นั่งไม่สบายแล้ว ที่วางแขนและระยะพวงมาลัยก็ยังมีปัญหาสำหรับผมอีก ผมสูง 182 หนัก 82 ไม่สามารถวางแขนบนที่พักแขนเลยได้สักข้าง การเดินทางไกลนั้นเมื่อยแขนมากครับ ไหนจะต้องนั่งจับพวงมาลัยที่มันพยศอีก ที่วางเท้าซ้ายสำหรับเกียร์ออโต้นั้นไม่มีเป็นชิ้นเป็นอันเหมือนชาวบ้านเขาครับ ให้มาเป็นติ่งๆ โผล่มานิดนึง ไม่รู้ว่าออกแบบมาให้คนขาซ้ายด้วนรึเปล่า เพราะผมไม่รู้จะเอาไปวางที่ไหนจริงๆ จึงต้องงอไปตลอดทาง สรุปท่านั่งขับขี่ที่สบายนั้น ต้องมีสรีระแบบลิงชิมแพนซีครับ ขางอๆ หลังค่อมๆ แขนยาวๆหน่อยนะ สบายยยยยยยย
วัสดุภายในยังไม่ดี เบาะหนังสังเคราะห์สีเบจอ่อน เบาะหลังยังพับแบบ60/40ไม่ได้ ซึ่งเสี่ยวมากในความคิดผม ถ้าอยากได้เบาะสีดำจากAltis ต้องรอออกตัว TRD หรือขยับขึ้นไปเล่นตัว2.0 ซึ่งเป็นรู้กันว่าอะไรที่Toyotaจับมารมดำ จะมีราคาแพงขึ้นไปอีก สัมผัสของหนังนั้นค่อนไปทางแข็ง เพิ่มความไม่สบายในการนั่งเข้าไปอีกฮ่วย วัสดุต่างๆ บ่งบอกถึงความพิถีพิถันในการลดต้นทุนมาจากโรงงาน มีบอร์ดแห่งอนาคต(ฟิวเจอร์บอร์ด)เป็นแผ่นที่ปิดท้ายรถ สายไฟระโยงระยางในกระโปรงท้ายถ้าไม่อยากเห็น DIY ที่ปิดเองด้วยงบ 300บาท การประกอบภายในวิ่งๆไปมีเสียงออดแอดอยู่บ้าง แก้ได้โดยถอดชิ้นส่วนต่างๆออกมาแล้วยัดเทป3mกันกระแทกเข้าไป กันชนหน้าด้านนอกห้อยต่องแต่งทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไร แก้ได้โดยใช้บาทางัดข้างใต้แล้วใช้มือยันกันชนเข้าไปที่เดิม หน้ากระจังด้านล่างมีหลุดบ้างเวลาวิ่งบนบูรพาวิถีแล้วเจอลมแรงๆ ครั้งนึงลมแรงมากพัดผ้าขี้ริ้วจากรถกระบะคันหน้าเข้ามากระแทกกันชน ทำให้ผมต้องขับกลับบ้านพร้อมกลับผ้าขี้ริ้วและกระจังหน้าผลุบเข้าไปอยู่ด้านใน จนต้องรื้อแล้วใส่กลับไปใหม่แบบทำไปขำไป
การขับขี่ด้วยความเร็ว รถยังมีความเป็นToyota อยู่ครบ ยิ่งเวลาขับบนถนนบูรพาวิถี จะพบได้ว่ารถมันอยากจะบิน ดิ้นซ้ายดิ้นขวา แต่รู้สึกได้ว่ายังหนักแน่นกว่า vios คันเก่าอยู่พอสมควรด้วยขนาดแล้วน้ำหนักตัวที่มากกว่า พวงมาลัยคือหนึ่งในเรื่องที่น่าหนักใจ เพราะมันจะทำให้คุณเหนื่อยล้าได้ง่ายๆ การเกร็งแขนจับพวงมาลัย มีสมาธิตลอดเวลาจึงจำเป็นอย่างมาก เดินทางไกลเกิน2 ชั่วโมง ถ้าเลือกได้ผมคงไม่อยากเอามันไปเท่าไหร่
หลังจากที่หาข้อมูล ผมจึงตัดสินใจลอง ใส่ล้อ 215/45/17 กับ springs Tein H-Tech สีทอง ค้ำโช้ค Summit โดยหวังว่ารถมันจะนิ่งขึ้น อาการโยนตัวลดลง ไว้ใจได้มากขึ้น
ผลที่ได้ก็ดีขึ้นครับ เวลาโดนลมก็โอเค ส่ายน้อยลง เข้าโค้งได้ดีขึ้น แต่ยังไม่สุด เพราะจังหวะขึ้นลงเนิน ยังเป๋ น่าหวาดเสียว กระเด้งกระดอน อาการพวงมาลัย วอกแวก เบา แถมไม่แม่นยังอยู่ครบ จึงตัดสินใจทดลองสตรัทปรับเกลียว ผมได้ลองsilver's ซึ่งเด้งมหาประลัย แต่ขับมันส์มาก ปรับดีๆก็น่าจะขับสบายขึ้น แต่อาการเสียงดัง สปริงเคลื่อนที่จนครูดกับกระบอก เข้าไปแก้ 5 ครั้งไม่จบ ผมจึงจำเป็นต้องถอดคืนร้านเค้าไป ซึ่งต้องยอมรับว่าบริการดี และ เป็นธรรมกับลูกค้าครับ
ชุดที่สองจึงตัดใจซื้อ tein super street ซะเลย แพงแต่น่าจะจบ คราวนี้ก็จัดเต็ม ใส่rigid collarsเข้าไปเพิ่ม ขับได้มันส์ขึ้น จัดเต็มทุกโค้งจนเสียนิสัย มีความสุขในการขับรถมากขึ้น แต่ความสบายก็หายไปเยอะครับ แน่นอนมันกระด้างมากขึ้น ดีดเด้งๆบ้างถ้าปรับอ่อนก่อน แข็งเกินก็กระแทกอีก ตับไตใส้พุงเดือดร้อน ครั้งนึงพ่อเคยนั่งกระบะVigoแล้วลงมานั้งรถผมต่อทันทียังบ่น บอกว่าvigo นุ่มกว่าเยอะ ขอกลับไปนั่งvigoได้มั้ย ผมปรับแข็งอยู่นานหลายเดือน ทำให้อาการปวดหลังมันกำเริบ จึงต้องเพลาๆความมันส์ลงมาบ้าง แถมต้องเสียเงินไปหาหมอ chiropractor เพื่อรักษาอาการปวดหลังอีก เข็ดเลยครับ ตอนนี้จึงต้องเดินทางสายกลาง ไม่ห่วงแต่ความสนุขอย่างเดียว
หลังจากบรรยายสรรพคุณไปมาก จุดที่มันยังแก้ไม่ได้เหมือนเดิมก็คือ พวงมาลัยไร้ความรู้สึก เวลาหมุนเหมือนมันจะรออยู่1วิ ก่อนจะเลี้ยวตาม อารมณ์มันเหมือน "เฮ้ยมึงรอกูแปบนะ เด๋วกูขอคิดก่อน" บั่นทอนความสนุกในการขับขี่ลงไปเยอะ ผมเข้าใจว่า Altis เป็นรถที่ทำมาเพื่อครอบครับ ให้ใช้ได้ยาวๆ มีอะไหล่รองรับ เป็นยานพาหนะพาคนทุกคนไปถึงที่หมาย แต่อยากขอความกรุณา Toyotaว่า คราวหน้าใส่ใจในตัวสินค้าของพวกคุณหน่อยนะ รถแบบนี้ไม่จำเป็นต้องหน้าเบื่อ ไร้สีสัน ต้นทุนและความสามารถที่มี บริษัทคุณทำได้สบายๆอยู่แล้ว เข้าใจว่าทำเพื่อความต้องการของตลาดส่วนใหญ่ สงสัยเหมือนกันทำไมคนส่วนใหญ่ถึงชอบนะ ให้การขับขี่มันแย่แค่ไหนก็ยังมีคนซื้อ รวมถึงผม
จุดนี้ทำให้โดยรวม ผมยังไม่พอใจในการขับขี่ของรถคันนี้ แต่ก็แลกมาด้วย แอร์เย็นๆของศูนย์บริการ ความรวดเร็วในการซ่อมบำรุง ความสบายใจของคนรอบข้าง และศูนย์บริการที่มีสาขาเยอะเหมือน7 Eleven
ข้อเสียผมก็ดันร่ายมาซะยาว แต่เดี๋ยวจะหาว่ามานั่งดาToyotaซะหมด ข้อดีของรถคันนี้ก็มีครับ แถมมันดีมากๆด้วย นั่นก็คืออัตราเร่ง และความประหยัด เรื่องอัตราเร่งผมไม่สามารถพูดเป็นตัวเลขได้ แต่บอกได้ว่าทันใจ สบายมากๆ เวลาแซงสิบล้อ ถนนสองเลนต่างจังหวัด ไม่เคยต้องลุ้นครับ เพราะมันไหลได้ต่อเนื่อง และไม่ต้องเผื่อเยอะเหมือนคันอื่นๆที่เคยขับมา ความประหยัด ผมทำการทดลองด้วย แก๊สโซฮอล 95ได้่ระยะทาง 564.7 กม. ยังเหลือน้ำมันอยู่อีก1ขีด ไฟเตือนยังไม่ขึ้น เติมกลับเข้าไป 40.371ลิตร เฉลี่ยได้ 13.99 กม./ลิตร ความเร็วเฉลี่ย120-140บ้าง เจอรถติดบ้าง รวมๆแล้วถือว่าน่าพอใจสำหรับผมมากครับ ขับดีๆ ตั้งใจให้ประหยัด ทำได้ 15-16 กม./ลิตรก็ไม่ใช่เรื่องยากครับ ความสะดวกสบายในการซ่อมบำรุงง่ายมาก รื้อเองก็ง่าย อะไหล่เพียบ เข้าศูนย์เปลี่ยนน้ำมันเครื่องที่Toyota กรุงไทย รามอินทรา กม.9 ใช้เวลาแค่ชั่วโมงนึงก็เสร็จ ในขณะที่ศูนย์mazda บางครั้งต้องทิ้งรถไว้แล้วรอเป็นวัน ขับไปไหนเพื่อนเยอะ อุ่นใจได้ว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
สุดท้ายผมขอจบการรีวิวไว้เพียงเท่านี้ ในฐานะที่เป็นลูกค้าToyotaมาหลายรุ่น ผมไม่ได้มีเจตนาจะว่าร้ายหรือลำเอียงเข้าข้างแบรนด์อื่นแต่อย่างได้ ถ้าสิ่งที่เขียนไปไม่เหมาะสม หรือ ไม่สุภาพ ขออภัยไว้นะที่นี้ครับ