[สวนกระแสรถป้ายแดงคันแรก] ขออวดรถระดับที่ มีไม่มากในประเทศนี้ ที่จะได้เป็นเจ้าของหน่อยครับ
ตั้งหัวข้อชวนดราม่าเพื่อเรียกร้องความสนใจงั้นเองแหละครับ แฮะๆ จริงๆแล้ว รถที่จะเอามาโช ไม่ใช่รถหรู รถแนว หรือรถป้ายแดงแต่อย่างใดครับ ตรงข้าม มันคือรถเก่ามากกกกกกกกกกกก อายุอานาม 20ปีพอดิบพอดี ได้มาเป็นมรดกตกทอดจากคุณพ่อครับ แกดูแลรถคันนี้ดีมากๆ (บางครั้งดีกว่าลูก TT) คือจริงๆผมคงไม่มีทางได้คันนี้มาเป็นเจ้าของหรอกครับถ้าไม่ใช่ว่า ทั้งบ้านรวมหัวกันไซโคให้พ่อขับรถใหม่ได้แล้ว ห่วงเรื่องความปลอดภัย (ปีนี้แกอายุ 63ปีแล้วครับ แต่ด้วยความที่แกบ้างาน อยู่เฉยไม่ได้ ต้องทำงานตลอด7วันต่อสัปดาวันละ8-12ชม แถมที่ทำงานของท่านก็อยู่โน่น สมุทธสาคร ไม่ห่วงก็แปลกแล้วครับ)
คือ รถคันนี้มีความหลังมากมายครับ มันเป็นรถป้ายแดงคันแรกของครอบครัวเรา แล้วก็ได้มาในช่วงที่อยู่ในช่วงจุดเปลี่ยนที่สำคัญมากๆของชีวิตของท่าน จำได้ว่าตอนนั้นผมอายุ7ขวบย่าง 8ดีใจมากที่ครอบครัวของเรามีรถป้ายแดงเหมือนคนอื่นๆซะที แอบปลื้มด้วยที่รถคันนี้ มี วิทยุ+เทปคาสเซต,กระจกไฟฟ้า 4ที่นั่ง ,Central lock, ตู้เย็น (คือ ต้องเข้าใจด้วยว่า 20ปีที่แล้วนั้นอุปกรณ์ที่ว่า มันไม่ใช่อุปกรณ์พื้นฐานเหมือนเดี๋ยวนี้ โดยมากต้องเป็นพวก รถรุ่นใหญ่สุดของแต่ละค่ายที่ขายในไทย มันถึงจะมีมาให้ กระจกจะเปิดทีต้องหมุนเอง lock แต่ละครั้งต้องนั่งไล่กดเอาเองทุกด้าน ดังนั้น ด้วยความรู้สึกของเด็กอายุ7ขวบที่รถป้ายแดงคันแรกมันมีทุกอย่างที่ว่ามานี้ให้เนี่ย มันรู้สึกดีใจแบบบอกไม่ถูกเลยครับ)
เกริ่นมานาน รถที่ว่า มันคือคันนี้อะครับ..
แบบเต็มๆคันครับ
มันคือ Toyota Corona AT 171 1600 cc เป็น Corona รุ่นสุดท้าย(มั้ง)ก่อนที่ Toyota จะเปลี่ยนไปใช้โลโก้ 3ห่วงแทน
รถเบนซ์ หรูแค่ไหนก็มีแค่ 3 แฉกฟระ สู้คันนี้ได้ป่าว 8 แฉกเลยนะเฟร้ย
คันนี้เป็นรุ่นหน้ายิ้มครับ ดูแบบนี้มันก็เหมือนจะยิ้มจริงๆนะ แต่ด้านล่างแอบเยินไปบ้าง ไม่เคยเห็นเลยจนกระทั่งมาถ่ายรูปเนี่ย เพราะโดยปรกติ รถคันนี้เตี๊ยมาก เลยไม่เคยเห็นด้านล่างแบบนี้ซะที
ซุ้มล้อหน้า เห็นเหล็กผุๆได้อย่างชัดเจน.... อย่างว่า อายุ20ปีแล้ว ดูแลดีแค่ไหนแต่อันนี้ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ
มาดูด้านท้ายกันบ้าง..... กับสโลแกนของรุ่นนี้ที่ว่า ความงามที่ไร้เหลี่ยม แต่เปี่ยมด้วยพลัง ( โบรชัวเขาเขียนแบบนี้จริงๆนะเอ้อ ) มาเพ่งดูจริงๆแล้ว ทรงมันก็เหลี่ยมตามสไตรถโบราณอะ เพียงแต่มันดูมนขึ้นตามมุมแค่นั้นเอง เอานะ คิดในแง่ดี ณ ตอนนี้ รูปทรงแบบนี้มันก็กลายเป็นของแปลกไปแระ ก็เก๋ไปอีกแบบละเนาะ
อีกสิ่งหนึ่งที่รถรุ่นใหม่ๆสมัยนี้หาไม่ได้แล้ว มันคือ ล้อถาด อุปกรณ์มาตรฐานของรุ่นนี้ อ้อ ที่เห็นในภาพนี้ ทุกอย่างคือเดิมๆนะครับ ไม่เคยเปลี่ยนอะไหล่แต่อย่างไร(ยกเว้นยาง และช่วงล่าง) ทั้งท้าย กันชน กระจก ล้อ ประตู กระจกข้าง ไฟท้าย มือจับ สี แม้กระทั่งยางขอบกระจก 20ปีที่แล้วเป็นยังไง ทุกวันนี้ก็ชิ้นนั้นอยู่เหมือนเดิม แต่ผลคือ กระจกไฟฟ้าฝืดมากกก เพราะยางเองก็เสื่อมแล้ว รวมไปถึงตัวกลไก และเฟืองภายใน อย่างด้านคนขับ ถ้ากดกระจกลงสุด บางทีมันก็ตกร่องไปเลยก็มี ต้องไปนั่งแงะประตูกันบ่อยๆ พ่อไม่ยอมเปลี่ยนครับ.. บอกไม่จำเป็นเพราะยังไงๆก็ไม่ได้เปิดกระจกบ่อยๆอยู่แล้ว ... ก็นะ ทำงาน ตจว นิ ก็จริงอย่างที่แกว่าอะ..
โลโก้ดั้งเดิมของรุ่นนี้ ดูเล็กเกินไม่ค่อยเด่นอะ
มาดูที่ห้องโดยสารครับ พื้นที่วางขาของคนขับและผู้โดยสารข้างหน้า กว้างมากก คนตัวใหญ่(อ้วน TT ) นั่งได้สบายๆ ไม่ต้องเลื่อนของหลังมากก็มีพื้นที่เหยียดขาได้เหลือเฟือ ระยะความสูงของพวงมาลัย ผมว่ามันออกมาดีมากๆ ไม่ต้องไปปรับระดับอะไรให้เสียเวลา(แต่ถึงอยากปรับก็ปรับไม่ได้ครับ55) เข้าไปนั่งก็จบ.. เวลาเข้าออกจากที่นั่งคนขับทำได้สบายๆไม่เจอปัญหาพวงมาลัยติดขาเวลาออกจากห้องคนขับ (เมื่อเทียบกะรถคันอื่นๆที่บ้านเช่น Altis ตัว 50ปี, Vios,City MCของปีนี้ ไม่รู้สิ จริงๆหลายๆคนคงบอกว่า ถ้าขาติดก็ถอยเบาะไปเยอะๆสิฟะ.... แต่คือ ในความรู้สึกผม ระยะแขน กะ ระยาสายตา กะมุมมอง ผมไม่ถนัดไง นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไม รถใหม่ๆมันควรจะปรับระดับพวงมาลัยได้ แต่ที่ผมชอบคันนี้คือ มันลงตัวกะผมพอดีไง ถอยเบาะนิดนึงก็จบ ระยะกำลังดีเลยไม่ต้องไปปรับอะไรมากมายเวลาไปใช่ต่อจากคนอื่นๆในบ้าน)
สังเกตุได้ว่า ตัวเบาะที่นั่งคนขับ เตี๊ยมากกกกกกกกกกกก ยิ่งบวกกับตัวรถเดิมในยุคนั้นที่ทำออกมาค่อนข้างเตี๊ยด้วย ทำให้ข้อเสียตอนนี้ที่เจอบ่อยๆคือ.... ไฟรถคันหลังแยงตา TT คือ รถด้านหลังก็ไม่ได้ไฟสูงอะไรหรอก แต่รถผมมันเตี๊ยเองทั้งเบาะทั้งฐานรถ ยิ่งบวกกับเบาะรองนั่งที่ทรุดลงไปมากๆแล้ว แต่ข้อดีก็คือ Feelingดีสุดๆ เรียกได้ว่าขับรถไปดีดอะไรมาเด้งใส่ใต้ท้องรถนี่ สะเทือนมาถึงตรูดคนขับเลยครับ
สภาพเบาะ หนังด้านคนขับขาดไปแระ แถมตอนนี้ฟองน้ำที่นั่งคนขับก็ทรุดไปเป็นที่เรียบร้อย ก็อย่างว่า ตามอายุขัยของมัน..... แต่โดยรวมๆ เบาะ ผมว่ากระชับนั่งแล้วสบายดีครับ (อันนี้เทียบกะVios ของแม่ คันนั้น ขับๆไปต่างจังหวัดแล้วเมื่อยหลังครับ ในขณะที่ Altis 50ปี มันก็กระชับดีแต่เบาะติดแข็งไปหน่อย แต่นั่งแล้วขับไกลๆได้สบายครับ, ส่วน City MC ของน้องสาว โดยรวมกระชับ แต่ก็ไม่ได้นั่งสบายถ้าเทียบกะคันนี้อะนะ เบาะมันเล็กเกิน ผมไม่ค่อยปลื้ม ) คือ มันก็ไม่ได้นิ่มมากกกกจนหลับได้ แต่ก็กำลังพอดีๆ ไม่นิ่มเกินหรือแข็งเกินขับไป ตจว ไม่มีอาการเมื่อยหรือปวดหลังแต่อย่างใด แล้วก็ไม่บีบมาก ทำให้รู้สึกสบายเวลาขยับหลังเปลี่ยนอริยาบถ อีกอย่างที่ผมชอบมากๆกับเบาะคันนี้ก็คือ ที่หนุนหัวปรับระดับได้ครับ(เฮ) คือ ชอบอะ มันช่วยได้เยอะมากเลยนะนั่นเวลาขับๆไปแล้วเมื่อยคอหรืออยากหนุนอะไรให้มันสบายๆเนี่ย ยิ่งถ้าเป็นคนนั่งหน้านะ อันนั้นนี้ฟินเลยนั่งนานๆอยากนอนก็ปรับเบาะลงไปเยอะๆ แล้วปรับที่รองหัวให้มันราบไปสุดนะ.. หลับได้สบายๆเลย แต่รถรุ่นใหม่ๆไม่รู้ทำไมมันปรับกันไม่ได้หว่า??
แผงประตู มีปุ่มควบคุมกระจกไฟฟ้าทั้ง4ด้าน+ Central lock ทันสมัยมากๆ (เมื่อ20ปีที่แล้ว) ตรงแผงควบคุม โดนเปลี่ยนพลาสติกไปรอบนึงแล้ว จำเหตุผลไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะอะไร
แผงหน้าปัดด้านหน้าคนขับแบบเรียบง่ายมากกกก มาพร้อมกับพวงมาลัยขั้นเทพที่ให้ความแม่นยำ+ความคม แบบสุดๆ แรงตอบสนองที่ได้รับ,ความหนืดรวมไปถึงการส่งแรงสัมผัสจากพื้นผิวถนนมาสู่มือคนขับได้แบบ ทำได้เป็นธรรมชาติสุดๆ ไม่จุกจิกไม่มีเพี้ยนอะไรทั้งนั้น เพราะมันคือ พวงมาลัยพาวเย่อ
ถ้าคนขับเป็นผู้หญิง คุณอาจจะได้ซาบซึ้งกับคำว่า โหนพวงมาลัย กันเลยที่เดียว แต่คันนี้โดนเปลี่ยนไปเป็นพวงมาลัยพาวเวอแบบ ไฮโดรลิคมาราวๆ 13ปีแล้วครับ เพราะตอนนั้นแม่กะลังรอรถคันใหม่อยู่ แล้วยืมคันนี้ไปใช้หลายครั้งพ่อเลยจำเป็นต้องเปลี่ยนเพราะกลัวแม่ขับไม่ไหว โดยส่วนตัว สมัยที่ผมไปหัดขับรถใหม่ๆก็ได้คันนี้นี่แหละครับเอาไปหัดขับ แล้วมันก็ชินมือมาจนทุกวันนี้ ทำให้พอทุกวันนี้ไปขับรถพวงมาลัยไฟฟ้าทีไร รู้สึกแปลกๆไม่ชอบใจทุกที มันไม่ให้อารมณ์ในการขับขี่งะ.. มันหลอกๆยังไงก็ไม่รู้ แถมไอ้ความรู้สึกจากพื้นถนนที่ขึ้นมาถึงพวงมาลัยมันหายไปด้วย.. ทำให้รู้สึกแปลกๆ อย่างคันนี้ เวลาเข้าโค้งหรือเลี้ยว มันให้ความรู้สึกจริงๆนะ ว่าเราเลี้ยวไปมากหรือน้อย ล้อมันแอบไถลหรือเปล่า หรือว่าขับไปลงหลุมหรือแล่นไปเข้าแอ่งน้ำหรือพื้นที่ขรุขระที่ไหนมันมา มันรู้สึกจริงๆนะ แต่โดยมากผู้หญิงจะไม่ชอบ น้องกะแม่ผมบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าพวงมาลัยคันนี้มันหนักเกิน... แต่สำหรับผม ความชอบส่วนตัวครับพวงมาลัยไฟฟ้า ต่อให้เป็นรถแบรนหรู(S60 Drive ล่าสุดเลยลองมาแระ) เซ็ตมาดีแค่ไหน ผมว่าสู้พวงมาลัยไฮดรอลิคไม่ได้งะ ... รู้สึกว่าไฮดรอลิคมันขับสนุกกว่ามากก (ความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆ)
เกีย จริงๆแล้วดั้งเดิมมันเป็นเกียธรรมดาครับ แต่ก็นั่นแหละ โดนเปลี่ยนไปเป็นเกียอัตโนมัติพร้อมๆกันกับตอนไปใส่ระบบพวงมาลัยเพาเวอไฮโดรลิค รู้สึกจะไปถอดมาจากเครื่อง2000CCมั้งครับ ก็เหมือนกันครับ เปลี่ยนมา13ปีแล้ว ทั้งพวงมาลัยทั้งเกีย ไม่เคยเกิดปัญหาใดๆทั้งสิ้นเลยครับ ไฮโดรลิคไม่มีรั่ว เกียก็ทุกวันนี้ก็ทำงานได้ปรกติ ไม่เคยเจอปัญหาจุกจิกอะไร ปัญหาเดียวที่เกิดขึ้น ตั้งแต่เปลี่ยนมาเป็นเกีย auto กะพวงมาลัยไฮดรอลิค ก็คือ กำลังเครื่องตกฮวบๆครับ กินน้ำมันขึ้นบาน(จากเดิม 13โลลิตร ตอนนี้ อย่างเก่งมากกก ก็ 1โล แต่เฉลี่ยที่ 10) อัตราเร่งนี่ เรียกว่า ถ้าขับในเมืองนี่ จะแซงใครต้องเล็งแล้วเล็งอีกกดรอบเครื่องรอกันได้เลย เพราะBody คันนี้มันของเครื่อง 2000 แต่ดันใส่เครื่อง 1600 แรงม้าก็น้อยนิด 96 แรงม้า แถมเจอดมแก๊สไปอีก..
แผง Console แบบเต็มๆ ของเดิมทุกชั้น ยกเว้น วิทยุครับ คือ ในตอนที่ของเดิมเสียนั้น ช่วงนั้นวิทยุ CD มันออกมานานพอควรแระ แต่พ่อบอก มันไม่แนว ผลคือ แกไปเดินเชียงกง แล้วไปคุ้ยหาวิทยุเทป คาสเซตได้ มาแปะไว้แทนของแทนของเก่า
อันนี้ความรู้สึกส่วนตัวเลยนะ ผมรู้สึกว่าวัสดุที่Toyota(ในยุคนั้นนะครับ ไม่ใช่ยุคปัจจุบันที่กลายร่างมาเป็นจอมกั๊ก) เอามาทำแผงคอนโซล รวมถึงพวกDashboard มันดีมากๆ คือ ไม่ใช่แบบหรูเหมือนรถBMW หรือ Benz นะ แต่แบบ มันดูดีอะ ไม่ได้ออกมาแบบลดต้นทุนโจ่งแจ้งแบบทุกวันนี้
Dash board เรียบเนียนมากกกกกกกกก นุ่มด้วยครับ ไม่ใช่แบบ เป็นพลาสติกสากๆด้านๆแบบเดี๋ยวนี้, Dash boardยังอยู่ในสภาพดีมากครับ นิ้งมาก ไม่มีแม้แต่รอยขีดหรือรอยแตก
ที่เก็บของด้านคนนั่งครับ
ไปคุ้ยๆของดู ก็เจอกะไอ้เจ้านี่ครับ
พอดูในภาพร่างแบบนี้ มันแลดูสวยกว่าคันจริงเยอะเลยนะนั่น
ไฟคนขับด้านหน้า ซึ่งติดมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานทุกรุ่น (ในยุคที่พี่โต ยังไม่เป็นจอมกั๊ก) ไฟอันนี้มันช่วยได้มากจริงๆนะ โดยเฉพาะถ้าขับรถไปตอนกลางคืนแล้วจะมาเปิดแผนที่ดูทางเนี่ย หรือถ้าเราขับรถกลางคืนบ่อยๆ จะเห็นคุณค่าของมันขึ้นมาทันทีเลย
มาดูที่นั่งด้านหลังกันบ้าง นี่แหละครับคือจุดเด่นมากๆของรถคันนี้ มันนั่งได้สบายมากครับ Leg room ค่อนข้างเยอะ เรียกได้ว่านั่งไขว่ห้างได้สบายๆครับ (ถ้าสังเกตุดีๆ จะเห็นว่า เบาะด้านขวาทรุดลงกว่าด้านซ้ายแบบเห็นๆเลยครับ)
อีกรูป เทียบให้ดูกับตอนที่เลื่อนที่นั่งคนขับมาค่อนๆปลายรางแล้วนะครับ ผมว่าผมค่อนข้างอ้วนแล้วยังนั่งได้แบบนี้ แม่ น้องสาวนี่ สบายครับ
อีกด้านครับ
กระจกหลัง ฟิล์มกันแดดมันลอกจนเป็นรอนๆแระ ก็นะ ตัดเรื่องนี้ไป โดยรวมๆ ค่อนข้างโปร่งครับ เพราะดีไซสมัยเก่าๆที่มันไม่ได้สปอตอะไรมาก ไม่มีSlop หรือลาดเอียงอะไรทั้งนั้น คือขับๆมาแล้วจะถอย เหลียวหน้ามามองด้านหลังนี่ ทัศนวิสัยชัดเจนครับ
คันนี้ติด LPG มาตั้งแต่ปี 2006 แล้วครับ เปลี่ยนหม้อต้มแก๊สไป2ใบแล้ว แต่เครื่องไม่เคยมีปัญหาครับ ทนยังกะแร่ด.... ด้านหลังเครื่องมือรกมาก คุณพ่อพร้อมรับทุกสถาณการครับ พร้อมซ่อมตลอดเวลา พวกอะไหล่ตัวไหนที่มันเสี่ยงกะการเจ๊งได้ แกพกสำรองมาครบครับ เรียกได้ว่ากระเป๋าช่างทั้ง3ใบนี่ แน่นไปด้วยอะไหล่+เครื่องมือเลย
ขุมพลัง 96แรงม้า กับเครื่องยนตร์ 4A-F ในตำนาน(ด้านความทนเป็นแร่ด) ตัวนี้ยังใช้คาบิวอยู่ครับ ดังนั้น เรื่องประหยัดน้ำมันไม่ต้องพูดถึง ซัดโฮกแน่นอน (ค่าน้ำมัน ถ้าคิดจาก 91 เอาเป็นว่าสมัยก่อนปี2006 โดนไปเดือนละ 1หมื่นUP ) แต่ก็แน่นอน เนื่องจากเป็นคาบิว พอไปติดแก๊สแล้วก็จบครับ ไม่จุกจิกกวนใจเลย (แต่ก็แลกกับกำลังเครื่อง ที่อัตราเร่งตกไปพอควรนะครับ)
อัตราเร่ง 0-100 ถ้าใช้น้ำมัน จับกันจริงๆจะราวๆที่ 15-17วิครับ แต่ถ้าเป็นแก๊ส ก็โน่นนน 18-20 อืดมากก ถ้าเป็นคนใจร้อนเท้าหนักไม่แนะนำอย่างแรง แต่ก็ตามสภาพครับ เครื่องยนตร์ อายุ20ปี ได้แบบนี้ก็ยอดแล้ว เครื่องนี้ไม่เคยทำการ Overhaul ครับ ไม่เคยยุ่ง ไม่เคยเสียแต่ประการใด อย่างมากที่สุดคือ ไปเปลี่ยน วาวลูกสูบตอน 300,000 KM ครับ นอกนั้นไม่เคยแตะที่เรื่องเครื่องเลย เปลี่ยนใหม่โดยมากก็พวกลูกยางรองแท่นกะพวกช่วงล่างมากว่า
จนถึงตอนนี้ หลายคนอาจจะเกิดคำถามในใจว่า รถคันนี้มันพิเศษตรงไหนฟระ Corona มันก็ยังมีให้เห็นอยู่เกลื่อนเมือง ไหนโม้เหม็นที่หัวกระทู้ว่า มีไม่มากในประเทศนี้ ไง(วะ)
คือ มันอาจจะไม่พิเศษอะไรมากสำหรับคนอื่นๆนะครับ แต่สำหรับพ่อผม และผม รถอายุขนาดนี้ วิ่งมาแบบนี้ แต่สภาพยังอยู่ในระดับที่ อืม... ก็ไม่ได้เริ่ดหรูแบบรถใหม่ แต่เมื่อคิดซะว่า มันคือรถเก่ามากกกกกกกกกกก ผมมันมันก็ok นะ
สิ่งที่ผมคิดว่ามันพิเศษสุดๆ มันอยู่ในภาพนี้อะครับ
ครับ รถคันนี้ ณ วันที่ถ่ายภาพนี้วิ่งมาแล้วทั้งสิ้น(ราวๆเกือบ 2เดือนที่แล้ว)
1,066,105 กิโลเมตร
ถ้าเอา ณ วันนี้ (23-11 -2012 02.45) ก็จะอยู่ตามนี้ครับ
1,070,615 กิโลเมตร
แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าครับ เพราะต่อให้ดูแลดีแค่ไหน แต่ก็คงไม่มีทางที่จะไปฝืนกาลเวลาได้ครับ คุณพ่อเองก็บอกมาตรงๆว่า รถคันนี้(เครื่องเดิมๆนี้) อย่างเก่งสุดๆ ก็คงจะอยู่ได้ไม่เกิน 4 ปีหรือไม่เกินหลัก 1,500,000 KM คือ ไม่ใช่ว่ามันจะพังแบบ เอาไปปลูกสาระแหน่นะครับ แต่ว่า อัตราเร่งมันจะดรอปไปมากๆๆๆ จนเอามาใช้ในเมืองไม่ค่อยไหว คือขับแบบหวานเย็นไปเรื่อยยาวๆนะได้ครับ แต่คงไม่สามารถเอามาเป็นรถหลักที่จะขับไปทำงานได้อีกแล้ว... ถึงตอนนั้นทำได้อย่างเดียวก็คือต้องวางเครื่องใหม่ ส่วนเครื่องบล๊อคนี้ แกจะเอาไปชุบโครเมี่ยมเก็บไว้เป็นที่ระลึกครับ (แต่นะ วางเครื่องใหม่ มันก็เหมือนกลายเป็นรถคันใหม่ไปแล้วอะครับ)
แต่ก็นะครับ ของบางอย่างมันก็มีค่ามากกว่าที่จะตีค่าออกมาเป็นเงินทองได้ , ถึงต่อให้รู้อยู่เต็มอกว่า รถคันนี้ คงอยู่กับผมได้แค่4ปี(อย่างมาก) ,แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามผมก็อยากจะชุบชีวิตรถคันนี้ให้กลายมาเป็นรถที่ขับไปแล้ว คนที่เห็นจะต้องเหลียวหลังมองครับ ที่คิดไว้คร่าวๆที่จะต้องเอาไปปะผุ ลอกสีพ่นสีใหม่ทั้งคัน หล่อไฟเบอทำหน้า,สเกิต,หลัง ใส่ใหม่หมด ทำเบาะใหม่ทั้งคัน หุ้มหนังแท้ ตกแต่งภายในปรับพวกแผงคอนโซล ลงเครื่องเสียงใหม่ หน้าปัดแอร์ใหม่ บุตัวเก็บเสียง เปลี่ยนยาง4เส้น คาดว่าคงหมดไปราวๆไม่ต่ำกว่า1แสนบาทแน่ๆครับ แต่ก็อยากที่บอกอะครับ ของบางอย่างมันก็ตีค่าเป็นตัวเงินไม่ได้ ถ้าคิดซะว่าจ่ายไปซักแสนกว่าหน่อยๆ ( รวมค่าวางเครื่อง 3S-GE ไปด้วย) แล้วได้รถที่ข้างในกว้างพอจะเทียบชั้น D-Segment ของยุคนี้ได้ ช่วงล่างที่เหนือกว่าพวก B segment เยอะมาก เกาะถนนดี แถมให้อารมณ์การขับขี่ที่สนุก( ความชอบส่วนตัวครับ รถเตี๊ยๆ+พวงมาลัยไฮโดรลิค) ไม่ต้องมาผ่อนรายเดือน แถมยังแปลกแหวกแนวกว่าชาวบ้าน ผมว่ามันก็OK นะ
คิดว่าคงอีกซัก4-5เดือนครับกว่าจะทำให้จบทุกเรื่อง เพราะคงค่อยๆทำไปเรื่อยๆ ถ้าทำครบเมื่อไหร่เดี๋ยวจะมาโพสโชรถให้ดูกันอีกรอบครับ
*EDIT แก้เรื่องรูปแล้วครับ ขอโทษทีครับ แหะๆ