ผู้เขียน หัวข้อ: คืออยากจะถามว่า รถยุโรป เช่น Benz BMW ทนกว่ารถ ญี่ปุ่น พวก TOYOTA HONDA มั้ยครับ  (อ่าน 19797 ครั้ง)

ออฟไลน์ AMG GT

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,961
เห็นคนชอบ บอกว่า รถยุโรป ดีกว่าอย่างนั้นอย่างนี้อ่ะครับ

ออฟไลน์ Thor.1

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 557
 ตอนรถใหม่ๆผมว่ารถยุโรปแน่นดีมากๆ
รถญี่ปุ่นจะมีสัมผัสที่เบาๆกลวงๆกว่า

 แต่พอเก่าเกิน10ปี รถยุโรปหลายๆคันภายในหลวมก๊อกแก๊ก/เอี๊ยดอ๊าด
ยิ่งถ้าเคยได้รื้อได้ซ่อมมาจะประกอบกลับให้ดียากกว่ารถญี่ปุ่น
  โดยที่รถญี่ปุ่นไม่หลวมเพิ่มไปกว่าตอนใหม่ๆเท่าไหร่
 หรือเพราะกลวงๆมาอยู่แล้วเลยไม่ค่อยมีอะไรให้หลวม.......

ออฟไลน์ Korn Coconut

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 145
ทนกว่ารึเปล่าไม่รู้ครับ แต่น้อง2 ของผมโดน VW Golfi รุ่นเก่านานมากขับมาชนด้านข้าง  ผลคือกันชนขาด ยุบ

ส่วน Golf เฉยๆ ชิวๆ ไม่มีแม้สีถลอก  :-[

ออฟไลน์ Wayfarer-R

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,563
จากความรู้สึก ที่ไม่มีการพิสูจน์ โดยส่วนตัว รถยุโรปมาตรฐานหลายๆด้าน จะสูงกว่าครับ

keanetona

  • บุคคลทั่วไป
ถ้าความแข็งแรงของตัวถัง ยุโรปกินขาดครับ

แต่ถ้าความถึกของเครื่องยนต์ ยังต้องยกให้ญี่ปุ่นที่เรียบง่ายและไม่จุกจิก

ออฟไลน์ Fly to dream

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 12,640
190E  ,940 , 950 , E30  ที่วิ่งอยู่ตอนนี้น่าจะเป็นเครื่องพิสูจน์  ;) ;) ;)
ขยะของโลกออนไลน์​ในปัจจุบั​นคือเชื่อคนโง่ที่มีคำพูดสวยหรู​ หาข้อมูล​ไม่จริงมาโกหกคำโตๆ​ อีกอย่างคือพูดความจริงไม่หมด กับพวก​ Avatar ที่ทำเป็น​เก่ง​แต่เก่งน้อยในโลกความจริง​ซึ่งจะหาได้ง่าย

ออฟไลน์ MystogaN

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,476
เดี๋ยวนี้น่าจะไม่ทนพอกันนะครับ แล้วแต่ว่าจะเจอแจคพอตหรือเปล่า ดวงล้วนๆ ;D

ออฟไลน์ Buffy

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,502
    • อีเมล์
ทนหมายถึง ใช้ได้นาน ใช่ไหมครับ

เราเก่าโคตรๆ ส่วนใหญ่ ที่ผมเห็นว่ายังวิ่งได้ เป็นทางฝั่งญี่ปุ่นน่ะครับ

หรือว่า ขึ้นอยู่กับการรักษา....ของแต่ล่ะคน

ออฟไลน์ Headman

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,152
ยุโรบ ทนกว่าครับ ในทุกๆ ด้านยกเว้นเรื่องเครื่องยนต์ เกียร์ แค่ 2 เรื่องนี้เท่านั้น

Citroen ที่กำลังจะขายนี้ อายุ 44 ปีแล้วนะครับ ยังชิวๆ วิ่งสบายๆ ไม่ค่อยผุ แน่นทุกอย่าง ยังสวยอยู่เลย แต่ KB ที่มีอยู่
มีผุ และปัญหาเรื่องระบบไฟเล็กน้อย ในขณะที่ Citroen เปลี่ยนของเหลวแล้ววิ่งอย่างเดียวครับ

ในทางกลับกัน KB เกียร์ 30 กว่าปีมานี่ไม่เคยเปิดออกมาดูเลย เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามระยะอย่างเดียว เครื่องก็ทำทีเดียวจบ
ในขณะที่ Citroen ตอนนี้ คาบู น้ำมันท่วมเลย ติดยากมา ต้องลงมาควงอย่างเดียว สตาดไฟฟ้าไม่อยากจะติด  ;D
เรารักจ่าโท :))))

ออฟไลน์ Carrera

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,340
ตอบยากแฮะ  ตามประสบการณ์หน่อยละกัน  

 ที่บ้านเคยใช้ทั้งสอง  ....  เคยเจอทั้ง ญี่ปุ่นจุกจิก และยุโรปจุกจิก -*- 
 
    Accord ตาเพชร กระจกไฟฟ้าตก (ตกจนเบื่อ) ก็เพลาหน้า  ยกเซต  +  พวงมาลัย ช่วงล่างหน้า  ( ตอน 150000 กม)  ซ่อม 0 ออกมา แล้วยังไม่หาย วิ่ง110 - 120  อาการก็พวงมาลัยมี Vibrater แบบ M/B ครับ  แถมสั่นรุนแรงกว่าเยอะ  รับรองไม่มีง่วง (เย่อกับพวงมาลัย -*-) ซ่อมไม่จบ เลยขายไปครับ

พลาสติกกรอบแกรบ ...  รถเก่าๆ ญี่ปุ่นบางคันก็เป็นครับ  -*-  กระบะ Mazda คันเก่ามากๆของแม่ผมตอนสิบปีนี่   ดังลั่นทั้งคัน   หลวมเยอะจนขี้เกียจตามหาต้นตอเสียง  แล้วก็ขายไปครับ (ดังหลายอย่างมาก  + ใช้เกินคุ้มแล้ว)

ยุโรป (BMW) ช่วง 1- 10 ปี นี่ไปไหนไปกันครับ  ไม่ค่อยเสีย อาจจะมีรวนบ้าง Check Control ชอบขึ้นทั้งๆที่ไม่มีอะไรเสีย อากาศชื้นๆ เช้าๆ ขึ้นตลอด  พอสายๆ บ่ายๆ หายไปเฉยๆ ที่ชัวๆ E34 กับความชื้นเนี่ย   ไกลๆเลยครับ   ใกล้ทีไรความชื้น หรือหน้าฝนทีไร ไฟเตือนขึ้นสนุกสนานเลยครับ (ทั้งที่ไม่มีอะไรเสีย -*-)
  
หลัง 11 ปีไป (230000 กม)พอมันเก่าๆ  จุกจิก  รถติดมักจะเครื่องร้อนเสียกลางทาง  ประตูหลุด   สายสลิงเบาะไฟฟ้าขาด(ประจำ) อาจจะเพราะน้องผมนั่ง  แล้วหนัก 80 กก ปรับเบาะไฟฟ้า ไปๆมาๆ สลิงขาดบ่อยๆ  เข้า 0 ซ่อม 1000 ทุกที  

   ก็พอสมควรครับ ซ่อมใหญ่ไปหลายรายการเหมือนกัน  เสียกลางทางบ่อยช่วงนึง (ค่าลาก 9000 -*-) แต่เปลี่ยนแล้วจบ  ไม่ค่อยมีอาการตามมา  (เข้า 0 ตลอดครับ)  ซ่อม 0 ดีตรงที่ซ่อมค่อนข้างจบครับ (หรือเพราะพ่อผมเค้าซี้กับหัวหน้าช่างที่ 0 ด้วย)  แต่เปลี่ยนเพราะมันเก่ามากแล้วครับ  ต้องรออาการต่อไป  แล้วซ่อมเรื่อยๆจนครบทั้งคัน  ...... คงไม่ไหวอะครับ  เสียเวลาเอารถไปอยู่ 0 -*-

---------------------
  
ส่วน ญี่ปุ่น Toyota เก่าๆ  ผมเห็นทนดีนะ   แถวสงขลาบ้านเก่าผม  ยังมี Taxi Crown เก่ามากๆ  ลองนั่งแล้ว  ยังวิ่งแน่นเหมือนใหม่ๆเลย เว้นแต่เบาะที่เด้งเหลือเกิน  (เหมือนในเบาะจะเป็นสปริง+กาบมะพร้าว) เจอคอสะพาน  มันเด้งจนผมหัวชนหลังคารถ  แต่ข้างในยังแน่นๆดีอยู่ไม่มีกรอบแกรบนะ

  หรือรถญี่ปุ่นระบบไฟฟ้ายังไม่เยอะเท่ามั้งครับ    โตโยต้ายังไม่รู้ครับ  ผมรอดูพวก Camry รุ่นหลังๆ ACV40  ว่าสัก 10 ปีไปมันจะจุกจิกแบบรถยุโรปไหมเนี่ย ไฟฟ้าเยอะเหลือเกิน -*-  
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 18, 2012, 23:29:23 โดย Butterzai »

ออฟไลน์ Tyde

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 501
สามห่วงรับประกันความทนทานครับ   ;D

ออฟไลน์ Satanic za'

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,073
ยิ่ง electronic น้อยเท่าไหร่ ยิ่ง technology น้อยมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้รถทนมาเท่านั้น เพราะมันไม่รู้จะเอาอะไรมาเสีย

ถ้าอยากรู้ รอดูนับจากนี้ครับ รถญี่ปุ่นตัวทอปๆที่ออปชั่นเยอะๆ เดี๋ยวก็รู้ครับ ว่าจะอยู่ได้ซักกี่น้ำ

ส่วนตัวผมว่า พอๆกันครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 18, 2012, 23:45:06 โดย Satanic za' »

ออฟไลน์ osment

  • Internship
  • Sr. Member
  • *
  • กระทู้: 791
ถ้ารถญี่ปุ่นธรรมดากับรถยุโรป ผมว่ารถญี่ปุ่นธรรมดา ที่มันไม่จุกจิกคือเครื่องยนต์กลไกและระบบไฟฟ้า ที่ส่วนใหญ่มันเป็นแบบพื้นๆ

ส่วนเรื่องเสียงกรอบแกรบถ้าเทียบรถยุโรปกับญี่ปุ่นเกรดธรรมดาแน่นอนอยู่แล้วครับว่ารถยุโรปย่อมทำได้ดีกว่า
อาจจะเพราะว่าวัสดุและการประกอบที่แน่นหนากว่า เคยมีช่างทำสีรถบอกผมว่าพวกจุดยึดอุปกรณ์ต่างๆในรถยุโรป เช่น คอนโซล,แผงประตู 9ล9 จุดยึด
น๊อตต่างๆ มีมากกว่ารถญี่ปุ่น (อันนี้จริงเท็จยังไงผมไม่คอนเฟิร์มเพราะไม่เคยเห็นเอง)

แต่ถ้ารถญี่ปุ่นเกรดพรีเมียมเทียบกับรถยุโรป ผมถือหางรถญี่ปุ่นพรีเมียมมากกว่า ถ้าว่ากันด้วยเรื่องความทนทาน
ผมเคยนั่งรถแท๊กซี่ที่เค้าวิ่งต่างอำเภอ(ที่ตรังน่ะครับ) รถพวก Toyota Crown ที่พี่ Butterzai  ยกตัวอย่างมา ข้างในยังไม่เสียงกร๊อบแกรบเลยครับ
ทั้งที่รถก็เก่ามากแล้ว ยังวิ่งดี วิ่งเงียบอยู่เลยครับ

เหมือนรถเพื่อนที่ผมเคยนั่งมาไม่นานนี้ เป็นรถ Lexus GS300 เดิมๆ ราวๆปี 99 - 2000 ได้มั้งครับ เครื่อง 2jz ไม่โบ ผมว่ามันวิ่งเงียบกว่ารถสมัยใหม่นี้อีกน่ะ ทั้งที่รถก็สิบกว่าปีมาแล้ว
พวกคอนโซลพวกแผงประตูยังเนี๋ยบอยู่เลย เว้นแต่เบาะที่แตกไปตามกาลเวลา แต่ทรงเบาะก็ยังดีอยู่ นั่งสบายเลย

ออฟไลน์ honoiuiu

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 160
ไม่รู้ตอบตรงคำถามหรือเปล่านะครับแต่ผมเคยเห็นแท็กซี่วิ่งมาเร็วๆ+เบนซ์(ไม่เก่าไม่ใหม่เมื่อสัก4-5ปีก่อน)ที่ออกมาจากซอยแท็กซี่ยุบไปครึ่งนึงอ่ะไม่รู้ว่าเพราะจุดชนหรืออะไรเปล่าที่เป็นแบบนั้น+กับครั้งนึงนั่งในรถกับแม่โดนรถเมล์เบียดแรงโคตรๆ(รถนิสัยไม่ดี)พ่อบอกว่าถ้าเป็นรถพ่อคงถึงตัวคนขับไปแล้ว+เรื่องอื่นๆอ่ะครับ ผมเลยเชื่อสุดใจว่าแข็งกว่ากันทนกว่ากันเยอะ

ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับการดูแลเทือกนี้ด้วยนะครับ


ยาวเลย5555

ออฟไลน์ settavut

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 280
  • First
    • อีเมล์
body ยุโรป
engine&gear ญี่ปุ่นครับ

 ;D
Altis CNG MC 2010
CHR HV HI 2018

ออฟไลน์ AkE

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 7,405
ถ้าเอาเรื่องตัวถังเวลาชน เท่าที่ผมเห็นรุ่นเก่าๆ ยุโรปดีกว่าแน่นอนคับแต่ตอนนี้ไม่ต่างเท่าไหร่คับ ส่วนตัวถังรถยุโรปผมว่าเหล็กดูใช้ได้นานกว่าญี่ปุ่นคับ

แต่โดยรวมภายในทั้งหมดผมว่ารถยุโรปที่ประกอบในไทยคุณภาพไม่ดีคับ ไม่ใช่ว่าคนไทยฝีมือไม่ดีนะคับ ผมว่าพวก BMW, MB ลดค่าใช้จ่ายคับเวลามาประกอบในไทย

วัสดุไม่ทนและดูไม่ดีตั้งแต่ซื้อรถคับ ดูง่ายๆผมดูกี่ที C 200 กับ 320d ที่ประกอบในไทย ดูยังไงคุณภาพวัสดุภายในก้สู้ Camry, Accord, Teana ไม่ได้คับ แต่ถ้าเปนรถ C

180, 320d นำเข้านี่ดูมีราคามากๆคับผมพยายามไม่คิดแล้วนะคับ แต่มันรู้สึกจิงๆ เรื่องระบบไฟฟ้าต่างๆผมว่าญี่ปุ่นทนกว่าหน่อย อาจจะเพราะไม่ซับซ้อนเท่ายุโรปแต่ก้

ไม่ใช่ข้ออ้างคับสำหรับผม เพราะรถยุโรปแพงกว่าเยอะรถต้องดีคับ จะซื้อ 320i ทำไมถ้าคุณภาพเท่า Civic 2.0 หรือ Altis 2.0 คนส่วนใหญ่ก้จะตอบว่าสวยและยี่ห้อคับ

5555

ออฟไลน์ Emission-Tester

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 359
สมัยก่อน
รถยุโรป ใช้เหล็ก + วัสดุ รวมถึงเทคโนโลยี และมีการนำเข้ามาทั้งคัน...น่าจะดีกว่ารถญี่ปุ่น  

ปัจจุบัน
รถยุโรป+รถญี่ปุ่น ได้มีฐานผลิตในบ้านเรา เพื่อลดทุนค่าขนส่ง และวัตถุดิบ....
โดยใช้เหล็ก + วัสดุ จากโรงงานเหล็ก พลาสติก และชิ้นส่วนรถยนต์ ภายในประเทศไทย

ความทนทาน ก็คงแล้วแต่ Know how และ เทคโนโลยี แต่ละเจ้า...
ซึ่งผมคิดว่า รถญี่ปุ่น ตึโจทย์ "เมืองร้อนอย่างบ้านเรา" ได้ดีกว่า บริษัทรถยุโรป ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 19, 2012, 07:36:29 โดย Emission-Tester »
Emission Laboratory Testing

ออฟไลน์ YenChar

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,179
สมัยก่อน...

W124 เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดี

...................

สมัยนี้

ผมว่าพอๆกัน

- อัลติสหน้าหมู
- ซีวิคไดเมนชั่น
- แคมรี่ตาเหยี่ยว

รถญี่ปุ่น ก็ยิงยาว สภาพดีได้เหมือนกัน

ออฟไลน์ dht_tubes

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,641
    • อีเมล์
ถ้า1-7 ปีแรก ผมให้ฝั่งยุโรปดีกว่า

ถ้าเลย 7 ปี เสร็จญี่ปุ่นหมด

อะไหล่หาง่ายกว่า ระบบซับซ้อนน้อยกว่า ปริมาณรถมากกว่า ทำให้ช่างอู่นอกมีเยอะ และ หาคนที่แก้ไขปัญหาจบได้มากกว่า อันนี้เลยทำให้เรามองเห็นว่า รถญี่ปุ่นปีเก่ามีเยอะ มันคงทนกว่า (มั๊ง) ด้วยอีกประการนึง

แต่ญี่ปุ่นรุ่นใหม่ๆ นี่ซ่อมไม่เบาเลย camry ก่อนโฉมปัจจุบันนี่เครื่องพัง (ใช้แก๊ส โอเวอร์ฮอลทีนึง มีสลบเหมือนกัน)

แต่ถ้าใช้รถญี่ปุ่น 7 ปีเปลี่ยน (14ปี 2 คัน)  เราอาจจะใช้เงินน้อยว่า ใช้รถยุโรป 14 ปีเปลี่ยนนะ อันนี้คงแล้วแต่คนๆไปครับ

jaesz

  • บุคคลทั่วไป
จำกัดความ เรื่อง คำว่า ทน กันก่อน

เครื่องทน วิ่งเยอะ ไม่หลวม วาล์วไม่แตก บ่าวาล์วไม่สึก ติดแก๊สก็ไม่ห่วง แบบนี้ รถยุโรป ได้เปรียบครับ คุณเคยเห็นคนขับเบนซ์ บีเอ็ม โฟลค์ ไปเปลี่ยน Tappet เจียร์เสื้อบ่าวาล์วไหมล่ะครับ ? ถ้าเจ้าของไม่จูนแก๊สหนา บางผิดไปมาก วิ่งกันยันหลานบวชเลยนะนั่น รถญี่ปุ่นเหรอ ติดแก๊ส เอาไปเจียร์บ่าวาล์วเต็มโรงกลึงแล้วครับ แต่ก็มีนะครับเครื่องญี่ปุ่นเก่า ๆ ที่ทน ๆ จริง ๆ ไม่หลวม ไม่เละ เช่นเครื่อง Sirius มิตซู สมัยนั้นเอาไปอัด Nos อัดเทอร์โบกัน สบาย ๆ ทนจริง ๆ เครื่องToyota honda สมัยนั้น หลอมเป็นก้อนไปแล้ว

ตัวถังทน BMW รับประกันตัวถัง 12 ปีนะครับ (http://www.bmw.co.th/th/th/newvehicles/x6/x6Diesel/2010/allfacts/prices_warranties.html)  Toyota, Honda ปีแรกวิ่งลุยน้ำฝนสนิมเต็มท้องแล้ว รถ VW New Beetle ปี2001 ดูใต้ท้องรถ สนิมไม่มีซํกจุด ท่อไอเสียมีสนิมประปราย แต่ VIGO อายุ 5 ปีที่บ้าน สนิมกินมันทุกที่ ที่มันอยากไป กินจนสีใต้ตะเข็บท้องผุหมด แชสซีที่เป็นโครงยังขึ้นสนิมเลย ท่อไอเสียสนิมทั้งแท่ง เอาไขควงจิ้มตรงไหนก็ทะลุตรงนั้นแหละ

ระบบไฟฟ้า BMW, BENZ รุ่นใหม่ ๆ หลังปี 2000 มา เสียบ่อยครับ ก็มันเล่นใช้ของแปลก ๆ เช่นจอหน้าปัทม์มีBacklight แบบ หน้าจอคอม หรือ ระบบ K+D CAN + L อะไรแบบนี้ คุมกระจกไฟฟ้าได้ด้วยรีโมท รถ HOnda TOyota รุ่นทั่ว ๆ ไป บิดกุญแจ กระจกก็ดับแค่นั้น เหมือน เทียบกระจกมือหมุนกับกระจกไฟฟ้า อะไรทนกว่ากันอย่างนั้นเลย มี option เยอะ ก็จุกจิกกว่า

เกียร์ออโต้ ผมว่าพอ ๆ กันหมด ไม่นับ Jazz CVT รุ่นที่เสียกันเยอะ, กับ Civic dimension ผมว่าที่เหลือเสียใกล้ ๆ กัน ถ้าใช้งานเหมือน ๆกัน เช่นวิ่งในเมือง รถติดเยอะ ๆ เีดี๋ยวเบรค เดี๋ยวเร่ง มันก็พังเร็วพอ ๆ กัน คลัทช์จับๆ ปล่อย ๆ เหมือน ๆ กัน

รวม ๆ แล้ว ผมว่า ถ้าเอาของมาวาง ชิ้นต่อชิ้น เทียบกันของที่ทำจากวัสดุ พวกพลาสติก ต้องยกให้ ญี่ปุ่น ถ้าพวก โลหะ ยกให้ ยุโรปครับ


ออฟไลน์ 5ume7h

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 888
รถญี่ปุ่นรุ่นเดียวกับที่ขายในไทย
พอขายที่อเมริกา ประตูหนักกว่าของไทยซะงั้น

ออฟไลน์ NS

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,718
  • การเดินทางครั้งใหม่
หมายถึงเครื่องหรือตัวถังหรือระบบไฟครับ
จะเลือกรถหรือเมีย....

...รถสิคร๊าฟ

ออฟไลน์ bump_F10_525d

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 341
    • อีเมล์
ผมว่าจริงนะจากประสบการณ์

ประสิทธิภาพ

คุณภาพ

ความปลอดภัย

ราคา

บริการ

และสุดท้ายความรู้สึกภาคภูมิใจ

ออฟไลน์ Nismo De Alpina

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,560
  • Whatever brews your coffee.
ยุโรปขับหลังนิยมกินเจกันเยอะนะ
บอดี้อาจจะทนกว่า แต่เครื่องนี่ผมว่ายุโรปจุกจิกมากกว่ามาก
อะไรที่มันมีความไฮเทคมาก ระบบไฟฟ้ามาก ยิ่งมาเจอเมืองร้อน
อย่างไทยนี่จบเลยครับ
Eventually i've made my home country,Thailand.

ออฟไลน์ swan

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 901
รถยุโรปเลือกใช้วัสดุที่ดีกว่าถ้าเทียบกันรุ่นต่อรุ่นที่เท่าเทียมกัน แต่รถยุโรปมักมีอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ซับซ้อนมากกว่าทางฝั่งญี่ปุ่น เลยทำให้ชอบมีปัญหาเรื่องระบบไฟฟ้า และระบบไฟฟ้ามักไม่ชอบเรื่องของอากาศที่ร้อนชื้นแบบบ้านเรา

จากประสบการณ์ที่คลุกคลีกับเครื่องจักรทั้งทางฝั่งญี่ปุ่นและยุโรป ผมกลับชอบเครื่องทางฝั่งญี่ปุ่นในเรื่องของการ maintenance ที่ทำได้ง่ายกว่า จุกจิกน้อยกว่าและซ่อมให้จบได้ง่ายกว่า ส่วนทางฝั่งยุโรปสังเกตุได้ว่าวัสดุที่ใช้จะมีคุณภาพที่ดีกว่า ราคาสูงกว่า แต่ถ้ามีปัญหามักซ่อมให้จบได้อยากกว่า และระบบมักออกแบบซับซ้อนกว่า โดยเฉพาะระบบอิเล็กทรอนิก ทางฝั่งยุโรปชอบที่จะเอาหลายๆระบบมาผูกโยงเข้าด้วยกัน เมื่อระบบใดระบบหนึ่งมีปัญหาก็มักจะส่งผลถึงระบบอื่นๆด้วย หากช่างไม่เข้าใจระบบอย่างถ่องแท้ก็มักจะหาไม่เจอ แก้ปัญหาไม่จบ ฝั่งยุโรปมักจะมี interlock ค่อนข้างเยอะ

ถ้าระบบไม่รวน ทางฝั่งยุโรปทนกว่าครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 19, 2012, 10:05:04 โดย swan »

ออฟไลน์ 6162002

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,089
190E  ,940 , 950 , E30  ที่วิ่งอยู่ตอนนี้น่าจะเป็นเครื่องพิสูจน์  ;) ;) ;)
9xx (ไม่แน่ใจว่าเก้าอะไรแหะๆ)

ของแถวบ้านผม ยิงกิ๊งอยู่เลยครับ ไม่รู้ทำไปได้ไง  ละก็ Beetle อีกคัน วิ่งปร๋อกันเหมือนรถใหม่เลย

ออฟไลน์ Ruksadindan

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 12,051
ขอยืนยันว่า ไม่ ครับ จะเรื่องความทนจากการใช้งาน หรือการชนก็ตาม จุกจิกก็เจอได้ เรื่องการชนก็มี ncap ให้ดูหลายๆที่ครับ

ออฟไลน์ Monn

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,806
 ;D ผมกำลังจะได้รู้คำตอบ ในอาทิตย์หน้าครับ เมื่อ 320i ผมมา

จากที่เทียบ accord เก่า กับ BMW E34 ที่บ้านมีนะครับ  (ยอมรับจริงๆ ว่ารุ่นเก่ายุโรปดีกว่ามาก)
BMW คุณภาพวัสดุ ดีกว่าแบบเห็นๆ ทนกว่า และก็เวลาขับ ช่วงล่างแน่นแบบไม่ต้องขับรถเก่งก็รู้สึกได้
e34 แม่ผม ใช่มา 250000 โล ไม่เคยโอเวอร์ฮอลเครื่อง ยังนิ๊ง มีแค่หนังที่แตกตามกาลเวลา
ส่วนคอนโซล ยังปิ๊งอยู่เลย ลายไม้ ไม่เคยเคลือบ จนทุกวันนี้ยังเงาอยู่เลย

เทียบกับ accord เก่า รวมถึง G7 ที่เคยมีอยู่ อายุ 5 ปี ข้างในเริ่มเสื่อม เสียงเริ่มมา
คอนโซลสีซีดลง และ ลายไม้ซีดไปอย่างใจหาย logo พวงมาลัยลอก เบาะแตกเหมือนกัน
แต่ที่ชัดเจนคือช่วงล่าง BMW 16 ปี ยังขับมันส์กว่า accord อายุ 2 ปีเลย (ตอนนี้ผมใช้ G8 อยู่)
G8 ผมเปลี่ยนเป็น tein ss ค่อยเข้าใกล้ยุโรปนิดนึง แต่ฟิลมันก็ยังไม่เหมือนอยู่ดี

ส่วนเจ้า 320i ที่กำลังจะได้ ไปลอง 320d มา ก็ยังคงฟิล BMW เหมือน E34 นะ แต่ข้างในวัสดุ ดูรู้ว่าลดคุณภาพลง
แต่เสริมด้วยของเล่นใหม่ๆ พวก idrive รวมถึงระบบเทคโนต่างๆ ผมมองว่า การประกอบในประเทศ อาจจะใช้วัสดุลดลง
แต่ก็น่าจะมีการพัฒนาปรับปรุงนิดหน่อย เพื่อเข้ากับอากาศบ้านเรา ที่ชัดเจนคือระบบแอร์ ไม่งอแงเหมือนยุโรปรุ่นก่อนๆ

หากเทียบจริงๆ อยู่ที่การตอบโจทย์การใช้มากกว่า ให้ผมเลือก หากเงินไม่ใช่ประเด็น ยังไงก็ขอยุโรปครับ เรื่องความปลอดภัย
S3 - F30
X1 - E84

ออฟไลน์ myalexxp

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 829
รถแดงแถวเชียงใหม่ วิ่งกันจนไมล์รถกลับมาอีกรอบกันถ้วนหน้าแล้วครับบบ


 ;D

ออฟไลน์ Weetting

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,969
  • ช่วงล่าง+เครื่องยนต์
ยุโรปครับ

ข้อนี้ชัดมาก  

เครื่องรถยุโรป ทนกว่าญี่ปุ่นเยอะครับ  

ญี่ปุ่น มีแค่ JZ กับ 4A ที่ผมว่าทน  

เครื่องยนต์ยุโรปส่วนมากที่เสียมักจะมาจาก ระบบไฟฟ้ามากกว่า ด้านเครื่องกล

ระบบเครื่องกล ของยุโรปทนมาก ทนยังกะแรด   คุณลองดู  M42,M43   ติดแก็ส ยังทนไม่ต้องเปิดฝาสูบ

ข้ามฝากไปยังเครื่องเบนซ์ 190E รหัสเครื่องยนต์ M102  ปัจจุบันสตาร์ท ครั้งเดียวติด ซ่อมบำรุงตามปกติ

กลับกันอีกคัน ORONA EXSIOR 2.0  เครื่องพังไปแล้ว 2 รอบ ยกแล้วยกอีก  จนขายไป

ไม่ขอพูดถึงวัสดุภายในเพราะราคาตัวรถต่างกันมาก (เมื่อตอนนั้น)  

ส่วนตัวสรุปเลย ว่า ยุโรป  พังยากกว่าญี่ปุ่น   อาจจะดูเป็นรถเจ้าสำอางค์ แต่เมื่อลงลุยดินโคลน ก็พบว่า รถที่ดูบ้านน่าจะทน อย่างญี่ปุ่นกลับไปไม่เป็นเลย

ทุกวันนี้ที่บอกญี่ปุ่นทนเพราะว่า ระบบไฟฟ้ามันน้อย  คอยดูไปอีกซัก 2 ปี พวกญั่ปุ่นปี 2001+  รับรองช่างวุ่นวายเพราะระบบไฟมันเยอะ แถมเครื่องก็หลวมต้องโอเวอร์ฮอล์

กันยกใหญ่
THE Manual Gearbox Preservation Society
Drive diesel until last day