ผลเสียก็คงจะมีน่ะครับ แต่ผลดีที่ผมนึกออกคือวงจรธุระกิจที่เกี่ยวข้องกับรถยนตร์ทุกประเภทคงเติบโตมากพอสมควรครับเช่นบริษัทฟิมล์กรองแสง,ผ้ายางปูพื้น,คาร์แคร์(รองคิดเล่นๆว่าจะมีรถอีก1ล้านคันมาวิ่งบนถนน ตีสัก5-6แสนคันเพิ่มมาในกรุงเทพและรถใหม่ๆทุกๆคนก็คงรักษารถร้านคาร์แคร์หรือร้านล้างรถทั่วไปคงจะต้องรองรับลูกค้าอีกอย่างมากเลยทีเดียว),อื่นๆอีกคงเกิดเม็ดเงินโตขึ้นพอสมควร ส่วนปัญหาเรื่องซื้อแล้วผ่อนไม่ไหวมันน่าจะเป็นเรื่องของบริษัทไฟแนนซ์หรือธนาคารผู้ปล่อยกู้ให้เช่าซื้อหนิครับว่าจะกลั่นกรองผู้เช้าซื้ออย่างไรให้ดีพอเพราะนโยบายนี่ก็ไม่ได้บังคับให้สินเชื่อต้องปล่อยกู้ให้กับทุกๆคนที่ต้องการเช่าซื้อหนิครับเห็นคนยื่นกู้ไม่ผ่านก็มากมาย ถ้าการปล่อยกู้ทำได้ง่ายๆจนผู้เช่าซื้อไม่มีกำลังจ่ายค่างวดก็ต้องเป็นเรื่องระหว่างผู้เช่าซื้อกับไฟแนนซ์น่าจะถูกต้องกว่าครับ *ส่วนถ้าไม่มีนโยบายพวกนี่ผู้ที่มีงบประมานแถวๆ4-5แสนแต่ก่อนก็คงต้องไปมองรถมือสองซึ่งดอกเบี้่ยจะแพงกว่ารถป้ายแดงมากและที่หลายๆท่านยังไม่ทราบคือการผ่อนรถมือสองจะต้องเสียVATอีก7%จากค่างวดด้วยน่ะคัรบ และถึงจะเป็นการซื้อรถมือสองก็ไม่ได้การันตีอยู่ดีว่าปัญหาคนผ่อนค่างวดไม่ไหวจนถูกยึดรถจะไม่เกิดขึ้นจริงมั้ยครับ